บทที่ 60 เสี่ยวอี้ วานนำอาหารไปให้ลูกค้าที

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“ท่านจะสั่งกลับบ้านจริงๆ รึ” จีเฉิงเสวี่ยมีสีหน้าประหลาดขณะมองเหลียนฟู่ ดวงตาขององค์ชายสามดูมีความขบขันเจืออยู่เล็กน้อย

“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ ฝ่าบาทตรัสว่าอยากเสวยอาหารจากร้านนี้ ข้าจึงต้องรีบมาที่นี่ แม้ตัวข้าเองจะคิดว่าร้านนี้คงไม่มีอะไรอร่อยๆ น่ากินก็ตามที จะยอดเยี่ยมกว่าอาหารจากร้านปักษาเพลิงนิรันดร์หรือครัวหลวงไปได้อย่างไรกัน” เหลี่ยนฟู่พูดอย่างไม่ใส่ใจ พลางจีบมือและจับผมหน้าม้าตนเองเล่น

ตอนนั้นจีเฉิงสเวี่ยกินอาหารที่สั่งมาหมดแล้ว เขาลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสงบ แล้วพูดกับหัวหน้าขันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ใช่เลย ท่านหัวหน้าขันที สิ่งที่ท่านพูดไม่ตรงกับความจริงแม้แต่น้อย ความสามารถในการทำอาหารของเถ้าแก่ปู้นั้นยอดเยี่ยมที่สุด อาหารของเขาคุณภาพสมราคาทุกเหรียญทุกผลึก”

เหลียนฟู่สะดุ้งเล็กน้อยพลางคิด “ขนาดองค์ชายสามยังชื่นชมร้านนี้ไม่ขาดปาก ดูเหมือนว่าร้านนี้จะพอมีคุณภาพอยู่บ้างสินะ”

“ข้าก็หวังเช่นนั้นเหมือนกันพะย่ะค่ะ ว่าแต่ฝ่าบาทมิได้สั่งให้ท่านไปทำภารกิจต่อกรกับสำนักน้อยใหญ่หรอกหรือ องค์ชายจะเสด็จออกจากนครหลวงเมื่อไรหรือพะย่ะค่ะ” เหลียนฟู่ดูเหมือนจะจำอะไรได้จึงถามออกมา

“อีกสองสามวัน” จีเฉิงเสวี่ยดูไม่สนใจคำถามแม้แต่น้อย เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะจบบทสนทนา องค์ชายสามจ่ายเงินค่าอาหารแล้วเดินถือขนมปังหอยนางรมออกจากร้านไป

“ท่านขันที จะสั่งอะไรรึ” โอวหยางเสี่ยวอี้ถามเหลียนฟู่ด้วยน้ำเสียงน่ารัก

เหลียนฟู่เดินไปที่โต๊ะพร้อมสะบัดก้นลงนั่ง เขายกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “ที่นี่… อะไรอร่อยรึ”

“ท่านขันที หันไปมองด้านหลังสิ รายการอาหารเขียนอยู่บนผนัง” โอวหยางเสี่ยวอี้ชี้ไปที่ผนังเบื้องหลังเหลียนฟู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เหลียนฟู่ประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อหันหลังกลับไป เขาก็เห็นรายการอาหารพร้อมราคาที่แพงจับใจ

“ตายๆๆ! สมแล้วที่เป็นร้านใจไม้ไส้ระกำอันเป็นที่โจษจันในนครหลวง ข้าวผัดไข่ชามละสิบผลึก นี่ง่ายกว่าวิ่งราวอีกนะเนี่ย” เหลียนฟู่เลิกคิ้ว เสียงแหลมสูงดูไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นบนผนัง

ปู้ฟางเดินออกจากครัวมา พร้อมเช็ดหยดน้ำออกจากมือจนสะอาด เขามองไปที่เหลียนฟู่ด้วยสายตาไร้อารมณ์

“ราคาเขียนไว้ชัดเจน ร้านเราปฏิบัติกับลูกค้าอย่างเป็นธรรมเสมอ ลูกค้าตัดสินใจได้เองว่าจะกินหรือไม่กิน ไม่มีใครบังคับ” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ

“ฮึ! เจ้านี่อารมณ์ร้ายเหลือทั้งที่ไม่แข็งแกร่งแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าข้ามีปัญหากับราคารึ ชีวิตนี้ข้าเกิดมาบนกองทองมั่งมีศรีสุข! ข้ารวยจนซื้อร้านเจ้าได้สิบร้านด้วยซ้ำไป!” เหลียนฟู่เย้ย

“ไม่ เจ้าใช้เงินซื้อร้านข้าไม่ได้” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ข้าไม่อยากจะมาต่อล้อต่อเถียงกับคนบ้านนอกเข้ากรุงเช่นเจ้าหรอกนะ ข้ามีทรัพย์สินมากจนเอาเหรียญทองมากองทับเจ้าตายได้เลย!” เหลียนฟู่จีบมือและจับเล็บตนเองเล่นอย่างวางท่า ขณะมองปู้ฟางด้วยสายตาดูถูก

“เอาเป็นว่าข้าไม่พูดอะไรอีกก็แล้วกัน เอาอาหารมา ข้าอยากลองทุกอย่าง หากอร่อยข้าก็จะซื้อกลับบ้าน”

“ร้านเราไม่ให้ซื้อกลับบ้าน มีแค่อาหารรายการเดียวที่ซื้อกลับได้” ปู้ฟางพูดหน้าเฉย

เหลียนฟู่ชะงักเล็กน้อย เขาจ้องมองปู้ฟางอย่างพิจารณา เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของชายหนุ่ม ก็พลันรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น หัวหน้าขันทีโกรธขึ้นมาทันที

“หากลูกค้าบอกให้เจ้าห่อกลับบ้าน ก็ต้องห่อกลับสิ นี่มันบ้าบออะไรกัน” เหลียนฟู่ไขว่ห้าง เขาชี้มือมาที่ปู้ฟางแล้วเอามืออีกข้างท้าวสะเอว พร้อมพูดเสียงเยาะ

“หือ จะก่อความไม่สงบภายในร้านรึ” ปู้ฟางขมวดคิ้วเอ่ย

เหลียนฟู่ตัวแข็งทื่อทันที พลางเหลือบตาไปมองเจ้าดำที่นอนอยู่ตรงปากทางเข้า มันยังแทะซี่โครงเปรี้ยวหวานอยู่ เมื่อนึกถึงประสบการณ์เลวร้ายที่เจ้าสุนัขสีดำตัวนี้ใช้ลมปากพัดเสื้อผ้าเขาปลิวกระจายไปหมด ร่างก็พาลสั่นเทาขึ้นมา

“ข้าไม่ได้จะมาก่อเรื่องนะ เอาอาหารออกมาให้ข้าลองชิมก่อนเถอะ” เหลียนฟู่ปากกระตุกและยอมรับความพ่ายแพ้ในที่สุด

“จะเอาอะไรเล่า”

“ข้าก็บอกไปแล้วมิใช่รึ เอามาทุกอย่าง” เหลียนฟู่ตอบอย่างหมดความอดทน

ปู้ฟางจ้องหน้าขันทีเหลียนอย่างไร้ความรู้สึกแล้วเอ่ยถาม “แน่ใจรึ”

เมื่อหัวหน้าขันทีผมขาวไม่ได้ตอบอะไรอีก ชายหนุ่มก็พยักหน้าแล้วเดินกลับเข้าครัวไป

ผ่านไปสักพัก กลิ่นหอมหวนของข้าวผัดไข่ก็โชยเข้ามาในบริเวณห้องอาหาร

“อาหารจานแรก ข้าวผัดไข่สูตรธรรมดา เสี่ยวอี้ วานยกไปให้ลูกค้าที” เสียงเรียบของปู้ฟางดังออกมาจากห้องครัว

เสี่ยวอี้วิ่งไปที่หน้าต่างห้องครัวอย่างกระตือรือร้น แล้วยกชามข้าวผัดไข่ที่หอมหวนชวนกินเกินทนมาให้เหลียนฟู่ นางวางชามลงบนโต๊ะแล้วประกาศอย่างน่ารักน่าชัง “นี่ข้าวผัดไข่ที่สั่ง กินให้อร่อยเจ้าค่ะ”

เหลียนฟู่พยักหน้า เมื่อมองเห็นข้าวผัดไข่ในจานเป็นครั้งแรก ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา เขารู้สึกว่าสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้านี้น่าตื่นตาตื่นใจพอตัวเลยทีเดียว ชามข้าวผัดไข่บนโต๊ะส่องแสงสีทองเรืองออกมาเล็กน้อย

เขาใช้ช้อนกระเบื้องสีฟ้าขาวตักข้าวขึ้นมา ไข่ข้นยืดเป็นสายตามช้อนที่ยกขึ้นจากชาม กลิ่นเข้มข้นกว่าเดิมกระจายออกจากข้าวผัดไข่หลั่งไหลเข้าโพรงจมูกของเหลียนฟู่ จนเขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก

“หอมมาก! หมอนี่ดูเหมือนจะมีความสามารถพอตัว” เหลียนฟู่พึมพำ เขาเอาช้อนใส่ปาก ทันใดนั้นรสชาติอร่อยล้ำก็ระเบิดออกมาทันที ไข่ข้นนุ่มนวลกลมกล่อมพลันจับตัวกันในปากเขา กลายเป็นขดลวดที่จู่โจมไปยังต่อมรับรสอย่างเต็มเปา เหลียนฟู่ตกหลุมความอร่อยของอาหารจานนี้เข้าให้แล้ว

“อ… อร่อย!” หลังจากที่กินเข้าไปเต็มคำ เหลียนฟู่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จนต้องยัดข้าวผัดไข่ช้อนแล้วช้อนเล่าเข้าปากไปเรื่อยๆ

เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้เห็นสภาพของเหลียนฟู่ในตอนนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากหัวเราะ “ท่านขันทีค่อยๆ กินก็ได้เจ้าค่ะ ไม่มีใครแย่งอาหารท่านหรอก แถมยังมีอีกหลายจานที่กำลังจะตามมานะเจ้าคะ”

“อืม… อ… อร่อย!” เหลียนฟู่พยักหน้าเออออรับคำ พร้อมพูดตอบอีกครั้ง เมล็ดข้าวสีทองเมล็ดหนึ่งกระเด็นออกจากปากตกลงบนโต๊ะ ดวงตาของขันทีผมขาวเบิกกว้าง รีบคว้าเมล็ดข้าวขึ้นมาจากโต๊ะ แล้วยัดกลับเข้าปากไปทันที

“จานที่สอง ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุง เสี่ยวอี้ วานยกอาหารไปให้ลูกค้าที” ปู้ฟางพูดอีกครั้งเมื่ออาหารเสร็จอีกจาน

เมื่อเหลียนฟู่กินข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุง สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป ขันทีผมขาวไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าวผัดไข่ชามนี้จะอัดแน่นไปด้วยพลังปราณที่หมุนเวียนอยู่ภายในมากถึงเพียงนี้ ประสิทธิภาพของมันมีมากกว่าโอสถบำรุงปราณเสียอีก!

“จานที่สาม บะหมี่แห้งคลุกและผัดผัก”

“จานที่สี่ น้ำแกงเต้าหู้หัวปลา เสี่ยวอี้ วานยกอาหารไปให้ลูกค้าที”

“จานที่แปด ซี่โครงเปรี้ยวหวาน เสี่ยวอี้ วานยกอาหารไปให้ลูกค้าที” เสียงของปู้ฟางดังออกมาจากครัวอีกครั้ง และโอวหยางเสี่ยวอี้ก็รีบวิ่งไปรับอาหารจานใหม่อย่างร่าเริงเช่นเคย

“เอิ๊ก! ทำไมยังไม่หมดอีกเนี่ย… หอมเหลือเกิน… เอิ๊ก!” ท้องของเหลียนฟู่ใหญ่จนแทบระเบิด แต่ปากของเขาก็หยุดกินไม่ได้เสียที ขันทีผมขาวเพิ่งกลืนขนมจีบทองคำกลิ่นหอมฟุ้งลงท้องไป และตอนนั้นเองซี่โครงเปรี้ยวหวานที่หอมเสียยิ่งกว่าก็ถูกยกมาวางลงตรงหน้า

ซี่โครงเปรี้ยวหวานมีสีส้มดูน่ากินเป็นอย่างมาก แม้เหลียนฟู่จะกินอาหารเข้าไปหลายจานแล้ว แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมาทันทีที่ได้กลิ่นหอมชวนกินนี้

เมื่อซี่โครงเปรี้ยวหวานเข้าปาก รสชาติอร่อยเกินต้านของซอสก็กระจายไปทั่วปาก ทำให้เหลียนฟู่ตกอยู่ในวังวนของรสชาติเนื้อเข้มข้น

“อืม อร่อยมาก!” เหลียนฟู่พึมพำโดยไม่รู้ตัวพร้อมจีบมือ

“ท่านขันที ท่านยังคิดว่าอาหารของนายท่านตัวเหม็นสู้ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ไม่ได้อยู่อีกหรือไม่” โอวหยางเสี่ยวอี้ถามเหลียนฟู่อย่างสงบนิ่ง นางมองหัวหน้าขันทีเหลียนฟู่ที่กำลังตกอยู่ในโลกของอาหารรสเลิศด้วยสายตาภาคภูมิใจ

เหลียนฟู่ที่เพิ่งกินซี่โครงเปรี้ยวหวานหมดกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากเบาๆ พร้อมทั้งเรอออกมาเป็นระยะ

“ข้าต้องยอมรับว่า… เอิ๊ก! อาหารร้านนี้อร่อยมากจริงๆ คุ้มค่าทุกเหรียญทุกผลึก ยิ่งไปกว่านั้นยังอัดแน่นไปด้วยพลังปราณปริมาณมากที่ช่วยในการฝึกปราณอีกด้วย ราคานี้ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว” เหลียนฟู่พยักหน้าจากนั้นก็ดูดปากด้วยความอิ่มเอม

“อาหารของเจ้าอร่อยมากจริงๆ ข้าไม่ได้คาดคิดแม้แต่น้อยว่าพ่อครัวตัวน้อยอย่างเจ้าจะมีความสามารถในการทำอาหารถึงเพียงนี้ เป็นความผิดของข้าเองที่มองข้ามไป” เหลียนฟู่ชมปู้ฟางด้วยใจจริงขณะเหลือบไปเห็นอีกฝ่ายเดินออกมาจากครัว ขันทีผมขาวรู้สึกทึ่งในความสามารถของชายหนุ่มเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่าปู้ฟางย่อมน้อมรับคำชมฝีมือปลายจวักของตนอยู่แล้วหากมีคนชม จึงพยักหน้ารับรู้

“เอาล่ะ เจ้าพ่อครัวน้อย ห่ออาหารทุกรายการให้ข้านำกลับบ้านเสีย” เหลียนฟู่พูดขณะใช้ฝ่ามือลูบจี้หยกที่ห้อยอยู่ที่เอว ทันใดนั้นผลึกจำนวนมากก็ปรากฏขึ้น

“กฎของร้านให้ลูกค้าสั่งอาหารได้รายการละจานต่อวันเท่านั้น และห้ามลูกค้าสั่งอาหารกลับบ้าน อ้อ ความจริงแล้วนำกลับบ้านได้อย่างหนึ่ง… ขนมปังหอยนางรม”

ปู้ฟางมองผลึกกองพะเนินบนโต๊ะแล้วเอ่ยตอบอย่างไร้ความรู้สึก

……………………