บทที่ 61 กินขนมปังหอยนางรมมากไป... จะเป็นร้อนในนะ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าสั่งอาหารกลับไปให้ใคร” เหลียนฟู่ไม่ได้คาดคิดว่าปู้ฟางจะปฏิเสธอีกครั้ง และเริ่มบันดาลโทสะขึ้นมา

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝ่าบาททรงอยากลิ้มลองอาหารของเจ้า นี่ถือเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตเจ้าแล้วนะ!”

ปู้ฟางขมวดคิ้วขณะมองขันทีเหลียนฟู่ที่กำลังโกรธเกรี้ยวด้วยสายตาไม่พอใจ เขาบอกไปอย่างชัดเจนแล้วก่อนหน้านี้ว่าร้านนี้ไม่อนุญาตให้ซื้ออาหารกลับบ้าน เหตุใดขันทีนี่จึงไม่เข้าใจอีก

“บอกข้ามาว่าเจ้าต้องการเท่าไหร่สำหรับการสั่งอาหารกลับบ้าน เอาตัวเลขมา” เหลียนฟู่พ่นลมเย้ยพร้อมทำท่าจีบมืออันเป็นเอกลักษณ์ เขาเองก็รู้สึกขุ่นเคืองความไม่ยืดหยุ่นของปู้ฟางเช่นกัน

“เจ้าฟังข้าพูดไม่เข้าใจรึ” ปู้ฟางมองอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งเฉย จากนั้นก็ไม่สนใจขันทีที่กำลังโกรธเกรี้ยวอีก ชายหนุ่มเดินกลับเข้าครัวไปแล้วออกมาอีกครั้งพร้อมอาหารจานสุดท้าย

ขนมปังหอยนางรมสีทองอร่ามในใบไผ่ที่ห่อหุ้มปกปิดกลิ่นของมันเอาไว้อย่างมิดชิด

“อาหารจานสุดท้ายที่เจ้าสั่ง ขนมปังหอยนางรม อันนี้เอากลับบ้านได้ เจ้านำขนมปังนี่กลับไปให้จักรพรรดิกินก็แล้วกัน” ปู้ฟางส่งขนมปังหอยนางรมให้เหลียนฟู่พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ

เหลียนฟู่มีสีหน้าเหมือนต้องมนต์สะกดขณะรับขนมปังหอยนางรมมาอย่างไม่รู้สึกตัว เขาก้มลงมองขนมปังในใบไผ่ในมือ แม้กลิ่นจะหอม… แต่เทียบกับน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาแสนอร่อยเมื่อครู่แล้ว ขนมปังนี่ดูโกโรโกโสไปถนัดตา

ตัวเขาเองได้กินอาหารอร่อยล้ำมากมาย แต่กลับนำเพียงขนมปังหอยนางรมโกโรโกโสนี่กลับไปได้เท่านั้น… เช่นนี้ฝ่าบาทจะไม่เอ็ดเขาเอาหรือนี่

“เจ้าพ่อครัวน้อย… เจ้ายกเว้นให้ข้าหน่อยมิได้เลยหรือ ต่อให้ข้าจ่ายเงินให้เจ้าร้อยผลึกก็ไม่ได้หรือ” เหลียนฟู่กัดปากจ้องปู้ฟางด้วยสายตาเกลียดชัง

ร่างทั้งร่างของชายหนุ่มเจ้าของร้านสั่นสะท้าน สายตาของเหลียนฟู่ทำให้ขนทั้งร่างของเขาลุกชัน ชายหนุ่มก้มหน้าลงแล้วหันหลังกลับเข้าครัวไป เมินหัวหน้าขันทีเหลียนฟู่ไปโดยไม่หันกลับมามอง

เหลียนฟู่มองปู้ฟางเดินจากไปแล้วก็ได้แต่ถอนใจออกมาขณะก้มลงมองขนมปังหอยนางรมในมือ สุดท้ายก็ทำได้เพียงจำใจออกจากร้านมาด้วยความเคืองแค้นเท่านั้น

พอส่งเหลียนฟู่ออกจากร้านเรียบร้อย โอวหยางเสี่ยวอี้ก็วิ่งไปหาปู้ฟางอย่างตื่นเต้น

“นายท่านตัวเหม็น ข้าขอกินขนมปังหอยนางรมชิ้นนึงสิ!” เด็กหญิงตะโกนเสียงใส

“หืม เจ้าจะกินตอนนี้เลยรึ” ปู้ฟางชะงักแล้วถามอย่างงุนงง ก่อนหน้านี้โอวหยางเสี่ยวอี้ไม่ได้บอกหรือว่านางจะนำขนมปังกลับบ้าน เพื่อไปแบ่งให้บิดามารดาลองกิน

โอวหยางเสี่ยวอี้กลืนน้ำลายแล้วพูดพร้อมยิ้มกริ่ม “ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าจะลองกินก่อนก็แล้วกัน”

ปู้ฟางรู้ว่านางแค่ตะกละขึ้นมาเท่านั้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร บอกเพียงให้นางรอสักครู่

ไม่นานนักชายหนุ่มก็กลับออกจากครัวมาพร้อมขนมปังหอยนางรมพร้อมกินสองชิ้น

เขาส่งให้โอวหยางเสี่ยวอี้หนึ่งชิ้นและเก็บไว้เองหนึ่งชิ้น ทั้งสองลากเก้าอี้มานั่งตรงทางเข้าร้านอย่างสบายอารมณ์ และเริ่มกินขนมปังหอยนางรมกันสองคน

เด็กหญิงฉีกใบไผ่ออก แล้วรีบกัดขนมปังทันทีอย่างอดรนทนไม่ไหว เสียงกัดดังกรอบดังขึ้น ทันทีที่นางกัดขนมปังสุดกรอบเข้าไป น้ำหัวไชเท้าชุ่มฉ่ำก็หลั่งไหลเข้ามาในปาก

กลิ่นหอมเข้มโชยออกจากขนมปังหอยนางรม ห่อหุ้มตัวนางไว้จากบรรยากาศภายนอก เด็กหญิงมีสีหน้าสุขใจล้นปรี่ขณะก้มหน้าก้มตากินขนมปังหอยนางรมต่อ

ทั้งสองนอนขดกินขนมปังอยู่บนเก้าอี้ กลิ่นขนมปังกรุ่นโชยฟุ้งไปทั่วตรอก

“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ นี่คืออาหารที่ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่านนำกลับมาจากร้านใจไม้ไส้ระกำ  มันคือขนมปังหอยนางรมพะย่ะค่ะ” เหลียนฟู่เดินถือจานเงินแท้สลักลายละเอียดละออเข้ามา

ขนมปังหอยนางรมทรงครึ่งวงกลมสีทองสองชิ้นวางอยู่บนจานเงินแท้ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ พร้อมไออุ่นลอยล่องอยู่ด้านบน

จักรพรรดิจีฉางเฟิ่งลูบเคราตนเอง ขณะมองเหลียนฟู่ด้วยสีหน้างุนงง “เสี่ยวฟู่ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้านำอาหารทุกรายการกลับมารึ เหตุใดจึงนำเพียงไอ้ก้อนเล็กๆ เท่านี้กลับมาเล่า”

หน้าตาของขนมปังหอยนางรมนี้ดูน่าเกลียดเสียจริง มันดูเหมือนอาหารที่ชาวบ้านยากไร้จะมานั่งล้อมวงกินกัน

ทันทีที่เหลียนฟู่ได้ยินคำพูดของจักรพรรดิ หัวใจของเขาก็สั่นไหว จากนั้นก็เริ่มบ่นให้จักรพรรดิฟัง “ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ มีบางอย่างที่พระองค์ไม่เข้าพระทัย เจ้าของร้านใจไม้ไส้ระกำนั่นบอกข้าว่าอาหารจานอื่นนั้นไม่สามารถห่อออกจากร้านได้ด้วยประการทั้งปวง มีเพียงขนมปังนี้เท่านั้นที่ซื้อกลับบ้านได้พะย่ะค่ะ”

“อ้อ เจ้ากินอาหารจานอื่นในร้านเรียบร้อยแล้วรึ” จีฉางเฟิ่งถามเสียงเรียบพร้อมเหล่มองเหลียนฟู่ด้วยหางตา

“อืม รสชาตินั้นอร่อยเลิศล้ำเลยทีเดียว โดยเฉพาะซี่โครงเปรี้ยวหวาน…” เหลียนฟู่กำลังจะสาธยายคุณงามความดีของอาหารฝีมือปู้ฟาง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงสายตาอ่านยากของจักรพรรดิ หัวใจของเขาสั่นไหวทันที ขันทีผมขาวก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมคำนับ “เอ่อ ฝ่าบาท โปรดเมตตาข้าน้อยด้วยพะย่ะค่ะ!”

“ดูเหมือนเจ้าของร้านอาหารนั้นจะมีฝีมือพอตัวทีเดียว มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่ชมเขาไม่ขาดปากเช่นนี้ เช่นนั้น… ข้าจะลองกินไอ้ขนมปังหอยนางรมนี่ดูก็แล้วกัน” จีฉางเฟิ่งเอ่ย

เหลียนฟู่ใจลิงโลดทันทีที่เห็นว่าจักรพรรดิมิได้กล่าวโทษเขา จึงรีบยืดหลังตรง เขาส่งจานอาหารเงินแท้ให้จีฉางเฟิ่ง แล้วหยิบมีดเล่มเล็กที่ใช้หั่นขนมปังหอยนางรมออกมา ขันทีถกแขนเสื้อขึ้นแล้วหั่นขนมปังออกเป็นสองซีก

กลิ่นหอมหวนของขนมปังหอยนางรมกระจายออกในบัดดล กลิ่นอ่อนๆ หายไป แทนที่ด้วยกลิ่นเข้มทันทีที่ขนมปังถูกผ่าครึ่ง ราวกับเป็นระเบิดกลิ่นหอมที่ถูกปลดสลัก

น้ำสีขาวชุ่มฉ่ำไหลออกจากซีกที่ถูกผ่าครึ่ง กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งจาน

ดวงตาของจีฉางเฟิ่งเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่ได้กลิ่นหอมของขนมปังหอยนางรม เขาอุทานด้วยความประหลาดใจ “กลิ่นนี้หอมแต่ไม่แรงเกินไป อ่อนโยนแต่ไม่ยอมจางหาย เยี่ยม!”

เหลียนฟู่เองก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาไม่ได้คาดคิดว่าขนมปังหอยนางรมจะหอมถึงเพียงนี้ หากกลิ่นยังดีถึงขนาดนี้ แปลว่ารสชาติจะต้องยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน

จีฉางเฟิ่งเอื้อมมือออกไปหยิบขนมปังหอยนางรมซีกหนึ่งขึ้นมา เขามองขนมปังหอยนางรมอ้วนกลมในมือ และกัดลงไปอย่างรวดเร็ว รสชาติหอยนางรมระเบิดออกมาในปาก กระจายตัวเข้าไปในโพรงจมูกของเขา ทำให้รูขุมขนทั่วร่างกายเปิดกว้าง

ขอบของขนมปังทอดจนกรุบกรอบพอดี ผสานกับความนุ่มละมุนของหัวไชเท้าหั่นฝอย ก่อกำเนิดเป็นสัมผัสที่ยากจะลืมเลือน จีฉางเฟิ่งทำได้เพียงชมไม่ขาดปาก

“อร่อย! เป็นขนมปังหอยนางรมที่อร่อยอะไรเช่นนี้!”

เหลียนฟู่กลืนน้ำลาย ตัวเขาเองก็ดีใจเช่นกัน พลางคิดไปว่า “ฝ่าบาท ข้าดีใจเหลือเกินที่พระองค์พึงพระทัย มิเช่นนั้นแล้วหัวข้าคงหลุดจากบ่าเป็นแน่…”

หลังจากที่กินขนมปังหอยนางรมหมดไปครึ่งหนึ่ง จีฉางเฟิ่งก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก แล้วเช็ดคราบมันออกจากหนวด เขาหยิบขนมปังหอยนางรมอีกครึ่งขึ้นมากินหมดในเวลาไม่นาน

หลังจากที่กินขนมปังหอยนางรมหมดทั้งสองชิ้น จีฉางเฟิ่งก็หายใจออกด้วยความพึงพอใจ

“ข้าไม่ได้กินอาหารที่อร่อยถึงเพียงนี้มาสักพักแล้ว ร้านใจไม้ไส้ระกำนั่นดูจะมีฝีมืออยู่เหมือนกัน ข้าเริ่มสงสัยขึ้นมาเสียแล้วว่าอาหารจานอื่นจะรสชาติเป็นอย่างไร”

“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ ร้านนั้นไม่อนุญาตให้นำอาหารจานอื่นออกจากร้าน… หากพระองค์ประสงค์จะเสวย ต้องเสด็จไปที่ร้านด้วยพระองค์เองเท่านั้นพะย่ะค่ะ” เหลียนฟู่รู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อย

“แล้วข้าไปกินที่ร้านด้วยตนเองไม่ได้หรืออย่างไรเล่า อาหารอร่อยถึงเพียงนี้ ย่อมคุ้มค่าแก่การไปเยือนด้วยตนเองอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ยินมาว่าสุราที่ร้านนั้นก็เยี่ยมยอดกว่าสุราน้ำอัญมณีทิพย์อีกมิใช่หรือ ข้าชอบดื่มสุราชั้นยอดยิ่งนัก เสี่ยวฟู่ ไปเตรียมการเสีย พรุ่งนี้ข้าจะไปกินอาหารที่ร้านนั้น”

“สวรรค์โปรด ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ! พระองค์ไม่จำเป็นต้องเสด็จไปที่ร้านเลย ข้ารับใช้คนนี้จะไปที่ร้านนั้นอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ แล้วนำอาหารทั้งหมดกลับมาให้พระองค์อย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ” เหลียนฟู่รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย สุขภาพร่างกายของจักรพรรดิเป็นเช่นนี้จะให้ไปที่ร้านด้วยตนเองได้อย่างไร

จีฉางเฟิ่งมองเหลียนฟู่ด้วยสายตาไร้ความรู้สึก “เสี่ยวฟู่ หากข้าไปที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เพื่อกินเป็ดอบบุปผาได้ เหตุใดข้าจะไปกินอาหารอร่อยที่ร้านนี้บ้างไม่ได้เล่า จำไว้ พรุ่งนี้เราจะไปแบบไม่เปิดเผยตัวกัน”

เหลียนฟู่รู้สึกจนปัญญา เขาตัดสินใจเงียบๆ คนเดียวว่านอกจากการเตรียมเสด็จปกติแล้ว เขาจะแอบนำหมอหลวงไปด้วย เพื่อเตรียมตัวเอาไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ในร้านเล็กๆ ของฟางฟาง โอวหยางเสี่ยวอี้กำลังจ้องปู้ฟางด้วยหน้าตาน่าสงสาร หลังจากที่กินขนมปังหอยนางรมหมดไปสองชิ้น

“นายท่านตัวเหม็น เสี่ยวอี้ขออีกสองชิ้นได้หรือไม่ เสี่ยวอี้ยังไม่อิ่มเลย”

ดวงตากลมโตของนางกะพริบปริบๆ เพื่ออ้อนอย่างน่ารัก ทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นต่างรู้สึกอยากปกป้องตามใจนางด้วยกันทั้งสิ้น

ปู้ฟางเหลือบตามองนางแล้วพูดเสียงเรียบ “ไม่ หากเจ้ากินขนมปังหอยนางรมมากไป… จะเป็นร้อนใน”

……………………..