ภาคที่ 2 บทที่ 77 ต้องคืน

มู่หนานจือ

เฉาไทเฮาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ พอมีคนที่พึ่งพาอาศัยได้แล้วก็ผ่อนคลายลงทั้งตัว

จ้าวอี้ได้ยินมารดาของตนเองเสนอว่าจะอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

แบบนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องเจอมารดาของเขาบ่อยๆ อีกแล้วเช่นกัน

เขาจะทำอะไรก็สามารถหลบเลี่ยงสายตามารดาของเขาได้แล้ว

แล้วก็ได้เป็นเจ้าของวังทั้งหกนั้นอย่างแท้จริงแล้วเช่นกัน

จ้าวอี้ตกลงโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ “เสด็จแม่ ไม่ใช่ว่าข้าจะอกตัญญูต่อเสด็จแม่ เพียงแต่ข้าอายุมากแล้ว คงจะไม่ทำอะไรเลยและพึ่งพาเสด็จแม่ไปตลอดแบบนี้ไม่ได้ หลังจากเสด็จแม่ไม่ว่าราชการหลังม่านอีกแล้ว ข้าจะกตัญญูต่อเสด็จแม่ให้มากขึ้น อย่าว่าแต่เสด็จแม่อยากอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วเลย ต่อให้อยากอยู่ที่วังคุนหนิงต่อ ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามเช่นกัน…”

เขาขอแค่เฉาไทเฮาอยู่ห่างจากเขา เขาก็รับปากอย่างไม่มีข้อจำกัด

เฉาไทเฮาอดที่จะมองอ๋องเจี่ยนครั้งหนึ่งไม่ได้

เป็นอย่างที่นางคิด นัยน์ตาของอ๋องเจี่ยนฉายแววตกใจ

เฉาไทเฮารู้สึกภูมิใจเล็กน้อย

ก่อกบฏตามจ้าวอี้!

ตอนนี้พวกเจ้ารู้ว่าพวกเจ้าถืออะไรอยู่ในมือแล้วใช่หรือไม่?

ภายภาคหน้าพวกเจ้ายังต้องลำบากมากกว่านี้!

หากไม่ได้เห็นเจียงเจิ้นหยวนยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนเสาไม้ นางก็จะยิ้มออกมาแล้ว

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” เฉาไทเฮาดื่มชาอึกหนึ่ง สงบสติอารมณ์ แล้วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ฝ่าบาทฆ่าเฉากั๋วจู้ ข้าจึงไม่มีคนที่ใช้งานได้แล้ว ต่อไปจะใครมาเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์ต้องให้ข้าเป็นคนกำหนด!” นางเอ่ยถึงตรงนี้ก็จ้องจ้าวอี้ด้วยสายตาเฉียบขาด

จ้าวอี้หวาดกลัวขึ้นมาทันที

ครั้งนี้พวกเขาล้มเฉาไทเฮาได้ ก็เพราะฆ่าเฉากั๋วจู้อย่างที่อีกฝ่ายคาดไม่ถึง

แล้วเขาจะให้คนสนิทของเฉาไทเฮาเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์ต่อได้อย่างไร?

วันไหนเฉาไทเฮาเล่นลูกไม้เดิมยึดอำนาจเขาอีก เขาจะไม่เสียเปรียบมากงั้นหรือ!

จ้าวอี้มองไปทางเจียงเจิ้นหยวน

ก่อนหน้านี้เจียงเจิ้นหยวนเคยคุยกับเขาเรื่องนี้ เขาอยากให้เกาหลิ่งองครักษ์ประจำตัวที่ตนเองไว้ใจที่สุดเป็น

เพียงแต่ตอนนี้เกาหลิ่งเป็นองครักษ์ระดับสี่ ทว่าหัวหน้าหน่วยองครักษ์นั้นระดับสอง

จะเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นกรณีพิเศษ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากเจียงเจิ้นหยวน

แต่เจียงเจิ้นหยวนกลับบอกว่าไม่เป็นไร บอกว่าเขาเป็นฮ่องเต้ มีสิทธิให้เกาหลิ่งเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์

เรื่องนี้จ้าวอี้รู้สึกว่าเจียงเจิ้นหยวนทำให้เขาสบายใจมาก

ทว่าเฉาไทเฮาจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน

ทุกคนเห็นจ้าวอี้ขอความเห็นจากเจียงเจิ้นหยวนก็พากันมองไปทางเขาเช่นกัน

เจียงเจิ้นหยวนถอนหายใจในใจ

ฮ่องเต้ยังคงอ่อนเกินไป ลูกไม้ยอมถอยเพื่อที่จะมุ่งไปข้างหน้าของเฉาไทเฮาชัดเจนขนาดนี้ เขาก็ดูไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าหลายปีนี้เขาเติบโตมาในวังอย่างไร?

เจียงเจิ้นหยวนถูกจ้าวอี้ผลักไปถึงสถานที่ที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดแล้ว หากเขาไม่พูดอีก เกรงว่าพวกวังจี่เต้าจะเข้าใจผิดว่าเขาคิดจะวางตัวเฉย เพราะกลัวล่วงเกินเฉาไทเฮา

“กระหม่อมคิดว่าให้ฝ่าบาทเป็นผู้กำหนดดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ถึงอย่างไรต่อไปไทเฮาก็จะประทับที่ภูเขาวั่นโซ่ว ฝ่าบาทประทับที่วังหลัง หน่วยองครักษ์ยังคงต้องยึดวังหลังเป็นหลักพ่ะย่ะค่ะ”

เท่ากับว่าพวกเจียงเจิ้นหยวนถูกบังคับให้เห็นด้วยที่จะให้เฉาไทเฮาอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วหลังจากนี้แล้ว

สายตาของเฉาไทเฮาทอประกายเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ให้ข้าเป็นคนกำหนดองครักษ์ของภูเขาวั่นโซ่ว และให้ฝ่าบาทเป็นคนกำหนดหัวหน้าหน่วยองครักษ์แล้วกัน”

วังจี่เต้าคิดว่าจะถูกเฉาไทเฮาจูงจมูกเดินไปแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว จึงรีบเอ่ยว่า “ไทเฮา ไม่ว่าจะเป็นภูเขาวั่นโซ่วหรือพระราชวังหลวงก็เป็นสถานที่ของราชวงศ์ทั้งนั้น แล้วทำไมจะต้องแบ่งอย่างชัดเจนขนาดนี้ด้วย? กระหม่อมว่าก็ให้หน่วยองครักษ์คุ้มกันเหมือนกันไปเลย…”

เฉาไทเฮามองไปทางจ้าวอี้พลางยิ้มเยาะ และเอ่ยว่า “เจ้าก็คิดแบบนี้เหมือนกันหรือ? เจ้าว่าราชการด้วยตนเองแบบนี้หรือ? ต้องให้พวกขุนนางพูดแทนทุกเรื่อง? เช่นนั้นจะมีฮ่องเต้อย่างเจ้าไปทำไมกัน?”

“ไม่ใช่!” จ้าวอี้หน้าแดงก่ำ และเถียงเฉาไทเฮาอย่างลืมตัว “ข้าไม่ได้คิดแบบนี้…”

วังจี่เต้าปิดปากแน่น

เวลานี้เขาถึงสังเกตเห็นความฉลาดของเจียงเจิ้นหยวน

ส่วนจ้าวอี้ก็เอ่ยแล้วว่า “ในเมื่อเสด็จแม่อยากส่งองครักษ์ที่ตนเองชอบมาคุ้มกันความปลอดภัยของภูเขาวั่นโซ่ว เช่นนั้นก็ให้เสด็จแม่จัดการแล้วกัน! เสด็จแม่ไม่จำเป็นต้องพิโรธด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”

เฉาไทเฮาหัวเราะเยาะหลายครั้งอย่างดูถูก

เจียงเจิ้นหยวนปรายตาผ่านหลี่เชี่ยน

ในที่สุดหลี่เชียนก็ทำเรื่องนี้สำเร็จ

ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุสิบแปดใช่หรือไม่?

ต่อไปคงจะทำเรื่องยากๆ ได้…

เจียงเซี่ยนนอนอยู่ที่ตำหนักชิ่งซั่นอย่างสะลึมสะลือ เดี๋ยวก็ถลำเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันอันล้ำลึก เดี๋ยวก็รู้สึกเหมือนตนเองนั่งอยู่บนเรือ ร่างกายกระเพื่อมขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา ข้างกายเสียงจ้อกแจ้กจอแจดังมาตลอด ในนั้นเหมือนยังปนเสียงกรีดร้องของเมิ่งฟางหลิงอยู่ด้วย เดี๋ยวก็ฝันถึงหลี่เชียน เขามองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สายตาดื้อรั้นและลุ่มลึก กระซิบถามข้างหูนางอย่างซื่อสัตย์ด้วยเสียงทุ้มต่ำเหมือนหูฉินว่า ‘เจ้าไปกับข้าเสียเลยดีกว่า…’

เจียงเซี่ยนตื่นขึ้นมาในทันใด

ต้นฤดูหนาวที่หนาวเย็น แต่นางกลับเหงื่อออกเต็มตัวจนกางเกงเปียก

ฉิงเค่อที่ได้ยินเสียงเลิกผ้าม่านเตียงขึ้นอย่างแผ่วเบาและถามนางด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย “ท่านหญิง เป็นอะไรไปเจ้าคะ?”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เจียงเซี่ยนพึมพำ “อาจจะเพราะฝันร้าย เจ้าตักน้ำมาให้ข้าเช็ดตัวหน่อย”

ฉิงเค่อขานว่า “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม แล้วแขวนม่านครึ่งหนึ่ง และไปตักน้ำให้นางด้วยตนเอง

เจียงเซี่ยนนั่งพิงหัวเตียง ในสมองคิดถึงภาพที่หลี่เชียนพูดกับนางว่า ‘เจ้าไปกับข้าเสียเลยดีกว่า’ ในความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นางรู้สึกคุ้นมาก ทว่าอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าหลี่เชียนเคยเอ่ยคำพูดเหล่านี้กับนางตอนไหนกันแน่

ผู้อาวุโสต่างบอกว่าสิ่งที่คิดในตอนกลางวันคือสิ่งที่ฝันเห็นในตอนกลางคืน…ความคิดแล่นผ่านไป เจียงเซี่ยนตัวแข็งทื่อ และกดความรู้สึกที่แปลกประหลาดนี้ลงไปยังก้นบึ้งของหัวใจอย่างเร็วมาก แล้วนึกถึงเรื่องที่ตำหนักเต๋อฮุย

ไม่รู้ว่าพวกเขาทำสำเร็จหรือไม่?

หลี่เชียนได้เจอเฉาไทเฮาอย่างราบรื่นหรือเปล่า?

ไม่รู้ว่าเขาจะทำให้เฉาไทเฮาใช้งานเขาด้วยวิธีไหน?

นางคิดได้อีกว่าหลี่เชียนแสดงออกง่าย…ถึงเวลานั้นคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่ชนชั้นสูงก็เป็นขุนนางที่มีความดีความชอบและกุมอำนาจสำคัญ หวังว่าหลี่เชียนจะไม่ปากสว่างจนไม่ระวัง และฝืนออกมายุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่งต่อหน้าพวกคนแก่อายุมาก จนถูกคนพวกนั้นขายแล้วก็ยังไม่รู้เรื่อง

พอคิดแบบนี้ เจียงเซี่ยนก็นอนไม่หลับอีกแล้ว

นางคลุมเสื้อคลุมและเดินออกจากตำหนัก

ไม่รู้ว่าโคมไฟประดับมุกที่เชื่อมต่อกันสี่โคมบนเสาหินแกะสลักที่ท่าเรือวารีเคียงพฤกษาเปลี่ยนเป็นโคมไฟประดับมุกที่เชื่อมต่อกันหกโคมตั้งแต่เมื่อไร

เจียงเซี่ยนไม่ได้คิดอะไรมาก นางมองวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วที่มืดมิดยามราตรีและเริ่มเหม่อลอย

แต่ทางจ้าวเซี่ยวกลับตกใจตื่นใจเต้นแรงพักหนึ่งอย่างไม่สามารถอธิบายได้

เขาถามองครักษ์ข้างกายที่รับหน้าที่ติดตามและเข้าเวรกลางคืนในห้องเขา “ตอนนี้ยามไหนแล้ว?”

องครักษ์ออกไปดูนาฬิกาทราย และเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ ตอนนี้ยามห้าย[1]หนึ่งเค่อขอรับ”

“เพิ่งจะยามห้ายหรือ?” จ้าวเซี่ยวพึมพำ

ทำไมถึงรู้สึกว่าดึกมากแล้ว

เขานอนลงอีกครั้ง ทว่าในใจกลับเหมือนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่เอียงหูฟังดูแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น

เขาคิดมากไปงั้นหรือ?

เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ

มีองครักษ์เคาะหน้าต่างที่ฉลุลายของเขาอย่างแผ่วเบา และเอ่ยเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อ ฝั่งตะวันออกมีความเคลื่อนไหวขอรับ”

คนที่พักอยู่ฝั่งตะวันออกคืออ๋องเหลียว

จ้าวเซี่ยวตกใจจนพลิกตัวลุกขึ้นมานั่งทันที แล้วเหยียบส้นรองเท้าพลางสวมเสื้อผ้า “ทางนั้นมีความเคลื่อนไหวอะไร?”

“ไม่ทราบขอรับ!” องครักษ์เอ่ย “ข้าไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่รู้สึกว่าทางนั้นมีคนเข้าออก”

หรือว่าเฉาไทเฮาฉวยโอกาสจะจัดการอ๋องเหลียวงั้นหรือ?

จ้าวเซี่ยวนึกถึงองค์ชายหลายคนที่ฉินกุ้ยเฟยให้กำเนิด แล้วก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว

เขาตามองครักษ์ออกจากตำหนัก และมองไปทางที่พักของอ๋องเหลียวทางฝั่งตะวันออกไกลๆ

ตรงนั้นมืดมาก จึงมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

“พวกเจ้าส่งคนไปจับตาดูไว้” จ้าวเซี่ยวเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยว่า “หากมีความเคลื่อนไหวให้บอกข้าทันที ถ้าตามไปดูอย่างเงียบๆ ได้ก็ยิ่งดี แต่อย่าให้ใครรู้ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”

องครักษ์ตอบว่า “ขอรับ”

จ้าวเซี่ยวยืนได้อีกครู่หนึ่งก็กลับห้องไป

———————————

[1] ยามห้าย = ช่วงเวลา 21.00-22.59 น.