ตอนที่ 79 เกี๊ยวไส้เนื้อวัวขึ้นฉ่าย

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 79 เกี๊ยวไส้เนื้อวัวขึ้นฉ่าย

วันเวลาอันสงบสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วพริบตาเดียวก็ถึงวันสิ้นปีแล้ว

ปีนี้จี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่กลับมาเร็วกว่าปีที่ผ่านมา นอกเหนือไปจากเรื่องที่น้องชายคนเล็กคนนี้ผลาญเงินทั้งหมดของตระกูลไปกับการซื้อบ้านแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับเขาอยู่

อย่างไรเสียนี่ก็เป็นน้องชายคนเล็กที่ถูกเลี้ยงดูส่งเสียมาด้วยเงินเดือนของเขาเอง

จี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่กลับมาในวันที่ยี่สิบ และจะอาศัยอยู่ที่นี่จนกว่าจะกลับไปที่เมืองเจียงสุ่ยอีกครั้งในวันที่สิบของเดือนหน้า

ซูตานหงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาในตอนที่เฝิงฟางฟางมานั่งอยู่ที่บ้านด้วย “ทำไมปีนี้น้องสี่ถึงกลับมาเร็วล่ะคะ? ปกติที่ผ่านมาจะกลับมาช่วงวันที่ยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกไม่ใช่เหรอ?”

“ใครจะไม่รู้ล่ะว่าเป็นความคิดของอวิ๋นลี่ลี่ ไม่ใช่ว่าราคาบ้านในเมืองปีนี้เพิ่มสูงขึ้นเหรอ? ห้องชุดขนาด 80 ตารางเมตรที่หล่อนซื้อไว้มีราคาเพิ่มสูงถึงเกือบสองเท่าตัวแล้วน่ะสิ หล่อนถึงได้กลับมา” เฝิงฟางฟางพูด

ซูตานหงพลันยิ้ม “ก็แค่ห้องชุดห้องหนึ่งเอง มีอะไรให้ยุ่งยากใจกัน”

พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ห้องชุดที่เธอซื้อเอาไว้ก็มีราคาพุ่งสูงเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์เหมือนกัน นอกจากห้องแรกที่ซื้อไว้ในเมืองเจียงสุ่ยมีราคาเพิ่มขึ้นแล้ว อีกสองห้องในเมืองมหาวิทยาลัยก็มีราคาเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

“พี่สะใภ้ใหญ่คะ ถ้าพี่มีเงิน พี่ซื้อไว้สักห้องก็ได้นะคะ” ซูตานหงหัวเราะ

“ทำไมพี่ต้องซื้อมาทั้งที่ไม่ได้ไปอยู่ด้วยล่ะ ปีหน้าพี่จะทุบบ้านทิ้งแล้วสร้างใหม่เหมือนกับหลังที่เธออยู่น่ะจ้ะ” เฝิงฟางฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“บ้านที่มีลานใหญ่ขนาดนี้จะดีขนาดไหนกันคะ มันดูล้าสมัยเกินไปแล้ว ถ้าพี่อยากสร้างใหม่ พี่ก็สร้างเป็นตึกไปเลยสิคะ” ซูตานหงพูด

“สร้างเป็นตึกน่ะไม่เหมาะหรอก พี่ชอบบ้านที่มีลานใหญ่ ๆ แบบนี้มากกว่า อีกอย่างพี่ก็ไม่อยากเป็นจุดเด่นของหมู่บ้านด้วย ไม่มีใครคนอื่นเขาสร้างตึกกันหรอก” เฝิงฟางฟางตอบ

ซูตานหงพยักหน้า

“กลับมาคราวนี้ก็ไม่มีอะไรมาฝากล่ะสิท่า” เฝิงฟางฟางแค่นเสียงอีกครั้ง

ซูตานหงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักได้ว่าหล่อนกำลังพูดถึงอวิ๋นลี่ลี่อยู่

จากนั้นเฝิงฟางฟางจึงพูดพึมพำต่อด้วยความขุ่นเคือง “ไม่ใช่ว่าครอบครัวสมาชิกสามคนนี้ไม่ได้ทำงานสักหน่อย แต่ไม่คิดจะเอาอะไรมาฝากผู้เฒ่าทั้งสองเลยเหรอ? อาหารที่สองผู้เฒ่ากินก็ล้วนมาจากครอบครัวของเรา เธอกับเจี้ยนอวิ๋นก็เป็นคนเอาเนื้อและผักมาให้ ส่วนอีกสองบ้านที่เหลือแค่มาชุบมือเปิบเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถึงบ้านรองจะมากินเฉย ๆ ก็มากินแค่เลี้ยงส่งท้ายปีเก่ากับกินอาหารมื้อแรกของปีใหม่ แต่บ้านสี่ที่มีสามคนกลับมากินอย่างเดียวยาว ๆ จนถึงวันที่สิบเลย ช่างกล้านักนะ!”

เดิมทีซูตานหงก็ไม่ได้อยากแสดงความคิดเห็นอะไรนัก แต่มันคงจะดูไม่ดีหากไม่พูดอะไรเสียบ้าง เธอจึงพูดออกไป “บางทีบ้านสี่อาจจะให้เป็นเงินมาแทนก็ได้นะคะ”

“ให้เงินเหรอ?” เฝิงฟางฟางแค่นเสียง “เรื่องนั้นเธอยิ่งไม่ต้องคิดถึงใหญ่เลย สำหรับคนอย่างอวิ๋นลี่ลี่แล้วอย่ากลับมาเพื่อปอกลอกคุณพ่อกับคุณแม่จะดีกว่า!”

ซูตานหงเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน จากนั้นจึงถามต่อ “จะว่าไปแล้วพี่รู้ได้อย่างไรคะว่าราคาบ้านในเมืองเพิ่มสูงขึ้น จนน้องสะใภ้สี่ต้องขอกลับมาอยู่อาศัยชั่วคราวที่นี่?”

“ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก หล่อนจะไปชอบครอบครัวเล็ก ๆ อย่างครอบครัวฉันได้ยังไง เป็นเพราะเมื่อวานนี้พี่เอาหัวไชเท้าไปให้คุณแม่ห่อหนึ่ง แล้วก็ได้ยินคุณแม่ชมว่าหล่อนช่างมีสายตากว้างไกลซื้อบ้านเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าฝันว่าจะซื้อบ้านในปีนี้เลย แถมหล่อนยังทำทีเป็นถามพี่ด้วยว่าอยากจะมาเยี่ยมในเมืองหลังปีใหม่นี้ไหม?” เฝิงฟางฟางเอ่ยอย่างดูถูก

ซูตานหงส่ายหน้า “หล่อนก็เป็นแค่สะใภ้คนหนึ่ง พี่สะใภ้ใหญ่อย่าไปสนใจหล่อนเลยค่ะ”

“หึ ต่อให้พี่จะโกรธ พี่ก็ต้องข่มกลั้นเอาไว้ ที่ทำไปก็เพื่อโหวหวาจือทั้งนั้น ในตอนที่โหวหวาจือจะต้องไปเรียนชั้นมัธยมปลายแล้ว เขาจะเลี่ยงไม่เข้าเมืองได้เหรอ? ถ้าพี่ไม่ให้เขาอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัยก็เหลือเพียงต้องอยู่กับบ้านสี่แล้ว” เฝิงฟางฟางพูด

“ตอนนี้โหวหวาจือเพิ่งจะอายุ 8 ขวบเองค่ะ อีกตั้ง 10 ปีกว่าเขาจะได้เรียนชั้นมัธยม บางทีถึงตอนนั้นครอบครัวฉันอาจจะซื้อบ้านในเมืองเจียงสุ่ยได้ จากนั้นก็ค่อยให้โหวหวาจือมาอยู่ที่บ้านฉันได้น่ะค่ะ” ซูตานหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เฝิงฟางฟางถึงกับอึ้งไป “ตานหง เธอเองก็คิดจะซื้อบ้านในเมืองเหรอ?”

“ก็พี่สะใภ้ใหญ่พูดไว้ไม่ใช่เหรอคะว่าในอนาคตเด็ก ๆ จะต้องเข้าไปเรียนมัธยมในเมือง เหรินเหรินเองก็ต้องไปเรียนในเมืองในตอนที่เขาโตขึ้นเหมือนกัน ฉันไม่คิดอยากจะให้เขาอยู่บ้านเดียวกับครอบครัวสี่หรอก ก็เลยคิดว่าควรจะซื้อห้องชุดในเมืองเจียงสุ่ยไว้สักห้องเพื่อให้เขาได้อยู่น่ะค่ะ” ซูตานหงตอบ

ดวงตาของเฝิงฟางฟางลุกวาว “ถ้าเธอซื้อห้องไว้สักห้องได้ งั้นโหวหวาจือก็มาอยู่กับเขาได้น่ะสิจ๊ะ”

“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ เพียงแต่ตอนนี้ต้องรอดูว่าสวนของฉันเป็นอย่างไรก่อน ถ้าสามารถเก็บเงินได้มากพอที่จะซื้อก็จะซื้อน่ะค่ะ ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 10 ปี” ซูตานหงกล่าว

เนื่องจากโหวหวาจือมาที่บ้านของเธอบ่อย ๆ เธอจึงรู้สึกสนิทสนมกับหลานชายคนนี้ หากโหวหวาจือโตพอจะเรียนชั้นมัธยมได้แล้ว เธอก็เต็มใจที่จะให้เขาอยู่ในบ้านของเธอ

ถ้าจะให้โหวหวาจือไปอยู่กับอวิ๋นลี่ลี่ล่ะก็คงจะไม่ดีแน่

แต่เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของอนาคต มันจึงเร็วเกินไปสักหน่อยที่จะพูดในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม เฝิงฟางฟางกลับรู้สึกมีความสุขมาก ถ้าซูตานหงสามารถซื้อบ้านในเมืองเจียงสุ่ยได้จริง หล่อนก็จะให้ลูกชายของหล่อนไปอยู่ด้วย

เฝิงฟางฟางนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไป

เมื่อเห็นว่าเหรินเหรินน้อยกำลังหลับอย่างเป็นสุข ซูตานหงก็เดินมาดูสวนหลังบ้าน

เธอรดน้ำให้ต้นกล้าเบญจมาศเหล่านั้น แต่เนื่องจากว่าตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ต้นกล้าเบญจมาศพวกนี้เลยดูจะโตช้าสักเล็กน้อยต่อให้เธอใช้น้ำวิเศษรดก็ตาม ทว่าบรรดาผักกลับเติบโตงดงามดีมาก โดยเฉพาะขึ้นฉ่ายที่ดูอวบสดน่ารับประทาน

ซูตานหงมองแล้วก็รู้สึกอยากกิน จึงเด็ดมันขึ้นมา

เมื่อเก็บขึ้นฉ่ายมาได้แล้วเดินเข้าครัวหมายจะทำเกี๊ยวไส้ขึ้นฉ่าย เธอก็ได้ยินเสียงเหรินเหรินน้อยร้องไห้

อาจเป็นเพราะได้ยินเสียงและรู้ว่ามีคนมา เหรินเหรินน้อยจึงเงียบเสียงลง และปล่อยให้แม่ที่เขารู้สึกคุ้นเคยอุ้มพาเขาไปปัสสาวะ หลังจากถ่ายจนโล่งแล้วเขาก็เริ่มเล่นนิ้วตัวเอง

แต่ซูตานหงที่รู้จักลูกชายดีรู้ว่าถ้าเธอออกไปตอนนี้ เขาก็จะพลันส่งเสียงร้องขึ้นอีกครั้ง

เขากำลังเล่นกับตัวเองอยู่ก็จริง แต่ต้องให้คนอื่นมาเฝ้าดูด้วย ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่มีความสุข

“ถ้าลูกยังดื้ออยู่แบบนี้ แม่จะทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้นะ” ซูตานหงเอ่ยกับเด็กชายอย่างอ่อนใจ

เหรินเหรินน้อยอายุ 2 เดือนนั้นดูดีกว่าเด็กทั่วไป ซึ่งซูตานหงคิดว่าจะต้องเป็นสรรพคุณของน้ำวิเศษอย่างแน่นอน และเมื่อเด็กน้อยเห็นเธอกำลังพูดกับเขาอยู่ เขาก็ยื่นมือออกไปหา

ซูตานหงยิ้มก่อนจะอุ้มเด็กชายขึ้นมา

ขณะที่แม่และเด็กกำลังมีช่วงเวลาที่ดี จี้เจี้ยนอวิ๋นก็กลับเข้ามาที่บ้าน “ภรรยาครับ”

“อยู่ในห้องค่ะ” ซูตานหงตอบ

จี้เจี้ยนอวิ๋นเดินเข้ามา เนื่องจากในห้องมีฉากกั้น จึงทำให้ไม่มีลมพัดเข้ามา ส่วนเตียงเตานั้นก็ถูกจุดไฟไว้และให้ความอบอุ่นเป็นอย่างมาก

“ลูกชายคุณก่อกวนจนฉันทำอะไรไม่ได้เลยค่ะ นี่ยังไม่ได้เตรียมทำอาหารเย็นเลย” ซูตานหงมองเขาอย่างจนใจ

จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นว่าลูกชายของเขากำลังมีความสุขกับการได้อยู่ในอ้อมกอดของแม่ เขาพลันยิ้มขึ้นมา “งั้นเย็นนี้ผมจะเป็นคนทำอาหารแล้วกันนะ”

“ก็ได้ค่ะ” ซูตานหงไม่ได้ทำตัวแปลกแยกเหมือนเมื่อก่อน ในตอนแรกที่เธอเข้าร่างนี้ใหม่ ๆ เธอไม่กล้าแม้กระทั่งให้สามีเข้าครัวเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เธอปรับตัวได้ดีมากแล้ว “คืนนี้กินเกี๊ยวไส้เนื้อวัวขึ้นฉ่ายนะคะ ฉันเก็บขึ้นฉ่ายมาแล้ว แล้วก็เอาเนื้อออกมาจากตู้เย็นแล้วด้วย”

เป็นเพราะลูกชายเจ้าปัญหาคนนี้ที่ส่งเสียงร้องจนเธอต้องมาดูแลเขา

“ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด

ตอนนี้อากาศเย็นมากแล้ว พวกเขาจึงกินข้าวกันน้อยลง แต่กินบะหมี่และเกี๊ยวแทน ส่วนข้าวนั้นพวกเขาจะหุงให้ต้าเฮยกิน

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ความจริงตานหงซื้อบ้านมาแล้วล่ะ แต่แค่ไม่บอกใครเท่านั้นเอง

เหรินเหรินอยากอยู่กับคุณแม่แล้วให้คุณพ่อแสดงฝีมือพ่อบ้านเหรอครับ น่ารักจังเลย

ไหหม่า(海馬)