ตอนที่ 73 แผลของซื่อจื่อดีขึ้น ทุกคนล้วนตื้นตันใจ (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“บาดเจ็บตรงเส้นเอ็น?!” หันเวยตกใจมากๆ จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัยในหลายๆ เรื่อง “ใครจะมีความสามารถเช่นนี้ ได้รับบาดเจ็บตรงเส้นเอ็น ใครสามารถรักษาได้”

“ท่านกั๋วกงอย่าได้กระวนกระวายไปเลย อาตมาเองก็ได้เจอกับแม่นางผู้นี้โดยบังเอิญเช่นกัน และเพิ่งสังเกตเห็นว่านางกลับใช้ ‘การรมยาไท่อี่’ เป็น เวลานี้ แม่นางผู้นี้กำลังเชื่อมต่อเส้นเอ็นให้ท่านซื่อจื่ออยู่ ถ้าหากกั๋วกงเยี่ยไม่เชื่อ ได้โปรดตามอาตมาไปเถอะ”

“แม่นาง…?!” ดวงตาของเจิ้นกั๋วกงเบิกกว้างกว่าเดิม

พระอาจารย์คงเซียงคลายยิ้มอ่อนๆ นิ้วมือทั้งสิบประสานกัน “อมิตาพุทธ! สาธุ สาธุ! ในหลักคำสอนของศาสนาพุทธ มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เพียงแค่สามารถรักษาผู้ป่วยให้หาย จะบุรุษหรือสตรี จะแตกต่างกันเช่นไร”

 “อา ใช่ขอรับ…พระอาจารย์กล่าวได้สมเหตุสมผลยิ่งนัก” หันเวยค่อยๆ ได้สติกลับมา จึงพยักหน้าขึ้น

ด้วยคำพูดของท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงที่กล่าวขึ้นล่วงหน้าให้ได้เตรียมใจ เมื่อเจิ้นกั๋วกงเห็นคนๆ นั้นคุกเข่าอยู่ตรงที่รองฝ่าเท้า และกำลังจับเข็มเงินที่เกี่ยวกับเส้นไหมสีใส ท่าทางเหมือนกำลังทำงานปักผ้าทว่าเป็นการเชื่อมต่อเส้นเอ็นให้บุตรชายตนเอง ศีรษะและใบหน้าของนางถูกปกคลุมด้วยหมวกผ้าและหน้ากาก เห็นเพียงดวงตาคู่นั้นเท่านั้น ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขาถึงขั้นสะดุ้งตกใจ

องค์ชายสามอวิ๋นหมินทรงยืนอยู่ข้างหน้ากลุ่มคนก็ได้เห็นหันเวยก่อนคนแรก จึงได้เฉียงกายโดยเร็ว จากนั้นก็ขานเรียกตามมารยาท “ท่านกั๋วกง”

“องค์ชายสาม” หันเวยน้อมคำนับให้กับอวิ๋นหมิน

อวิ๋นหมินพยักหน้า และไม่ตรัสสิ่งใดให้มากความ

เวลานี้ หัวใจของทุกคนก็เหมือนถูกบีบจนรู้สึกแน่นและจุก ทุกคนต่างก็คอยกังวลเกี่ยวกับเส้นเอ็นตรงข้อเท้าของหันซังเกอ สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือ ทุกคนล้วนกังวลเรื่องแม่นางเหยาที่ใช้เข็มเงินเย็บเส้นเอ็นตรงข้อเท้าของหันซังเกอ เหมือนเย็บ “ลายปัก” อยู่

เฟิงเซ่าอิ่งตามมาถึงในเวลาครึ่งชั่วยามหลังจากนี้ นางนั่งรถม้าขององค์หญิงใหญ่มา และเร่งคนขับรถม้าให้วิ่งเร็วกว่าเดิมมาตลอดทาง หลังจากที่มาถึงวัดต้าเจวี๋ยแล้ว ก็ได้ยินคนสนิทของเจิ้นกั๋วกงเอ่ยบอกเล่าถึงบาดแผลของหันซังเกอ สามีของนางได้รับการรักษาโดยแม่นางผู้หนึ่ง ซึ่งใช้วิธีการแพทย์อันอัศจรรย์ที่หายไปนานจากใต้หล้านี้ ทว่าตอนนี้นางยังไม่ทันได้มีเวลาครุ่นคิดหรือซักถามอะไรให้มากความ หลังจากที่เข้าวัดไปก็พาคนมุ่งหน้าไปยังที่พำนักที่หันซังเกอพักรักษาตัวอยู่

จากนั้นบังเอิญไปเจอกับเฟิงเซ่าเชินน้องชายของนางเองที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าประตู ดังนั้นนางจึงรีบเอ่ยเรียกขึ้นทันที “เชินเอ๋อร์?”

“พี่สาว?” เฟิงเซ่าเชินเงยหน้าขึ้นแล้วมองพี่สาวของตน เขาคาดไม่ถึงว่านางจะมาที่นี่ จึงถอนหายใจลากยาว จากนั้นพลันเดินขึ้นหน้าไปหาเฟิงเซ่าอิ่ง “พี่สาว ทำไมท่านก็มาที่นี่ด้วย”

เฟิงเซ่าอิ่งจับมือน้องชายไว้ แล้วพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “พี่เขยของเจ้าได้รับบาดเจ็บ จะให้ข้ามัวแต่นั่งนิ่งดูดายได้อย่างไร! บาดแผลของเขาเป็นอย่างไรบ้าง คนพวกนั้นมักจะให้คำตอบไม่ชัดเจน ประเดี๋ยวบอกว่าไม่มีวิธีรักษาเส้นเอ็นที่ฉีกขาด ประเดี๋ยวก็บอกว่ามีหมอเทวดาสามารถใช้ทักษะการแพทย์อันอัศจรรย์ต่อเส้นเอ็นได้? เส้นเอ็นขาดสามารถต่อได้ด้วยหรือ หากต่อสำเร็จแล้วจะกลับมาเป็นเหมือนแต่ก่อนอีกหรือไม่”

ก่อนหน้านี้ที่เฟิงเซ่าเชินรู้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมและต้องถูกซูอวี้ผิงจี้ถามเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาโดยตลอด เขามีคำพูดมากมายที่อัดอั้นไว้ ทว่ากลับไม่กล้ากล่าวมากความ ครั้งนี้เขาได้เจอะเจอกับพี่สาวของตนเสียที จึงสามารถพูดอย่างสบายใจออกมาได้เสียที เขาลากเฟิ่งเซ่าอิ่งไปอยู่ตรงมุมเงียบๆ จากนั้นก็ได้เล่าเรื่องตอนแรกที่เหยาเยี่ยนอวี่ช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงในยามฉุกเฉินขึ้นไม่หยุด จนเหมือนเมล็ดถั่วที่พุ่งออกจากปากไม่หยุด

เฟิงเซ่าอิ่งถูกคำพูดของน้องชายทำให้ตกใจจนเบิ่งตาโตพลางอ้าปากค้าง รอจนกว่าเขาเอ่ยจบ นางจึงถามด้วยความสงสัย “เจ้าพูดเรื่องพวกนี้เป็นความจริงหรือ เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินท่านแม่เอ่ยถึง”

“ท่านแม่ได้รับปากกับแม่นางเหยาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร วันนี้ท่านย่าสามารถใช้ชีวิตอย่างสันติสุข ท่านแม่จึงไม่อยากมากความอะไร” เฟิงเซ่าเชินรู้สึกภูมิใจในตนเองเล็กน้อยที่สามารถรู้เรื่องนี้ก่อนคนอื่น

เฟิงเซ่าอิ่งอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า ไหนๆ ก็ปิดบังเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้นางยังจะพูดอะไรได้อีก ทว่าเรื่องนี้แทบไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่น้องชายทางสายเลือดของนางเป็นคนเล่าเองกับปาก นางก็คงไม่อยากเชื่อ ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคำนึงถึงเรื่องพวกนี้ เฟิงเซ่าอิ่งจับมือเฟิงเซ่าเชินพลางกล่าวขึ้น “เชินเอ๋อร์ เจ้าเข้าไปดูว่าข้างในมีใครอยู่บ้าง ข้าอยากเข้าไปดูอาการพี่เขยของเจ้า”

“อ้อ ขอรับ” เฟิงเซ่าเชินขานรับและจะเดินเข้าไปข้างใน พอเดินไปได้สองก้าวก็ต้องเดินกลับมา “พี่สาว แม่นางเหยากำลังต่อเส้นเอ็นให้พี่เขยอยู่ บาดแผลนั่น…มีเลือดหลั่งออกมามากมายเหลือเกิน ท่านพี่ไม่หวาดกลัวหรือไร”

เฟิงเซ่าอิ่งขมวดคิ้วขึ้น นางจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร นางเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงโดยอาศัยอยู่แต่ในจวนมาตลอด แม้กระทั่งการฆ่าไก่ฆ่าห่านนางยังไม่เคยเห็นเลย นางเติบโตมาถึงอายุปูนนี้ เรื่องน่าหวาดกลัวที่สุดก็คงจะเป็นการเห็นเลือดของสัตว์เลี้ยงเช่น นก แมวและสุนัขที่ตายจากไปอย่างกะทันหันเท่านั้น ตอนนี้หากให้นางไปดูสถานการณ์ที่มีเลือดหลั่งออกมามากมายอย่างนั้น นางจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร

เพียงแต่หวาดกลัวไปแล้วจะมีประโยชน์อย่างไร นั่นเป็นสามีของนาง นางเกิดเป็นสตรี อยู่เรือนจำต้องเชื่อฟังบิดา ออกเรือนจำต้องเชื่อฟังสามี สามีเปรียบเสมือนท้องนภาของนาง

“จะหวาดกลัวอะไรเล่า นั่นเป็นพี่เขยของเจ้า เขามีชีวิตอยู่ ข้าก็มีชีวิตอยู่ ถ้าหากเขาสิ้นใจ ข้าก็จะสิ้นใจตามไปด้วย มีอะไรต้องหวาดกลัวอีก”

เฟิงเซ่าเชินไม่พูดมากอีกต่อไป เขาบีบมือของนางแล้วก็ปล่อย จากนั้นก็หันหลังเข้าอารามไป

เจิ้นกั๋วกงมองในมือของเหยาเยี่ยนอวี่ที่จับเข็มเงินเปื้อนเลือด และกำลังเคลื่อนไหวไปมาเพื่อเชื่อมเส้นเอ็นของบุตรชายตนเอง ฝ่ามือของเขากำแน่นจนมีหยาดเหงื่อหลั่งออกมา เฟิงเซ่าเชินลอบเข้าไปข้างในอย่างเงียบๆ จากนั้นก็กล่าวขึ้นข้างกายเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังและไม่เบามาก “ท่านลุงขอรับ พี่สาวของข้ามาขอรับ”

“ดึกป่านนี้แล้ว เหตุใดนางถึงมาได้” เจิ้นกั๋วกงขมวดคิ้วขึ้น

“แน่นอนว่าพี่สาวต้องเป็นห่วงท่านซื่อจื่ออยู่ตลอดเวลา” เฟิงเซ่าเชินอธิบายแทนพี่สาวของตน

องค์ชายใหญ่ที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดเช่นนี้ พลันตรัสขึ้น “ฮูหยินซื่อจื่อและท่านซื่อจื่อมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ได้ยินว่าเขาได้รับบาดเจ็บก็ย่อมนั่งนิ่งเฉยอยู่ในจวนไม่ได้แน่นอน”

แน่นอนว่าเจิ้นกั๋วกงเข้าใจว่าการมาครั้งนี้ของสะใภ้นั้นต้องได้รับการอนุญาตจากองค์หญิงใหญ่แน่นอน แค่เกรงว่านางที่เป็นเพียงสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง หากมาเจอเลือดแดงสดก็อาจจะเป็นลมเป็นแล้ง นางไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย ทว่ากลับสร้างภาระให้มากกว่าเดิม ทันใดนั้นเขาพูดด้วยเสียงต่ำ “ให้นางคอยในเรือนข้างทางฝั่งทิศตะวันออกก่อนเถอะ เดี๋ยวหากทุกอย่างเสร็จค่อยเรียกนางเข้ามา”

เฟิงเซ่าอิ่งไปรออยู่ตรงข้างเรือนในเขตอารามด้วยใจที่กระวนกระวาย นางคอยมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ สาวใช้ที่คอยรับผิดชอบรับฟังข่าวสารจึงกลับมาอย่างเร่งรีบ “นายหญิงเจ้าคะ เสร็จแล้วเจ้าค่ะ! แม่นางเหยากำลังทายาให้กับท่านซื่อจื่ออยู่ กล่าวว่าพันแผลอีกประเดี๋ยวเดียวก็คงจะเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

“อมิตาพุทธ!” เฟิงเซ่าอิ่งประสานมือทั้งสิบนิ้วแล้วสวดมนต์ จากนั้นค่อยถามขึ้น “เหล่าองค์ชายและท่านซื่อจื่อยังอยู่ที่นั่นหรือไม่”

“เหล่าองค์ชายและบรรดาท่านซื่อจื่อกำลังจะแยกย้ายกันกลับที่พำนักเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นพวกเราเข้าไปประเดี๋ยวนี้เถอะ” ขณะที่เอ่ยพูด เฟิงเซ่าอิ่งพลันวิ่งไปข้างนอก ทว่าตอนที่จะก้าวผ่านธรณีประตูขากลับรู้สึกอ่อนแรงจนเกือบจะหกล้ม

“โธ่ๆ ท่านพี่ช้าหน่อยเถอะ” เฟิงเซ่าเชินจึงรีบยื่นมือไปพยุงนางไว้

เฟิงเซ่าอิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันไปถามเฟิงเซ่าเชิน “เจ้าว่าทักษะการแพทย์ของแม่นางเหยาอัศจรรย์มากจริงๆ ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงเป็นคนเอ่ยว่านางสามารถรักษาแผลของท่านซื่อจื่อให้หายใช่หรือไม่”

“เป็นเช่นนั้น” เฟิงเซ่าเชินพยักหน้า

“เซ่าเชิน พี่เขยของเจ้าต้องไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

“น่าจะเป็นเช่นนี้ คำพูดของท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียง…ไม่น่ากล่าวผิดหรอกกระมัง”

เฟิงเซ่าอิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสลัว จากนั้นก็เอานิ้วสิบนิ้วประสานกันแล้วกราบไหว้ พลางสวดมนต์

หลังจากที่ทั้งสองพี่น้องเสวนากันเสร็จ และกำลังจะสาวเท้าออกนอกประตู กลับเห็นประตูพำนักหลักถูกเปิดออก บานประตูที่หนาและหนักถูกเปิดออกพร้อมกับความวุ่นวาย จากนั้นก็มีคนเอ่ยพูด “ระวัง ระวังหน่อย!” มีคนคอยเตือนไม่หยุด “ช้าหน่อย ช้าหน่อย!” บางคนก็ตะโกนด้วยความกระวนกระวาย “เรือนข้าง พาไปพักที่เรือนข้างเถอะ ท่านฮูหยินซื่อจื่ออยู่ที่นั่น”

เฟิงเซ่าอิ่งรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก และยังนึกว่าเกิดเหตุใดกับหันซังเกอหรือไม่ ทันใดนั้นจึงหยุดชะงักลงตรงหน้าประตู