ตอนที่ 72 เท้าของซื่อจื่อหัก แม่นางเหยารักษาบาดแผล (5)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“จะเจ็บมากหรือไม่” เมื่อเฟิงจื่อเชินได้ยินก็สั่นเทาไปทั้งตัว

หันซังเย่ว์กัดฟันแน่น แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเข้มแข็ง “ไม่เป็นไร นี่เป็นเรื่องที่จำเป็น คุณหนูเหยาลงมือเถอะ พี่ใหญ่ของข้าอดทนได้อยู่แล้ว”

“ข้าจะไม่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด” เหยาเยี่ยนอวี่ทำความสะอาดเลือดที่เปื้อนบนมืออีกครั้ง แล้วบอกกับชุ่ยเวย “นำเข็มเงินหมายเลขห้าและหมายเลขเจ็ดมาให้ข้าที”

ชุ่ยเวยรีบเปิดห่อผ้าเข็มเงินอย่างเร่งรีบ นางหยิบเข็มเงินสองเล่มเรียวยาวออกมา จากนั้นยื่นให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่หาจุดฝังเข็มที่ทำให้เท้าเป็นเหน็บชา นางใช้ผ้าชุบเหล้า จากนั้นก็นำมาเช็ดบนผิวหนัง แล้วค่อยๆ ฝังเข็มทั้งสองเล่มลงไปตามลำดับ

เหตุเพราะหันซังเกอเป็นไข้ เขาจึงอยู่ในอาการสะลึมสะลือและไม่ได้สติ ยามที่เหยาเยี่ยนอวี่ฝังเข็มลงไปในร่างกายของเขา เขาแทบจะไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย แต่ในทางกลับกัน หลังจากที่เข็มฝังลงไปในจุดฝังเข็ม เขากลับยิ่งไม่ได้สติและนอนหลับสนิทกว่าเดิม

หลังจากที่ฝังเข็มจนเท้าชาไร้ความรู้สึกแล้วนั้น เหยาเยี่ยนอวี่ก็มองดูอุปกรณ์ทั้งหมดของตนเองด้วยความกังวลเล็กน้อย นางหันกลับไปถามหันซังเย่ว์ “พอจะมีมีดคมสักหนึ่งเล่มหรือไม่ ข้าต้องการมีดที่ใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว”

“มีด?” หันซังเย่ว์ไม่แม้แต่จะครุ่นคิดก่อน เขาหยิบกริชออกมาจากรองเท้าหนัง แล้วยื่นให้กับเหยาเยี่ยนอวี่

เหยาเยี่ยนอวี่ปรายตามอง แล้วส่ายหน้า “มีดนี้ใหญ่เกินไป บาดแผลของเขาอยู่บริเวณข้อเท้า บริเวณนี้มีเนื้อน้อยมาก ผิวหนังจึงติดกับกระดูก และคั่นกลางด้วยเส้นเลือดใหญ่ เพื่อความปลอดภัย ข้าจำเป็นต้องใช้มีดเล่มเล็กที่ใบมีดบาง”

ทุกคนสบตากันอย่างสงสัย ไม่รู้ว่ายังมีมีดสั้นใดที่บางและสามารถใช้งานได้คล่องแคล่วกว่ากริช

เวลานี้ เว่ยจางเดินเบียดผู้คนเข้ามาจากด้านหลัง จากนั้นเขาก็ยื่นห่อใส่ของที่ทำจากหนังมาให้หนึ่งห่อ “คุณหนูเหยา สิ่งนี้ใช้ได้หรือไม่”

เหยาเยี่ยนอวี่หันหลังกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือเว่ยจาง นางก็พยักหน้าให้กับเขา จากนั้นก็รับห่อหนังมา เมื่อนางเปิดออกมาดู ก็อดไม่ได้ที่จะร้องลั่นด้วยความประหลาดใจ “ว้าว!”

ชุ่ยเวยก็หันไปมองเช่นเดียวกัน หลังจากที่นางเห็นก็ดีใจเป็นอย่างมาก “คุณหนู นี่ไม่ใช่มีดเล่มเล็กที่คุณหนูอยากได้มาตลอดหรือเจ้าคะ”

เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้าขึ้นมองเว่ยจางด้วยความตื้นตันใจ

เว่ยจางยิ้มบางๆ “คุณหนูสามารถใช้การได้ก็ดีแล้ว”

“ขอบใจท่านมาก” เหยาเยี่ยนอวี่เก็บสีหน้าดีใจของตนเอาไว้ จากนั้นปลายนิ้วของนางก็ลูบไปที่มีดซึ่งวางเรียงเอาไว้ นางหยิบมีดทรงพระจันทร์เสี้ยวขึ้นมา จับด้ามมีดเอาไว้แล้วแกว่งช้าๆ จากนั้นใช้สุราเช็ดอีกหนึ่งรอบ พร้อมหันหน้าไปสั่งชุ่ยเวย “เริ่ม”

ชุ่ยเวยพยักหน้า นางนั่งหลังตรงเตรียมความพร้อมที่จะหยิบอุปกรณ์ต่างๆ ให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ในทุกเมื่อที่ต้องการ

เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ โกนผิวหนังที่เป็นเนื้อเน่าของหันซังเกอออกทีละนิดอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงค่อยๆ แยกกล้ามเนื้อกับดึงเส้นเอ็นที่ได้รับบาดเจ็บให้เข้าที่ นางวางมีดผ่าตัดลง และก็เปลี่ยนเป็นเข็มเงินที่มีตะขอ พร้อมทั้งพูดกับชุ่ยเวยด้วยเสียงเรียบ “เส้นไหม”

ชุ่ยเวยรีบยื่นเส้นไหมให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ ซึ่งเส้นไหมนี้ ตอนที่อยู่ในจวนของตระกูลเหยาเป็นเส้นไหมที่นางเก็บสะสมจากหนอนไหมน้ำแข็งชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ

การเชื่อมต่อเส้นเอ็นและหลอดเลือดเป็นบทหนึ่งในวิธีการฝังเข็มที่สำคัญใน ‘การรมยาไท่อี่’ เป็นการรักษาที่ถูกบันทึกเอาไว้ในตำรา ‘บันทึกสมุนไพร’

สิ่งนี้ไม่ใช่การฝังเข็ม ทว่าแค่ใช้คุณสมบัติของเข็มเงินในการรักษา ซึ่งเป็นหนึ่งบทเรียนในตำราแพทย์

ชาติที่แล้ว เหยาเยี่ยนอวี่ศึกษาด้านการแพทย์ นางจึงรู้ว่าการเชื่อมเส้นเอ็นยากเพียงใด ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ได้ค้นพบวิธีการรักษาเช่นนี้ นางจึงได้ทดลองอยู่หลายครั้งด้วยความรู้สึกสนใจ แน่นอนว่านางไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนกับมนุษย์ นางทำได้เพียงลอบฝึกฝนกับกระต่ายและสุนัขไปจำนวนไม่น้อย

ข้อเท้าของหันซังเกอถูกเขี้ยวของหมีสีนิลกัดจนเละ เส้นเอ็นสีเหลืองถูกเขี้ยวหมีสีนิลดึงออกมาบางส่วน และเคยถูกหันซังเย่ว์ยัดกลับเข้าไปอีกครั้ง ทำให้เวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่ต้องใช้ตะขอเข็มเงินในการจัดระเบียบทีละเล็กทีละน้อย ใช้เส้นไหมสมานส่วนที่ฉีกขาด นี่เป็นงานฝีมือที่เหน็ดเหนื่อยและใช้ความเพียรพยายามยิ่งกว่าการถักทอเสื้อผ้าเสียอีก

โชคดีที่ชาติก่อน เหยาเยี่ยนอวี่เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ ไม่เพียงแต่เคยผ่าตัดร่างกายมนุษย์อยู่หลายครั้ง ทั้งยังเคยผ่าตัดใส่ขดลวดหัวใจและผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจ จึงทำให้นางมีทักษะในการผ่าตัดที่เยี่ยมยอดยิ่งนัก อีกทั้งจิตใจของนางก็เข้มแข็ง เวลานี้ความคิดทั้งหมดของนางล้วนจดจ่ออยู่ที่เส้นเอ็นตรงบาดแผล และนางได้ลืมความเป็นตนเองไปเสียแล้ว

หันซังเย่ว์คุกเข่าอยู่ด้านหน้าตั่งไม้ เขาจ้องมองมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไม่กะพริบตา แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อฝีมือด้านการแพทย์ของหญิงสาวตัวเล็กๆ แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือเขารู้สึกนับถือในกิริยาท่าทางที่แน่วแน่และสงบเยือกเย็นของหญิงสาวผู้นี้ จนลืมที่จะสงสัย และลืมที่จะตั้งคำถาม เขาจดจ่อไปยังมือทั้งสองข้างของเหยาเยี่ยนอวี่ที่เปื้อนไปด้วยเลือดของพี่ใหญ่

เว่ยจาง อวิ๋นคุน ซูอวี้ผิง ซูอวี้เสียงและเหล่าองค์ชายก็จับจ้องไปยังมือทั้งสองข้างของเหยาเยี่ยนอวี่เช่นกัน เดิมทีเฟิงเซ่าเชินก็จับจ้องนางเช่นเดียวกัน ทว่าคุณชายเยี่ยงเขารู้สึกวิงเวียนศีรษะ มองได้ไม่นานก็ไม่อาจทนดูต่อไปอีก เขาจึงเดินออกไปด้านนอก

เจิ้นกั๋วกงหันเวยขี่ม้าเร็วมา เดิมทีองค์หญิงใหญ่หนิงหวาก็จะเสด็จมาเช่นกัน ทว่าถูกเจิ้นกั๋วกงห้ามปรามไว้ เนื่องด้วยเวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว อีกทั้งองค์หญิงใหญ่หนิงหวาเองก็มีอายุราวห้าสิบปี หลายปีที่ผ่านมา สุขภาพร่างกายของนางก็ไม่ดีมากนัก ไม่อาจเทียบกับเจิ้นกั๋วกงที่ฝึกวรยุทธ์เป็นประจำจนร่างกายแข็งแรง ด้วยเหตุนี้ เกรงว่าสุขภาพร่างกายขององค์หญิงใหญ่หนิงหวา ไม่อาจทนรับความลำบากในการขี่ม้ามาได้

อีกทั้ง ผู้ที่มาส่งข่าวบอกเพียงว่าเท้าของท่านซื่อจื่อถูกหมีตะครุบจนได้รับบาดเจ็บ ทว่าไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดของบาดแผล เจิ้นกั๋วกงเลยเกลี้ยกล่อมองค์หญิงใหญ่หนิงหวา “ซู่เอ๋อร์ฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เล็ก เขารู้ดีว่าจะปกป้องตนเองเช่นไร ดังนั้นองค์หญิงอย่าได้กังวล เดี๋ยวข้าไปรับเขากลับมาเอง”

หลังจากที่เจิ้นกั๋วกงออกไป องค์หญิงใหญ่หนิงหวายังคงไม่วางใจ องค์หญิงยืนกรานที่จะออกไป ทว่ากลับถูกสะใภ้คนโตเฟิงซื่อเซ่าอิ่งเกลี้ยกล่อม “ยามค่ำคืนมืดมิด ลมแรง อีกทั้งวันที่หิมะตกเช่นนี้ ถนนหนทางบนเขาลื่นนัก ท่านกั๋วกงไม่วางใจให้องค์หญิงใหญ่เสด็จออกจากตำหนัก เช่นนั้นให้สะใภ้นั่งรถม้าไปเยี่ยมเยียนดูอาการเถอะเพคะ พวกเขาล้วนเป็นบุรุษ ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่อาจดูแลได้อย่างทั่วถึง”

องค์หญิงใหญ่อนุญาตทันที “เจ้าพาคนไปให้มากหน่อย นั่งรถม้าของข้าไป จะทำให้เดินทางรวดเร็วยิ่งขึ้น  เมื่อไปถึงวัดต้าเจวี๋ยและพอได้พบเจอกับซู่เอ๋อร์แล้ว ไม่ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร สั่งให้คนกลับมารายงานข้าเสียคำ”

เฟิงเซ่าอิ่งขานรับในทันที นางไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เพียงแค่นำเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกมาคลุมเอาไว้ จากนั้นก็พาทั้งแม่นมและบรรดาสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติดูแลตอนนางออกเรือนขึ้นรถม้าไปด้วย แล้วมุ่งหน้าไปยังวัดต้าเจวี๋ย

ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังวัดต้าเจวี๋ยนั้นไกลกว่าไปบ้านนามู่เย่ว์ ทว่าเจิ้นกั๋วกงขี่ม้าเร็วไป จึงทำให้เขาไปถึงช้ากว่าเหยาเยี่ยนอวี่เพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น

เจิ้นกั๋วกงเข้าไปยังวัดต้าเจวี๋ย แน่นอนว่าเหล่าพระสงฆ์และสามเณรล้วนไม่กล้าเพิกเฉย

ความจริงแล้ว นับตั้งแต่ที่บรรดาราชนิกุลเข้ามายังวัดต้าเจวี๋ย วัดต้าเจวี๋ยก็ตกอยู่ในสภาวะที่ชุลมุนวุ่นวายมาโดยตลอด เหล่าสามเณรยุ่งอยู่กับการต้มยา รินน้ำชาและทำอาหารมังสวิรัติ  ทางด้านบรรดาพระสงฆ์คอยอยู่ต้อนรับเหล่าองค์ชาย ซื่อจื่อและมิตรสหายของพวกเขา

เดิมทีท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงคอยอยู่ในเรือน แล้วเฝ้าดูเหยาเยี่ยนอวี่ทำการรักษาหันซังเกอ จากนั้นก็มีสามเณรวิ่งมากระซิบบอกว่าเจิ้นกั๋วกงมาถึงแล้ว ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงเกรงว่าเจิ้นกั๋วกงจะเข้ามากะทันหัน แล้วทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ตกใจ ทำให้นางมือสั่นแล้วอาจเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ด้วยเหตุนี้ท่านพระอาจารย์ใหญ่จึงรีบออกไปต้อนรับ

“ท่านกั๋วกง!” ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงเดินออกไปหน้าประตูวิหารเพื่อหยุดเจิ้นกั๋วกงที่มาด้วยความร้อนใจ

“ท่านพระอาจารย์ขอรับ อาการบาดเจ็บของบุตรชายข้าเป็นเช่นไรบ้าง!” แม้ว่าหันเวยจะมีจิตใจเข้มแข็งเพียงใด ทว่าเขาก็มีหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้นหันซังเกอเติบโตอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่เล็ก  ยามทำสงครามบิดาและบุตรล้วนมีใจตรงกัน เวลานี้เมื่อได้ยินว่าบุตรชายได้รับบาดเจ็บอย่างกะทันหัน แม่ทัพผิงซีที่สูงศักดิ์เยี่ยงเจิ้นกั๋วกงก็ไม่อาจใจเย็นได้

ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงกล่าวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “อมิตาพุทธ! ท่านกั๋วกงอย่าได้ร้อนใจ เวลานี้กำลังทำการรักษาบาดแผลของท่านซื่อจื่อ”

“ทำการรักษา? ” หันเวยเอ่ยถามด้วยความฉงน “มิใช่ท่านพระอาจารย์เป็นผู้ทำการรักษาหรอกหรือ”

“เส้นเอ็นของท่านซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บ อาตมาจนปัญญา ทว่าท่านกั๋วกงโปรดวางใจ พระพุทธองค์สอนเอาไว้ ‘เหนือฟ้ายังมีฟ้า’ บาดแผลของท่านซื่อจื่อย่อมมีมือวิเศษที่เก่งกาจคอยรักษาอยู่แล้ว”