ตอนที่ 80 อย่ากีดกันคนชราทั้งสองเลย
จี้เจี้ยนอวิ๋นมีความสามารถมาก เขาทำเกี๊ยวเสร็จเรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว
ก่อนอื่นนั้นเขาแบ่งเกี๊ยวให้คุณพ่อจี้เป็นคนแรก หลังทำเสร็จแล้วเขาก็ใส่ไว้ในชามมีฝาก่อนจะบรรจุลงปิ่นโต เมื่อคุยกับภรรยาเสร็จแล้วเขาก็นำเกี๊ยวไปให้คุณพ่อจี้
เกี๊ยวนั้นต้องกินตอนร้อน ๆ ซึ่งก็คือในตอนนี้
“เย็นนี้มีอะไรกินบ้าง?” คุณพ่อจี้ถาม
“เกี๊ยวไส้เนื้อวัวขึ้นฉ่ายครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก “ผมทำซอสพริกมาให้พ่อด้วยนะครับ”
“ไม่เลว ๆ” คุณพ่อจี้ยิ้ม
จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกให้ชายชรากินเกี๊ยวด้วยตัวเอง ก่อนจะกลับไปที่บ้านและอุ่นเกี๊ยวมาให้ตัวเขากับภรรยากินกันภายในห้อง
“แล้วคุณก็จงใจเอาซอสพริกมาให้ฉันด้วยเนี่ยนะคะ” ซูตานหงมองซอสพริกที่อยู่ตรงหน้าพลางบ่นพึมพำ
“ผมลืมไปว่าคุณยังกินเผ็ดไม่ได้” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม หลังจากนั้นเขาก็ทำท่าจะหยิบซอสพริกกลับไป
ซูตานหงเอ่ยอย่างแง่งอน “ฉันแค่บ่นเฉย ๆ คุณจะจริงจังไปทำไม? กินเกี๊ยวของคุณไปเถอะค่ะ”
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มพลางเหลือบมองเธอ เขานั่งลงและกินเกี๊ยวของตัวเอง พวกมันช่างหอมหวนน่ารับประทานและมีรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในตอนที่เขากินคู่กับซอสพริกจนหน้าผากมีเหงื่อซึม
ส่วนซูตานหงก็กินอย่างมีความสุขโดยไม่ใส่ซอสพริก
ขึ้นฉ่ายนี่สมกับรดน้ำด้วยน้ำวิเศษจริง ๆ อย่างไม่อยากจะคิด และโชคดีที่เธอกับจี้เจี้ยนอวิ๋นชอบกิน ดังนั้นการปลูกมันไว้เป็นพื้นที่ 1 ตารางเมตรก็นับว่าพอกินแล้ว
ขณะที่ทั้งคู่กำลังกินเกี๊ยว เหรินเหรินน้อยก็กำลังเล่นกับตัวเองบนเตียงเตา ซึ่งขณะนี้เตียงเตากำลังร้อนได้ที่ ซูตานหงจึงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าให้เขาหลายชั้น เพราะจะทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่สะดวกและร้อน ดังนั้นแค่ห่มผ้าให้ก็พอแล้ว
เหรินเหรินน้อยจึงรู้สึกสบายตัวอย่างมาก และเล่นสนุกกับมือของเขาได้อย่างเต็มที่
หลังกินเสร็จแล้ว ซูตานหงก็ทำท่าจะนำชามไปล้าง แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นคว้าไปล้างเสียก่อน และปล่อยให้เธอดูแลลูกชายของพวกเขาแทน
ซูตานหงยิ้มแล้วก็เอนตัวนอนเอกเขนก ฤดูหนาวแบบนี้เธอแทบไม่อยากลุกออกไปไหนเลยจริง ๆ ส่วนเขายังต้องเตรียมอาหารให้ต้าเฮยและพรรคพวกตัวอื่น ๆ อีก ดังนั้นก็ให้เขาทำไปเถอะ
ต้าเฮยนั้นกินจุไม่น้อยเลย จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงหุงข้าวหม้อใหญ่และราดน้ำต้มขาหมูลงไป นี่เป็นของที่ภรรยาตุ๋นให้เขากิน ซึ่งมันหอมหวนชวนรับประทานเป็นอย่างยิ่ง
อย่าว่าแต่ทำให้ต้าเฮยกินเลย แม้กระทั่งคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็อาจไม่ได้กินอะไรแบบนี้
เขาให้อาหารกับต้าเฮยที่บ้านก่อน ซึ่งมันก็ชอบกินเป็นอย่างมาก รีบมาเขมือบอาหารเข้าไปในทันที
ตอนนี้อากาศเย็นลงแล้ว จึงจำเป็นต้องให้สุนัขทุกตัวในบ้านได้กินอิ่ม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หนาวตายและทำให้พวกมันมีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะทนได้
พวกมันจะได้กินอาหารทุกเช้าและทุกเย็น และด้วยอาหารดี ๆ นี่เอง สุนัขพวกนี้จึงมีร่างกายแข็งแรง เมื่อทุกคนในหมู่บ้านได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่นชม ขณะเดียวกันก็จะเตือนลูกหลานของพวกเขาให้ถอยห่างจากพวกมันด้วย
ชายฉกรรจ์สองคนอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสุนัขบ้านนี้เลยด้วยซ้ำ ทั้งรูปร่างอันบึกบึนและเขี้ยวเล็บของพวกมันดูไม่เหมือนสุนัขทั่วไปเลยสักนิด!
ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นกับซูตานหงเห็นเรื่องเหล่านี้แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
จี้เจี้ยนอวิ๋นนำอาหารขึ้นไปบนภูเขาและตักให้สุนัขอีก 3 ตัวกินขณะที่มันกำลังร้อน ซึ่งสุนัขทั้งสามก็เขมือบข้าวกับเนื้ออย่างรวดเร็วเช่นกัน จากนั้นเสี่ยวไป๋ก็มาหาคุณพ่อจี้ที่อยู่ในห้อง
เจ้าเสี่ยวไป๋สุนัขตัวนี้ทำหน้าที่เฝ้าที่พักของคุณพ่อจี้ ส่วนอีก 2 ตัวหลังจากกินเสร็จแล้วก็กระจายกันไปเฝ้าคอกแกะกับเล้าไก่
นี่คือหน้าที่ของพวกมัน
จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับไปพร้อมกับความรู้สึกพึงพอใจ
เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน ซูตานหงก็ถามขึ้น “วันนี้น้องสี่ได้ขึ้นไปบนภูเขาหรือเปล่าคะ”
“อืม ไปสิ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
ซูตานหงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยต่อ “แล้วน้องสี่ว่ายังไงบ้างคะ?”
“เขาบอกว่าสวนผลไม้ของเรากำลังเจริญงอกงามดีแล้ว ถ้าปีหน้าขายผลไม้ได้ เขาก็อยากให้ผมซื้อห้องชุดในเมืองเก็บไว้น่ะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่ก็มาหาฉันเหมือนกันค่ะ บอกว่าราคาบ้านของน้องสี่กับน้องสะใภ้สี่กำลังพุ่งสูงขึ้น” ซูตานหงเอ่ย
จี้เจี้ยนอวิ๋นฟังแล้วก็ไม่ใส่ใจนัก “แล้วอย่างไรล่ะ? เราไม่ได้จะไปอยู่ในเมืองสักหน่อย ราคาบ้านจะเพิ่มขึ้นยังไงมันไม่เกี่ยวกับเรานี่”
“ฉันก็พูดไปแบบนั้นแหละค่ะ” ซูตานหงบอก ความจริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเธอจะเตรียมไว้เป็นห้องหอกับลูก ๆ ของเธอ เธอก็ไม่สนใจที่จะซื้อห้องชุดหรอก เพราะว่าต่อให้ซื้อไปเธอก็คงไม่อาศัยอยู่ที่นั่น จะซื้อไว้เก็บอัฐิงั้นเหรอ?
“ถ้าคราวหน้าพี่สะใภ้ใหญ่มาพูดอีก ก็บอกหล่อนไปว่าอย่ากังวลกับน้องสะใภ้สี่เลย อย่างไรในอนาคตที่โหวหวาจือต้องไปเรียนโรงเรียนมัธยม เขาก็ต้องเข้าไปขออาศัยอยู่กับน้องสี่อยู่แล้ว” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
“ฉันวางแผนให้โหวหวาจือมาอยู่ห้องที่เราซื้อไว้ที่นั่นน่ะค่ะ เพราะห้องของเราก็อยู่ใกล้โรงเรียนเหมือนกัน” ซูตานหงเอ่ย
จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ยินก็อึ้งไป เขาไม่คิดจะไปที่นั่นเลยในช่วงนี้ จากนั้นพลันเอ่ยขึ้นมาว่า “ถ้าอยู่ที่นั่นก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ปัญหาอยู่ที่อาหารการกินนี่สิ เขาจะกินยังไง?”
“ก็ให้เขากินที่โรงเรียนสิคะ หลังกินเสร็จก็แค่ไปอาศัยอยู่ในห้องตัวเอง ถ้ายังหิวอยู่ก็ลงไปซื้อบะหมี่กินที่ร้านด้านนอกชุมชนที่พักได้” ซูตานหงเอ่ย “แต่เรื่องนี้ฉันค่อยคุยทีหลังแล้วกันค่ะ ถ้าโหวหวาจือยังเป็นเด็กดีมีเหตุผลอยู่ หลังจากนั้นถ้าเขาต้องอยู่ที่นั่นก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
ตอนนี้โหวหวาจือยังเด็กอยู่ เธอจึงไม่อาจจะสรุปอะไรได้ หากเขาโตขึ้นแล้วไม่สนใจเรียนหนังสือ ก็อย่าหวังจะมาอยู่กับเธอเลย ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดกรณีแบบนั้นแล้วเธอจะตอบอย่างไรล่ะหากว่าเฝิงฟางฟางมาถามเธอ?
“ก็ได้ งั้นเรื่องนี้เราค่อยคุยกันอีกที” จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็เข้าใจ เขาพยักหน้ารับ
หากหลานชายของเขาเป็นคนมีเหตุผล ก็สามารถให้เขาอยู่ในชุมชนนั้นได้ เพราะใจจริงแล้วเขาไม่อยากให้หลานชายอยู่ที่บ้านน้องชายสี่เลย ลำพังน้องชายสี่คนเดียวนั้นไม่เป็นไรหรอกเพราะเด็กคนนี้เป็นหลานชายของเขาด้วย แต่พอเป็นสะใภ้สี่แล้วมันก็พูดยาก ที่อวิ๋นอวิ๋นได้อยู่บ้านนั้นเป็นเพราะพ่อแม่ของเขาจ่ายเงิน 500 หยวนเพื่อซื้อบ้านนั้นให้ ไม่อย่างนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าเขายังจะแสดงสีหน้าดี ๆ ได้อยู่อีกหรือเปล่า
“พี่สะใภ้ใหญ่มาคุยกับฉันหลายเรื่องเลยค่ะ ทั้งยังบอกด้วยว่าปีนี้น้องสะใภ้สี่กลับมาที่บ้านโดยไม่เอาอะไรมาให้เลย” ซูตานหงเอ่ยอีกครั้ง
จี้เจี้ยนอวิ๋นมองภรรยาอย่างระมัดระวัง “ภรรยา เราแสดงความกตัญญูได้ก็ทำเถอะ อย่าไปสนอะไรอย่างอื่นเลย ทำตามหัวใจของเราก็พอ”
ซูตานหงยิ้มและเหลือบมองเขา ไม่ใช่เพราะว่าเธอกำลังไม่มีความสุขหรอกหรือ?
พ่อแม่สามีเป็นพ่อแม่ของทุกคน แต่ทำไมจึงเป็นครอบครัวของเธอที่ต้องเลี้ยงพวกท่าน ในขณะที่บ้านรองกับบ้านสี่มาเพื่อกินข้าวเปล่า ๆ?
ไม่ต้องพูดถึงเฝิงฟางฟางเลยว่าหล่อนจะไม่มีความสุขเพียงใด ความจริงในสิ้นปีนี้หล่อนได้ให้ข้าวกระสอบหนึ่งน้ำหนักราว 50 ชั่งไปแล้ว
หากว่าข้าวจำนวนน้อยนิดนี้จะช่วยให้คุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้อยู่ได้ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดี ต่อให้บ้านใหญ่จะมีโจ๊กไม่พอกินก็ตาม
แต่เฝิงฟางฟางยังคิดว่าบ้านของหล่อนมีหน้าที่ต้องดูแลพ่อแม่สามี ซึ่งซูตานหงฟังมาอย่างนั้นและไม่คิดอะไรมาก
และนั่นก็เป็นเพราะคุณพ่อจี้ช่วยเฝ้าดูแลสวนผลไม้รวมทั้งคอกแกะและเล้าไก่บนภูเขาท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น เธอจึงรู้สึกว่าไม่อาจทำให้คุณพ่อกับคุณแม่จี้รู้สึกโศกเศร้าในปีนี้ได้
ดังนั้นต่อให้จะไม่รู้สึกประทับใจใด ๆ กับจี้มู่ตานและอวิ๋นลี่ลี่ เธอก็ไม่เอ่ยอะไร ถึงอย่างไรบ้านรองก็มากินเปล่า ๆ แค่คืนส่งท้ายปีเก่าและมื้อแรกของวันปีใหม่ ส่วนบ้านสี่มากินเปล่า ๆ ตลอดทุกมื้อจนถึงวันที่สิบเท่านั้นเอง
เธอจะกีดกันคนชราทั้งสองเพราะสองบ้านนี้ได้อย่างไร ไม่มีทางหรอก
ต่อให้เธอจะไม่ใช่คนใจกว้างนัก แต่ก็ยังมีน้ำใจอยู่บ้าง
“คุณพ่อไม่ได้อยู่อย่างสบาย ๆ บนภูเขาเลยนะคะ” ซูตานหงเอ่ย
จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้าและมองเธอ “ไม่สบายนักหรอก”
“ดังนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงคุณพ่อหรอกค่ะ ฉันแค่เกรงว่าที่บ้านจะไม่มีอะไรเหลือในเมื่อน้องสี่กับน้องสะใภ้สี่มาอยู่ที่นี่แล้วกินจนถึงวันที่สามสิบ งั้นถ้าถึงวันที่สามสิบเมื่อไหร่คุณก็เอาเนื้อซี่โครงไปชามหนึ่งพร้อมกับข้าวอีกอย่างไปร่วมดื่มกับคุณพ่อนะคะ เอาเหล้าที่พี่หงนำมาจากเมืองมหาวิทยาลัยเมื่อคราวที่แล้วไปก็ได้ค่ะ” ซูตานหงบอก
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่คิดเลยว่าภรรยาของเขาจะพูดเช่นนี้ เขาคล้อยตามในทันที ภรรยาของเขาช่างแตกต่างไปจากเดิมจริง ๆ
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
บ้านหนึ่งกับบ้านสามจับกลุ่มกันแล้วค่ะ ปีใหม่นี้จะมีเผาซึ่งกันและกันไหมนะ รอดูกันต่อไปค่ะ
ไหหม่า(海馬)