ภาคที่ 2 บทที่ 75 ใจเย็น

มู่หนานจือ

เจียงเจิ้นหยวนมองสีหน้าที่ดีใจเหมือนเด็กของจ้าวอี้ ครู่หนึ่งก็สงสัยมากว่าการมอบบ้านเมืองให้จ้าวอี้ปกครองนั้นเป็นทางเลือกที่ถูกต้องหรือไม่

ทว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้จ้าวอี้ไม่เหมาะสม เขากับเหล่าคนที่สนับสนุนจ้าวอี้ก็ทำได้เพียงลากจ้าวอี้ไปข้างหน้าแล้วเช่นกัน

เขาคารวะจ้าวอี้อย่างนอบน้อมหนึ่งครั้ง แล้วเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ฝ่าบาทลองเกลี้ยกล่อมไทเฮาดีๆ ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็เป็นผู้ให้กำเนิดฝ่าบาทเช่นกัน ไทเฮาจะต้องมอบอำนาจคืนให้ฝ่าบาทแน่พ่ะย่ะค่ะ”

นี่เป็นคำพูดที่ไร้สาระอย่างสิ้นเชิง

เฉาไทเฮาไม่มีทางที่จะปล่อยอำนาจในมือเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของจ้าวอี้อย่างแน่นอน

ดูจากประวัติศาสตร์ ไม่มีไทเฮาที่สำเร็จราชการแทนสามารถมอบอำนาจคืนให้ฮ่องเต้ได้อย่างสมบูรณ์สักคน ไม่อย่างนั้นก็เหมือนสูญเสียแม่ทัพที่มีอาวุธไป และทำได้เพียงก้มหน้ารับคำสั่งต่อหน้าศัตรู ไม่มีความสามารถในการปกป้องตนเองแล้ว

แต่เขาไม่อาจพูดมากไปกว่านี้ได้ อย่างน้อยเขาก็ไม่อาจพูดจายุยงให้แม่ลูกแตกคอกันได้

เรื่องแบบนี้มอบให้พวกขุนนางฝ่ายบุ๋นและวังจี่เต้าจากสำนักราชเลขาธิการแล้วกัน

เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ข้างพระวรกายไทเฮายังมีขันทีที่ร่างกายแข็งแรงอีกหลายคน กระหม่อมจะไปจับตัวเดี๋ยวนี้ ส่วนเรื่องอื่น…ฝ่าบาทปรึกษากับอ๋องเจี่ยนและราชเลขาธิการวังดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงแม่ทัพ เรื่องบางเรื่องอาจจะไม่ได้คิดให้รอบคอบและถูกต้อง”

จ้าวอี้ได้รับคำตอบยืนยันจากเจียงเจิ้นหยวนแล้วก็ภูมิใจกับความสำเร็จของตนเองมาก พอได้ยินก็พยักหน้าทันที และเอ่ยว่า “ลำบากเจ้าแล้ว! เจ้าไม่ต้องใส่ใจกับสิ่งที่เสด็จแม่เอ่ย พวกเราสองตระกูลเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน หากข้าเชื่อใจเจ้าไม่ได้ ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครที่ข้าเชื่อใจได้แล้ว พวกคนที่อยู่ข้างพระวรกายเสด็จแม่มักจะชอบแอบอ้างบารมีไปข่มเหงคนอื่น เมื่อก่อนข้าเห็นแก่ที่พวกเขาเคยรับใช้เสด็จแม่ จึงจำเป็นต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หากเสด็จแม่มอบอำนาจคืนให้ข้า ทั้งในและนอกราชสำนักนี้เปลี่ยนหน้าตาด้วยก็ดี พวกคนที่อยู่ข้างพระวรกายเสด็จแม่นั้นก็ต้องรบกวนเจ้าช่วยจัดการให้สิ้นซากแล้ว” พอเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็มองหลี่เชียนที่กำลังทำเป็นประคองไทเฮาอยู่ข้างหน้าครั้งหนึ่ง และเอ่ยอย่างลังเลว่า “คนๆ นี้หากข้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นลูกชายของแม่ทัพฝูเจี้ยน และเป็นองครักษ์อยู่ที่วังคุนหนิง เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? อีกเดี๋ยวข้ากับเสด็จแม่ยังมีเรื่องต้องคุยกันเล็กน้อย ให้เขาออกไปรอ แล้วเจ้าก็จัดการเขาไปด้วยเลยเถอะ! ขุนนางท้องถิ่นคนหนึ่งเข้ามาพัวพันถึงในนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ดี”

เจียงเจิ้นหยวนค้อมตัวและก้มหน้าลง พลางขานว่า “พ่ะย่ะค่ะ”

จ้าวอี้พอใจกับท่าทางของเจียงเจิ้นหยวนมาก

เมื่อก่อนอีกฝ่ายก็เคารพเขามาก แต่ในความเคารพนั้นเผยให้เห็นความห่างเหินเล็กน้อย ไม่เหมือนตอนนี้ที่เชื่อฟังและยอมศิโรราบต่อเขา

มิน่าเล่าทุกคนต่างอยากเป็นฮ่องเต้

หลังจากท่านแม่ว่าราชการหลังม่าน อย่างไรก็ไม่ยอมมอบตราแผ่นดินให้เขา

จ้าวอี้เงยหน้าขึ้น และตามหลังเฉาไทเฮาไปอย่างมีชีวิตชีวา

เจียงเจิ้นหยวนให้คนไปเชิญอ๋องเจี่ยนกับวังจี่เต้า ส่วนตัวเขาก็ไปจัดการคนที่อยู่ข้างกายเฉาไทเฮา

ตำหนักเต๋อฮุยยังคงเหมือนเดิม

ม่านสีเขียวนกแก้ว เตียงสี่เสาไม้สีทอง หน้าต่างฉลุลายติดกระดาษสีขาวราวกับหิมะ บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างปูเบาะรองนั่งที่เปลี่ยนใหม่ลายทรงกลมมังกรห้าเล็บสีแดงเลือดหมูประคองคำว่าอายุยืน แว่นตาสายตายาวทองเหลืองที่แคว้นทางตะวันตกส่งบรรณาการมายังคงวางทิ้งไว้บนโต๊ะชา

ทว่าเวลาไม่ถึงสองเค่อ ความรู้สึกของเฉาไทเฮากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นางยืนอยู่หน้ากระจกทรงสูงอย่างเงียบๆ ปล่อยให้ฮูหยินอันเฉิงแม่นมที่มือไม้สั่นกับเหล่านางในที่ดูแลรับใช้ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง

นางถูกกักบริเวณแล้ว เวลานี้ห้ามยั่วโมโหเจียงเจิ้นหยวนอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหากเจียงเจิ้นหยวนฆ่านาง และอ้างว่าเจอนักฆ่า ฮ่องเต้ยังอาจจะชมว่าเจียงเจิ้นหยวน ‘จงรักภักดีมาก’ แล้วยังจะมีใครออกหน้าแทนนางอีกหรือ?

เมื่อครู่นางก็ไม่ควรเอ่ยเช่นนั้น!

คนที่ใช้ได้ในมือนางตอนนี้ก็มีแต่หลี่เชียนแล้ว

ทว่าถึงอย่างไรหลี่เชียนก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปด กระตือรือร้น จงรักภักดี แน่วแน่ และซื่อตรง…เขาพุ่งเข้ามาช่วยนางโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง เป็นคนกล้าหาญและหนักแน่น แต่หลี่ฉางชิงบิดาของหลี่เชียนกลับเป็นจิ้งจอกเฒ่า เขายังจะยอมยืนอยู่ฝ่ายนางตอนที่นางกำลังอ่อนแอ ถึงขั้นโดดเดี่ยวและไม่มีความช่วยเหลือจากภายนอกหรือไม่ ก็ยังพูดยากจริงๆ ทว่าหลี่เชียนไม่มีตระกูลหลี่สนับสนุนแล้ว ทำไมเขาถึงปกป้องนางไว้อีก?

เวลานี้จะให้หลี่เชียนออกห่างจากสายตาของนางไม่ได้อย่างเด็ดขาด

มีหลี่เชียนอยู่ แม้ต่อไปหลี่ฉางชิงจะอยากตัดขาดความสัมพันธ์กับนางเพื่อผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล อย่างน้อยเวลานี้ที่มีคนจะฆ่านาง หลี่เชียนก็จะขวางอยู่ตรงหน้านาง

เฉาไทเฮานึกถึงที่หลี่เชียนขวางไว้เมื่อครู่ ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมาในทันใด

นางไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจแบบนี้มาหลายปีแล้ว

แล้วก็นึกถึงที่เข้าไปในตำหนักหลักของตำหนักเต๋อฮุย จ้าวอี้ให้หลี่เชียนออกไป สายตาที่หลี่เชียนมองนางนั้น

ไม่ได้กลัว แต่กังวล

เขาคงกำลังกังวลว่าฮ่องเต้จะทำร้ายนางกระมัง?

นางจะทำให้ตนเองโดดเดี่ยวได้อย่างไร?

สุดท้ายนางจึงอ้างว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า และไล่จ้าวอี้ออกไปจากตำหนักเต๋อฮุย

ทว่านี่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น

จ้าวอี้ก็เหมือนลูกเสือที่โตมาด้วยการกินหญ้า เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติของเลือดและเนื้อแล้ว จะกินมังสวิรัติได้อย่างไร?

ตอนนี้เพียงแค่อำนาจที่นางสั่งสมมานานยังอยู่ พอเขาตั้งสติได้แล้ว เกรงว่าคนที่รับใช้ข้างกายนางนั้นไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดที่จะรักษาชีวิตไว้เลย

เวลานั้นนางถึงจะโดดเดี่ยวจริงๆ

เฉาไทเฮามองฮูหยินอันเฉิงที่ยังคงเสียบปิ่นปักผมอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น แล้วก็เหมือนหงุดหงิดขึ้นมาทันที พลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องสวมของไร้ประโยชน์พวกนี้ เจ้าหยิบผ้าเช็ดหน้ามาให้ข้าผืนหนึ่งก็พอแล้ว” นางเอ่ยพลางปลดถุงเงินตรงเอวลงมา ทว่าตอนที่นางคิดจะโยนถุงเงินลงไปบนเตียงอุ่น นางก็จับถุงเงินไว้ในมือแน่นอีกครั้ง แล้วไล่พวกนางในที่ดูแลรับใช้ออกไป พลางเอ่ยกับฮูหยินอันเฉิงเสียงเบาว่า “แม่นม ตอนนี้พวกเราอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เจ้าต้องสงบจิตสงบใจให้ได้ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เสียหน่อย เจ้าลองคิดถึงสองสามปีนั้นที่ข้าเพิ่งจะเข้าวังมาสิ”

ฮูหยินอันเฉิงตอบว่า “เพคะ” ทั้งน้ำตาคลอเบ้า สีหน้าสงบลงไม่น้อย

เฉาไทเฮาเห็นแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย และเอ่ยต่อว่า “เจ้าฟังให้ดี คิดหาทางเก็บพวกเครื่องประดับทองและเงินทั้งหมดที่ปกติพวกเราใช้กันซ่อนไว้บนตัวข้า ชิ้นที่ซ่อนไม่ได้ เจ้าคิดหาทางเก็บไว้”

หากนางถูกปิดล้อม ขันทีและนางในเหล่านั้นไม่เห็นนางเป็นคนรับใช้ที่ต่ำต้อยและสั่งให้ทำงานก็ไม่เลวแล้ว ถ้าเวลานั้นยังไม่มีเงินอยู่ในมือ ต่อให้จ้าวอี้อยากปล่อยนางไป นางก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ปีเช่นกัน

ฮูหยินอันเฉิงมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว จึงหยิบเข็มเงินและเย็บทองกับเงินเหล่านั้นเข้าไปในเสื้อผ้าของไทเฮา

คืนนี้เฉาไทเฮายังจะต้องพักที่ตำหนักเต๋อฮุยอย่างแน่นอน แต่พรุ่งนี้ก็ไม่แน่แล้ว

พรุ่งนี้เช้าตื่นมาก็ต้องให้เฉาไทเฮาสวมชุดที่ซ่อนทองและเงินเหล่านี้เอาไว้

เฉาไทเฮาออกจากตำหนัก

หลี่เชียนกอดดาบไว้ และพิงอยู่ข้างเสาข้างตำหนัก

พอได้ยินเสียง เขาก็รีบยืดตัวตรงและมองมาอย่างห่วงใย

เฉาไทเฮายิ้มให้เขาเหมือนปลอบใจ และเอ่ยว่า “ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เจ้าก็ห้ามอยู่ห่างจากข้า ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยเจ้าไปหรอก”

“ขอบพระทัยไทเฮามากพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เชียนคารวะนาง สายตาสดใสแวววาว ตรงไปตรงมาและเด็ดเดี่ยว

ช่างเป็นเด็กที่ดีมาก น่าเสียดายที่รู้จักกันช้าเกินไป!

เฉาไทเฮาถอนหายใจอยู่ในใจ และไปที่ตำหนักหลัก

จ้าวอี้นั่งอยู่บนเตียงที่ปกติเฉาไทเฮานั่ง อ๋องเจี่ยนนั่งอยู่ต่ำกว่าจ้าวอี้ ส่วนวังจี่เต้า ซูเพ่ยเหวิน และไช่ติ้งจงยืนอยู่ข้างกายอ๋องเจี่ยน แต่เจียงเจิ้นหยวนที่เจ้าเล่ห์และจิตใจโหดเหี้ยมกลับไม่อยู่ในตำหนัก

เฉาไทเฮาทำเสียงไม่พอใจอยู่ในใจ

ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจรจริงๆ

เพียงชั่วพริบตาจ้าวอี้ก็นั่งอยู่ในตำแหน่งของนางอย่างยโสโอหังและไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแล้ว

อ๋องเจี่ยนที่เห็นเฉาไทเฮาลุกขึ้นยืนแล้ว เขาทักทายเฉาไทเฮาอย่างนอบน้อม “หลานสะใภ้!”

————————