แน่นอนว่าสูเสี่ยนฉู่ เริ่นเสี่ยวซู่ และหยางเสียวจิ่นไม่อยากพกเจ้าตุ๊กตาขาดรุ่งริ่งไปไหนมาไหน ส่วนคนที่ถามว่าจะเอาตุ๊กตาไปไหมคือหลิวปู้ ดังนั้นคนถือตุ๊กตาจึงตกไปที่เขา

เอาจริงๆ แล้วพวกเริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดว่าตุ๊กตาจะมีประโยชน์อะไรหรอก ถึงจะไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรในยุคก่อนยุคภัยพิบัติ แต่พวกเขาก็ไม่ได้โง่งม

แต่ไหนๆ พวกตนก็ไม่ต้องเป็นคนถือตุ๊กตาไปไหนมาไหนเอง ก็มิได้นำพาอะไรทั้งนั้นแล้ว

จับพลัดจับผลูเป็นหลิวปู้ที่ต้องหน้าเหยเกไปตลอดทาง ต่อให้ร่างจะอ่อนล้าแค่ไหน ก็ต้องกันไม่ให้ตุ๊กตาเสียหาย

ที่หนักหนาที่สุดคือพวกเขายังไม่ได้รับประทานอะไรเลย

สูเสี่ยนฉู่พลันหยุดฝีเท้า สูเสี่ยนฉู่ทนต่อแทบไม่ไหวแล้ว หลิวปู้ ลั่วซินอวี่ หวังเหลยยิ่งหนักกว่าอีก เขาหันไปหาทุกคนแล้วว่า “ทุกคนหาต้นสนกันก่อน หาอะไรกินกันก่อนค่อยเดินทางต่อ”

วิชาการเอาตัวรอดในแดนรกร้างที่พวกเสี่ยนฉู่ทราบอย่างเดียวคือการใช้ลูกสนประทังท้อง ทว่าในความเป็นจริง เปลือกลูกสนนั้นแกะยากมาก แถมข้างในมีเมล็ดสนไม่เท่าไร

เด็ดลูกสนจากสนต้นโตลงมากินไม่ทำให้อิ่มท้องเลย แต่ถ้าไม่ทำเช่นนี้ พวกเขาจะกินอะไรได้อีกเล่า จึงได้แต่หันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ที่ดูไม่สนใจอะไรพวกเขาแม้แต่น้อย

พวกเขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ชักมีดออก แล้วกรีดไปยังต้นไม้ไม่ทราบสายพันธุ์ข้างกายเขา จากนั้นยางสีขาวก็ไหลมาจากรอยกรีดนั้น สูเสี่ยนเสี่ยนฉู่ตาทอประกายวูบ “กินได้เหรอ”

คนอื่นๆ ก็หันมองด้วยตาเป็นกระกายวิบวับ ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่กลับส่ายหน้า พลางว่า “ยางไม้สีขาวส่วนใหญ่ที่เจอในป่ากินไม่ได้หรอกนะ มีโอกาสสูงมากที่มันจะมีพิษน่ะ”

สูเสี่ยนฉู่สับสน “แล้วนายกรีดต้นไม้เอายางทำไม”

“เอามาอาบมีดไง” เริ่นเสี่ยวซู่แบบขวานผ่าซาก

คนอื่นพลันสงสัยว่าเริ่นเสี่ยวซู่โตมาอย่างไร คิดเอายาพิษอาบมีดได้หน้าตาเฉยเลย เป็นคนน่ากลัวฉิบหาย!

แต่พวกเขาไม่กล้าไปปริปากบ่นใส่ความเหี้ยมโหดของเริ่นเสี่ยวซู่อะไรได้ อย่างไรเสียตลอดการเดินทางนี้พวกเขาต้องพึ่งเริ่นเสี่ยวซู่เป็นหลัก ถ้าเกิดมีคนบาดเจ็บ ก็ต้องพึ่งให้เขาเย็บแผลและทายาดำให้อีก

หลิวปู้ ลั่วซินอวี่ และหวังเหลยมีเงินเหลืออยู่ติดตัว ไว้ใช้ยามฉุกเฉินที่ต้องให้เริ่นเสี่ยวซู่ช่วยเหลือ

พวกเขาบรรลุรู้แจ้งแล้วว่า การมีเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ด้วย มีเงินก็เท่ากับว่ามีโอกาสรอดชีวิต

เกิดรอบนี้ไปทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พอใจขึ้นมา ต่อให้จ่ายเงินไป เขาก็อาจจะไม่รักษาแผลแล้วก็ได้ และอีกอย่าง หลังจากเย็บแผลเสร็จ ในมือของเริ่นเสี่ยวซู่อาจจะมีไตข้างหนึ่งเพิ่มขึ้นก็ได้ใครจะไปรู้ล่ะ อีกทั้งถ้าเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริง พวกเขาก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนรับไว้

ขณะที่หลิวปู้ปีนขึ้นไปเด็ดลูกสน ก็เผลอตกลงมาจากต้นไม้ โชคดีที่บนพื้นมีใบสนไม่น้อยรับตัวเขาไว้

หลิวปู้แทบสติแตกมลายสิ้น “เป็นเพราะไอ้พวกหมาป่านั่นแหละ ไหนพวกเขาบอกว่าหมาป่าวิ่งหนีไปเทือกเขาอื่นแล้วไง ทำไมอยู่ๆ ก็โผล่มาที่นี่ได้! ถ้าไม่ใช่เพราะหมาป่าพวกนั้น พวกเราคงได้กลับป้อมปราการกันไปหมดแล้ว! เหมือนสุภาษิตที่ว่า หลางเป้ยร่วมกันกระทำชั่ว[1] พวกหมาป่าก็ไม่ใช่ตัวดีอยู่แล้วด้วย!”

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เห็นด้วย “ฉันเคยได้ยินสุภาษิตนี้นะ แต่นายเคยเห็นเป้ยตัวจริงๆ มาก่อนเหรอไง”

คนอื่นๆ นิ่งไป “เป้ยคือสัตว์ที่เกาะหลังหมาป่าไม่ใช่เหรอ ตำนานบอกว่า หมาป่ากับเป้ยจะร่วมมือกันออกล่าปศุสัตว์ของมนุษย์ พวกมันจะใช้ขาหน้าและขาหลังพวกมันเกื้อกูลกัน หมายถึงการร่วมมือกันกระทำความชั่ว”

“ก็ใช่” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ที่โรงเรียนคุณจางก็บอกงั้นเหมือนกัน แต่ประเด็นคือว่า มีใครในที่แห่งนี้เคยเห็นเป้ยด้วยตาตัวเองหรือเปล่า”

หลิวปู้นิ่งไป แอบพึมพำ “พวกเราอยู่แต่ในป้อม จะเคยเห็นได้ไง”

“ฉันเคยเห็นมาก่อน” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “มันอยู่ในฝูงหมาป่าที่ไล่ล่าพวกเราจนต้องพวกเราต้องเข้ามาในช่องเขาด้วย ตอนฉันเผชิญหน้าหมาป่าปีที่แล้ว ฉันก็เห็นเป้ยเหมือนกัน”

“เป้ยหน้าตาเป็นยังไงเหรอ” มีคนถามอย่างสนใจใคร่รู้

“เป้ยก็คือหมาป่านั่นแหละ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าเสียงนิ่ง “แต่ว่าขาหน้าพวกมันพิการจากกับดักของพรานป่า หมาป่าตัวอื่นๆ เลยแบกพวกมันขึ้นหลัง ช่วยเป้ยให้มีชีวิตรอดสืบต่อไปได้”

สูเสี่ยนฉู่กับคนอื่นๆ ตัวสั่น พวกเขาเคยเรียนสุภาษิต ‘หลางเป้ยร่วมกันกระทำชั่ว’ จากสมัยเรียนหนังสือในป้อมปราการ อาจารย์บอกว่าหมาป่าและเป้ยต่างชั่วร้ายมาก พวกเขาเคยเรียนว่าแมลงไหนมีประโยชน์ แมลงตัวไหนเป็นศัตรูพืชด้วยซ้ำ

ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ที่เคยท่องมาในแดนรกร้างกลับไม่ได้มองเช่นนั้น เขาเคยได้ยินจางจิ่งหลินบอกว่าเผ่าคนเถื่อนในแดนทุ่งหญ้าบูชาหมาป่า ตอนนั้นเขายังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเรียนในโรงเรียน จึงวานให้เหยียนลิ่วหยวนไปถามว่า “พวกหมาป่าโจมตีปศุสัตว์ไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกคนเถื่อนถึงบูชาหมาป่าล่ะ”

คุณจางตอบคำถามด้วยคำถาม “หมาป่าผิดมากขนาดนั้นเลยหรือ”

ก็จริง หมาป่ากินแกะ แกะกินหญ้า ไม่มีใครผิด มันเป็นเพียงห่วงโซ่อาหารวงหนึ่ง พวกมันถูกกำหนดมาเช่นนี้

ถึงหมาป่าจะเป็นภัยต่อมนุษย์ แต่พวกมันกลับไม่ทิ้งเพื่อนร่วมฝูง มนุษย์ทำได้เช่นพวกมันหรือ ดูสิ มีคนต้องตายเพราะถูกพรรคพวกทิ้งไปมากน้อยเพียงไรระหว่างเดินทางมาเขาจิ้งซานนี้

พวกเขาเองก็ไม่ได้ผิดหรอก แต่บางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็อดอิจฉาหมาป่าไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็คงไม่โดนพรรคพวกสลัดทิ้งไปอย่างไรเยื่อใย

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สนว่าคนอื่นๆ จะคิดเช่นไร ก้มลงใช้มีดขุดดินตรงรากต้นสน แล้วว่า “อย่าใช้มือเปล่าปัดใบไม้ ในนั้นอาจะมีแมงป่อง ตะขาบ หรืองูพิษซ่อนอยู่ก็ได้ ถ้าไปกระตุ้นมันเข้า บอกเลยว่าไม่รอด”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เจอแมงป่องหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ใกล้เคียง จึงมุ่ยหน้าเล็กน้อย แมงป่องย่างรสชาติไม่เลวเลย เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดว่าจะหาจับแมงป่องหรือตะขาบมากินเสียหน่อย

สมองคิดไป มือก็ดึงรากต้นสนออกมา “ถ้ารู้สึกว่าลูกสนกินไม่อิ่มท้องละก็ เอารากสนไปทำอาหารกินก็ได้นะ”

ทุกคนมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างตกตะลึง อย่างกับว่าในสายตาของเริ่นเสี่ยวซู่ อะไรๆ ก็กินได้อย่างไรอย่างนั้น กินลูกสนก็แย่พอแล้ว ตอนนี้ยังมาบอกให้พวกเขากินรากไม้รากสนอีก!

มั่นใจนะว่ามันคืออาหารน่ะ มันเป็นของไว้ใช้ในตอนก่อสร้างไม่ใช่เหรอ!

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้นำพา หลายปีมานี้เขากินของในแดนรกร้างที่คนอื่นคิดว่ากินไม่ได้มานับไม่ถ้วนแล้ว

ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็คิดอะไรได้ “ป้อมปราการอื่นๆ มีสถานที่แบบคล้ายๆ เขาจิ้งซานไหม หมายถึงสถานที่ที่แบบจู่ๆ ก็เกิดการกลายพันธุ์หรือสิ่งมีชีวิตเกิดการวิวัฒนาการกะทันหันอะไรพวกนั้นน่ะ”

สูเสี่ยนฉู่นิ่งไปพักหนึ่ง พลางว่า “มี แต่อยู่ภายใต้การปกครองของบริษัทหัวจ่ง (เชื้อเพลิง)”

“บริษัทหัวจ่ง?” เริ่นเสี่ยวซู่งุนงงไป “ไม่เห็นเคยได้ยินเลย เป็นขององค์กรไหนเหรอ”

“ไม่ได้อยู่ภายใต้องค์กรไหนเลย แต่เป็นกลุ่มสมาคมเอกเทศ มีป้อมปราการกว่ายี่สิบป้อมอยู่ภายใต้การควบคุม” สูเสี่ยนฉู่ว่า “แต่ว่าพวกเขาอยู่ค่อนข้างไกลจากป้อม 113 เป็นธรรมดาที่นายจะไม่เคยได้ยิน”

“สถานที่ที่บริษัทหัวจ่งควบคุมอยู่มีลักษณะเป็นยังไง” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

สูเสี่ยนฉู่ดูอึกอัก ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกินภูมิความรู้เขาไปแล้ว กลับเป็นหยางเสียวจิ่นที่พูดสวนขึ้นมา “สถานที่ที่บริษัทหัวจ่งปกครองอยู่ลึกลับมาก มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าที่นั่นมีนกดึกดำบรรพ์ตัวมหึมาบินผ่านด้วย แต่กำลังทหารของบริษัทหัวจ่งแข็งแกร่งมากจนสามารถควบคุมที่นั่นได้เบ็ดเสร็จอยู่ดี อาจจะมีแต่คนสำคัญในบริษัทที่รู้ว่าที่นั่นมีอะไรเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

……….