ภาคที่ 2 บทที่ 76 ประนีประนอม

มู่หนานจือ

เรียกเฉาไทเฮาว่า ‘หลานสะใภ้’ นี่ก็เป็นมารยาทของตระกูลขุนนางแล้ว

เฉาไทเฮามองวังจี่เต้าที่ยืนอยู่ข้างกายอ๋องเจี่ยนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม แล้วก็โกรธจนมือกำเป็นหมัดแน่น

นี่จะเจรจาตามารยาทก่อน แล้วถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องค่อยใช้กำลังบังคับงั้นหรือ?

นึกถึงตอนนั้นที่นางมอบสิ่งดีๆ ให้อ๋องเจี่ยนอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบแทนที่อ๋องเจี่ยนสนับสนุนให้นางว่าราชการหลังม่าน ไม่เพียงแต่ให้เขาได้รับเงินเดือนของชินอ๋องสองเท่า ยังให้จวนอ๋องเจี่ยนสืบทอดบรรดาศักดิ์เดิมได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ส่วนซื่อจื่อก็ได้รับเงินเดือนเช่นชินอ๋อง…แต่เขาตอบแทนนางเช่นนี้

พอจ้าวอี้อยากจะว่าราชการด้วยตนเองก็ยืนอยู่ฝ่ายจ้าวอี้แล้ว

เฉาไทเฮารู้ดีว่าเวลานี้ควรอดทน ทว่านางก็ยังทนไม่ไหว จึงเอ่ยอย่างเจ็บปวดว่า “ท่านอา ข้าถามตนเองตั้งแต่สำเร็จราชการแทนเป็นต้นมา ข้าระมัดระวังมากและไม่เคยทำงานพลาด ทำไมท่านอาถึงทำกับข้าแบบนี้? ท่านอยากเป็นโจวกงหรอกรึ? เกรงว่าคงจะเป็นโจวกงไม่ได้ แต่กลับเป็นแบบฮั่วกวงและอีอิ่นแทน!”

นางพูดแบบนี้ อย่างแรกคือบอกเป็นนัยว่าอ๋องเจี่ยนคิดที่จะกุมอำนาจสำเร็จราชการแทนตั้งนานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้เพราะนางเป็นไทเฮาและชิงโอกาสมาได้ก่อน จึงทำไม่สำเร็จ ตอนนี้เห็นโอกาสมาแล้วจึงออกมาแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ อย่างที่สองคือบอกเป็นนัยว่าหากจ้าวอี้ไร้ความสามารถ ควบคุมอ๋องเจี่ยนไม่ได้ ก็จะกลายเป็นเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิดในกำมือของอ๋องเจี่ยน และถูกปลดได้ตลอดเวลา

จ้าวอี้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก และมองอ๋องเจี่ยนครั้งหนึ่งอย่างไม่ค่อยสบายใจ

อ๋องเจี่ยนอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

เฉาไทเฮาควบคุมจ้าวอี้อย่างเข้มงวดมาก ไม่ว่าจะเป็นพระญาติหรือขุนนางใหญ่ที่มีตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก ต่างก็ไม่ได้ติดต่อกับจ้าวอี้มากนัก จึงไม่ค่อยเข้าใจนิสัยของจ้าวอี้ ส่วนฝีปากอันร้ายกาจของเฉาไทเฮานั้น พวกเขาเคยสัมผัสในราชสำนักมาตั้งนานแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจ้าวอี้จะกังวลและไม่สบายใจ และสงสัยเจตนาของอ๋องเจี่ยนขึ้นมา เพราะคำพูดของเฉาไทเฮาเพียงประโยคเดียว

นี่ยังไม่ได้กำหนดอำนาจในการปกครองแคว้นเลย!

หากกำหนดอำนาจในการปกครองแคว้นแล้ว จ้าวอี้จะไม่ถูกคนอื่นพูดจาครอบงำตลอดหรือ!

ทุกวันนี้คนที่เป็นขุนนางอย่างพวกเขาแก้ต่างให้ตนเองก็จะไม่ทันแล้ว ยังจะมีกะจิตกะใจที่ไหนไปละทิ้งสิ่งเก่าและแสวงหาหนทางใหม่ ทำให้แคว้นฮึกเหิมขึ้นมาใหม่กัน

เจียงเจิ้นหยวนบอกว่ายังมีพวกคนร้ายที่หลงเหลืออยู่ต้องจัดการ ตอนนั้นเขายังรู้สึกว่าเจียงเจิ้นหยวนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อย…หรือว่าเขาเคยสัมผัสกับความโง่ของจ้าวอี้มาก่อนแล้วอย่างนั้นหรือ?

อ๋องเจี่ยนผิดหวังมาก มองจ้าวอี้เดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบปาก นานสองนานก็พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

บรรยากาศในตำหนักเหมือนขาดอากาศหายใจทันที

วังจี่เต้าเห็นสถานการณ์ผิดปกติ จึงรีบเอ่ยว่า “ไทเฮาตรัสผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องเจี่ยนอยากเป็นแบบฮั่วกวงและอีอิ่น แล้วฝ่าบาทก็ไม่ใช่อ๋องชางอี้และไท่เจี่ยเช่นกัน! ฝ่าบาทเป็นผู้ที่ไทเฮาอบรมสั่งสอนมาด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทเป็นคนอย่างไร ไทเฮายังไม่ทราบหรือ? แม้แต่คนที่หัวโบราณอย่างอาจารย์สงก็ชื่นชมฝ่าบาทมากเช่นกัน มักจะชมว่าฝ่าบาทกตัญญูและรู้ความ คนที่เป็นขุนนางอย่างพวกเราทุกครั้งที่ได้ยินก็ปลื้มใจกันมาก ยิ่งกว่านั้นท่านอ๋องเจี่ยนเป็นหนึ่งในขุนนางที่ช่วยฝ่าบาทพระองค์ก่อนบริหารราชการแผ่นดินและฝากฝังให้ดูแลองค์ชายก่อนจะสวรรคต หากไม่ใช่ว่าวางใจในตัวไทเฮา หลายปีนี้ท่านอ๋องเจี่ยนก็คงจะไม่เก็บตัวอยู่แต่ในจวนแล้วเช่นกัน!” เขาพูดไปก็มองจ้าวอี้ครั้งหนึ่ง

จ้าวอี้ถึงได้สติกลับมา ทว่าการหยุดชะงักเมื่อครู่นั้นยังคงทำให้เขาแลดูท่าทางไม่ค่อยสุภาพนัก เขาขาดความมั่นใจเล็กน้อย และรีบเอ่ยว่า “เสด็จแม่ อย่าว่าท่านปู่แบบนี้เลย! เสด็จแม่ก็มักจะตรัสไม่ใช่หรือว่า ตอนนั้นหากไม่ใช่ท่านปู่ก็ไม่มีพวกเราแม่ลูกในวันนี้เช่นกัน ทำไมเสด็จแม่ถึงตรัสออกมาแบบนี้อีก นี่จะไม่ทำให้ท่านปู่ได้ยินแล้วรู้สึกเสียใจหรือ?”

เฉาไทเฮาปรายตาไปมองจ้าวอี้ครั้งหนึ่งอย่างดูถูก

สมกับเป็นเผ่าพันธุ์ของตระกูลจ้าวจริงๆ โง่จนคนสอนเสื่อมเสียไปด้วย!

นี่ยังไม่ได้ว่าราชการด้วยตนเอง ก็ถูกคนจับอยู่ในมือเหมือนหุ่นเชิดแล้ว

นางไม่อยากสนใจจ้าวอี้อีกด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรเวลานี้เขาก็เป็นผู้ปกครองแคว้นและตัดสินใจไม่ได้แล้ว หากพวกเจียงเจิ้นหยวน อ๋องเจี่ยน และวังจี่เต้าอยากให้เขาฆ่านาง ถึงแม้ในใจเขาจะไม่เต็มใจก็เกรงว่าจะถูกเกลี้ยกล่อมอยู่ดี ดังนั้นแทนที่นางจะเสียเวลาพูดอยู่ที่นี่ สู้คุยกับคนที่สามารถตัดสินใจได้ดีกว่า

“เจียงเจิ้นหยวนล่ะ?” เฉาไทเฮาเอ่ย “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา”

บัณฑิตเจอนักรบ มีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้

ในช่วงเวลาสำคัญ ใครกุมอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ คนนั้นก็ยังมีสิทธิพูดอยู่ดี

เจียงเจิ้นหยวนต่างหากที่จะเป็นคนที่ตัดสินความเป็นความตายของนางได้

เฉาไทเฮารู้ดี

นางฉวยโอกาสนี้เอ่ยถึงเจียงเจิ้นหยวนขึ้นมาทำให้อีกฝ่ายตกที่นั่งลำบากได้พอดี

ทำร้ายนางถึงขั้นนี้ เขาก็เลิกคิดที่จะปลีกตัวออกไปอย่างสบายใจได้เลย

คนที่อยู่ในห้องนั้น จ้าวอี้กับไช่ติ้งจงที่ไม่เข้าใจความหมายของเฉาไทเฮาตอบอย่างโง่ๆ ว่า “เจิ้นกั๋วกงมีธุระ” ส่วนอ๋องเจี่ยน วังจี่เต้า และซูเพ่ยเหวินที่เข้าใจความหมายของเฉาไทเฮาต่างรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก พวกเขาล้วนคิดว่าเฉาไทเฮาก่อเรื่องเก่งเกินไป การเก็บนางไว้เป็นหายนะครั้งใหญ่ แต่ใครจะไปบอกฮ่องเต้เรื่องฆ่านางดีล่ะ?

ทั้งสามคนต่างมองหน้ากันและกันอย่างลำบากใจ

ทว่าไช่ติ้งจงกลับรับคำสั่งจากจ้าวอี้และไปหาเจียงเจิ้นหยวนแล้ว

ในความคิดของจ้าวอี้ เจียงเจิ้นหยวนสุขุมลุ่มลึก มีสติปัญญาและแผนการมาก ทั้งยังวินิจฉัยเก่ง มีอีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ มารดาของเขาก็เล่นลูกไม้อะไรไม่ได้

เจียงเจิ้นหยวนอยู่ด้วย เขาก็รู้สึกสบายใจเช่นกัน

ไม่นานเจียงเจิ้นหยวนก็เดินตามไช่ติ้งจงเข้ามา

เขาหน้าตาเคร่งขรึมจริงจัง ให้ความรู้สึกว่าพูดน้อยมากแต่กลับน่าเชื่อถือ

เฉาไทเฮารู้สึกว่าเวลานี้ตนเองก็ยืนอยู่ริมหน้าผา นางแค่อยากกลับไปที่ที่ปลอดภัยเร็วหน่อยเท่านั้น

ไม่เช่นนั้นถึงตอนที่จ้าวอี้รู้แน่ชัดว่าตัวนางมีอำนาจมากแค่ไหนกันแน่ เขาอาจจะฆ่านางก็ได้

“เจียงเจิ้นหยวน” นางเรียกเจิ้นกั๋วกงอย่างไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว “ต่อหน้าคนฉลาดไม่พูดโกหก ข้าก็ไม่ใช่หญิงชาวบ้านที่อ่อนต่อโลกเช่นกัน พวกเรามาเปิดอกคุยกันตรงๆ ในเมื่อพวกเจ้าตั้งใจวางแผนเรื่องแบบนี้ก็คงจะต้องมีแผนการอยู่ในใจตั้งนานแล้ว หลังจากข้ามอบอำนาจคืนให้ฝ่าบาทแล้ว พวกเจ้าคิดจะจัดการกับข้าอย่างไร!”

ถึงจะหลอกตนเองก็ต้องปิดหูไว้เช่นกัน

จะให้เฉาไทเฮาตายทันทีที่ฮ่องเต้ว่าราชการด้วยตนเองไม่ได้

อ๋องเจี่ยนเข้าใจเจียงเจิ้นหยวน จึงไม่มองเจียงเจิ้นหยวนแม้แต่ครั้งเดียว

ทว่าขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างวังจี่เต้าไม่ได้สนิทกับเจียงเจิ้นหยวน เขามองเจียงเจิ้นหยวนแล้วก็ร้อนใจมาก กลัวมากว่าเขากับจ้าวอี้จะร่วมมือกันเสนอให้ฆ่าเฉาไทเฮาเสียเดี๋ยวนี้

ใครจะรู้ว่าเจียงเจิ้นหยวนกลับตอบว่า “กระหม่อมแล้วแต่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

คนที่อยู่ในห้องต่างพากันอึ้ง

จ้าวอี้ดีใจสุดขีด ทว่าพวกอ๋องเจี่ยนกลับถอนลอบหายใจ คิดว่าตระกูลเจียงสมกับเป็นตระกูลขุนนางที่ยืนยาวมาร้อยปี คิดทบทวนดูว่าตนเองบอกฮ่องเต้ตรงเกินไปแล้วหรือไม่ มีแต่เฉาไทเฮาที่รู้ว่าครั้งนี้เจอคู่แข่งที่น่ากลัวแล้ว หากรับมือไม่ระวังก็เกรงว่าจะถูกตระกูลเจียงกิน และฮ่องเต้ยังอาจจะซาบซึ้งกับความจงรักภักดีของเจียงเจิ้นหยวนด้วย

หลังจากล้มล้างราชสำนัก เป็นครั้งแรกที่เฉาไทเฮามองจ้าวอี้ด้วยสายตาจริงจัง และเอ่ยเสียงทุ้มว่า “เช่นนั้นฝ่าบาทคิดจะทำกับข้าอย่างไรล่ะ?”

จ้าวอี้ตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งถึงตั้งสติได้ และเอ่ยตามผลที่ปรึกษาหารือกับวังจี่เต้าว่า “เสด็จแม่ ข้าไม่ได้คิดที่จะทำให้เสด็จแม่ลำบากอย่างแน่นอน ข้าเพียงแต่หวังว่าเสด็จแม่จะเสด็จไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จย่าที่วังฉือหนิงได้ ส่วนเรื่องในราชสำนักก็มอบให้ข้าแล้วกัน เสด็จแม่ไปวังฉือหนิง นอกจากไม่ต้องว่าราชการตอนเช้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม…ของที่เสด็จแม่ใช้ประจำ นางในและขันทีที่รับใช้เสด็จแม่ก็จะไปวังฉือหนิงพร้อมกับเสด็จแม่โดยไม่ขาดแม้แต่คนเดียว ข้าก็จะปรนนิบัติเสด็จแม่ทุกวันทั้งเช้าและเย็นเช่นกัน จะไม่ให้ทำให้เสด็จแม่เหงาและโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน”

พูดได้น่าฟัง อย่างนั้นเจียงเจิ้นหยวนกับไทฮองไทเฮามีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

นางเข้าไปอยู่ในวังฉือหนิงแล้ว เกรงว่าจะทำให้คนลงมือได้สะดวกขึ้น และตายอย่างเงียบเชียบได้ง่ายขึ้น

เฉาไทเฮาเอ่ยว่า “สถานที่ใหญ่เท่าฝ่ามืออย่างวังฉือหนิง และเป่าหนิงก็อยู่ที่นั่นด้วย เจ้าจะให้ใครย้ายที่ให้ข้า! หลายปีนี้ข้าก็ถือว่าทุ่มเทความคิดและจิตใจ เพื่อราชวงศ์สกุลจ้าวของพวกเจ้าเช่นกัน ในเมื่อข้าไม่จำเป็นต้องว่าราชการตอนเช้าแล้ว หลังจากฝ่าบาทว่าราชการด้วยพระองค์เอง ไม่นานก็ต้องตั้งฮองเฮา ข้าว่าข้าก็อยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วนี้ และงานในวังก็มอบให้ฮองเฮาในภายภาคหน้าของเจ้าแล้วกัน”

วังหลวงคุ้มกันโดยหน่วยองครักษ์ เฉากั๋วจู้ไม่อยู่แล้ว หน่วยองครักษ์จะเปลี่ยนให้คนที่จ้าวอี้ไว้วางใจมาเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์แทน นางกลับวังหลวง ความเป็นความตายอยู่ในกำมือของคนอื่น ทว่าหากนางอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วก็คงดีกว่า ภูเขาวั่นโซ่วเป็นอุทยานหลวง คนที่คุ้มกันจะเป็นหน่วยองครักษ์หรือกองบัญชาการกองกำลังรักษาพระนครก็ได้ และหลี่เชียนก็ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนางมากไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นก็ให้ทหารตระกูลหลี่ของหลี่ฉางชิงมาเป็นองครักษ์ให้นางแล้วกัน

ขอเพียงฮ่องเต้ยอมรับเงื่อนไขนี้ เรื่องอื่นก็พูดง่ายหมด

การยอมถอยสักก้าวไม่เพียงไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความอดทนเป็นอย่างมาก

ตราบใดที่ยังมีชีวิตก็ยังมีอนาคตและความหวัง

ต่อไป…ทุกคนก็คอยดูแล้วกัน!

———————