หลี่หมิงอวินพาหลินหลันไปยังโรงเตี๊ยม ‘อี้เซียงจู’ ซึ่งขึ้นชื่อเรืองนามที่สุดในกรุงปักกิ่ง และสั่งอาหารรสเลิศมามากมาย
ทว่าหลินหลันซึ่งกินมาครึ่งกระเพราะแล้ว เมื่อเห็นอาหารจำนวนมากขนาดนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นอุบอิบขึ้นมา “สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว มิใช่เมื่อครู่ยังมีคนเอ่ยไว้ว่าต้องขยันขันแข็งและมัธยัสถ์ จะใช้ชีวิตหรูหราสะดวกสบายเกินไปไม่ได้ ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้นสินะ”
หลี่หมิงอวินจ้องเขม็งใส่นาง “นั่นหมายถึงกับตัวข้าเอง เจ้าเป็นข้อยกเว้น”
หลินหลันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ กระพริบตาปริบปริบ “เจ้าหมายความว่า ข้าไม่ต้องกัดก้อนเกลือกินกับเจ้าแล้วสินะ”
นัยน์ตาของหลี่หมิงอวินฉายแสงแห่งความอ่อนโยน ขณะที่ใบหน้าอันหล่อเหล่าของเขาเผยสีหน้าจริงจังขึ้นมาหลายเท่าตัว “หากวันใด ข้าปราศจากซึ่งทุกสิ่งอย่าง เจ้าจะยินยอมกัดก้อนเกลือกินกับข้าอยู่ไหม”
หลินหลันขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจังแล้วจึงเอ่ยออกมา “เจ้าจะปราศจากซึ่งทุกสิ่งอย่างไปได้อย่างได้กัน ต่อให้เจ้าออกจากตระกูลหลี่ไป มิใช่ว่ายังมีตระกูลเยี่ยหรอกหรือ ตระกูลเยี่ยร่ำรวยเสียขนาดนั้น คงไม่มีทางทอดทิ้งหลานชายตนเองให้ตกระกำลำบากหรอก! อีกอย่าง เจ้าเขียนอักษรได้ดีขนาดนั้น เขียนขึ้นมาสักจำนวนหนึ่งแล้วนำไปขาย ก็ยังสามารถปะทังชีวิตไปได้”
หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อน ก่อนจะชี้มือชี้ไม้ไปยังอาหารเช้าบนโต๊ะ “รีบกินเถอะ! พวกเรายังต้องไปจวนแม่ทัพฮวยหย่วนอีก!”
อาหารจำนวนมากขนาดนี้แน่นอนว่าจะกินหมดเข้าไปได้อย่างไรกัน อีกทั้งไม่สามารถคืนได้ด้วย หลินหลันจึงให้พนักงานซึ่งคอยให้การบริการในร้านจัดการนำไปใส่ห่อให้ แล้วนำกลับไปเพื่อจะได้ให้หยินหลิ่วพวกนางลิ้มรส
พนักงานผู้นั้นเผยท่าทางตะลึง นี่ถือเป็นรายแรกสำหรับแขกที่มากินอาหาร ณ ร้านอี้เจียงซู ที่เอ่ยให้ห่ออาหารสำหรับนำกลับ
“หลี่กงจื่อ ต้องการห่อกลับจริงๆ หรือขอรับ”
หลี่หมิงอวินรู้สึกถึงความขายหน้าอยู่ประมาณหนึ่ง
หลินหลันบ่นพึมพำ “กินทิ้งกินขว้างสิถึงเป็นเรื่องน่าอาย การรู้จักเห็นคุณค่าในอาหารทุกจานสิถึงเป็นเรื่องถูกต้อง”
หลี่หมิงอวินไม่ต่างจากยิ้มทั้งน้ำตา แล้วหันไปสั่งการผู้ให้บริการ “ห่อกลับ” จบกันทีนี้ ไม่เกินพรุ่งนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงคงได้รู้ว่าเขาหลี่หมิงอวินมากินอาหารที่อี้เจียงซูแล้วยังห่ออาหารที่เหลือกลับไปด้วย
ชั่วครู่ถัดมา หลินหลันโอบอุ้มสัมภาระพะรุงพะรังภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานออกจากอี้เจียงซูไป ขณะที่หลี่หมิงอวินซึ่งเดินก้มหน้าก้มตาอยู่เบื้องหน้า ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองเห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้ได้อย่างชัดเจน
เมื่อขึ้นนั่งบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันเกิดนึกหนึ่งเรื่องขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามหลี่หมิงอวินด้วยความกลัดกลุ้ม “หากภรรยาท่านแม่เอ่ยถามขึ้นว่า เหตุใดจึงได้นำจดหมายมาให้ช้าเยี่ยงนี้ ข้าควรจะตอบกลับไปว่าอย่างไรดี จะให้บอกว่าลืมไปเสียสนิทก็คงไม่เหมาะกระมัง!”
ด้วยท่าทางของหลี่หมิงอวินที่ดูไม่กังวลใจแต่อย่างใด ราวกับกำลังพูดว่า…เรื่องง่ายดายขนาดนี้ยังต้องถามเขาด้วยหรือ
“เป็นคนต้องรู้จักซื่อสัตย์”
หลินหลันบ่นพึมพำ “เช่นนั้นจะไม่ดูแย่ไปหน่อยหรือ”
“เจ้าวางใจเถิด ภรรยาท่านแม่ทัพไม่กล่าวว่าเจ้าหรอก”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” หลินหลันเหลือบสายตามองเขา
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มมุมปากอย่างมั่นอกมั่นใจ “เพียงแค่นางรับรู้ว่าขณะนี้เจ้าอยู่ในนามสะใภ้รองแห่งตระกูลหลี่ประจำเมืองหลวง นางจะไม่กล่าวโทษเจ้าอย่างแน่นอน”
หลินหลันรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย เอาเถอะ! นางยอมรับว่าที่เขาพูดก็ถูกต้อง นางซึ่งถูกพ่อแม่สามีดูถูกเหยียดหยันจนเกือบมิอาจเข้าไปอยู่ในบ้านตระกูลหลี่ได้ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั่วบ้านทั่วเมืองต่างรับรู้ ภรรยาท่านแม่ทัพคงเห็นใจต่อสิ่งที่นางเผชิญ เป็นธรรมดาที่จะไม่กล่าวโทษนาง
เมื่อถึงจวนแม่ทัพฮวยหย่วน เหวินซานรับหน้าที่ไปแจ้งให้ทราบถึงการมา
หลินหลันมองดูป้ายอักขระที่แขวนอยู่เหนือประตูบานใหญ่ ‘จวนหลิน’ แล้วเอ่ยติดตลก “ที่แท้ก็เป็นบ้านของข้านี่เอง!”
หลี่หมิงอวินยิ้มเล็กน้อยพลางส่ายหน้า “หากเป็นบ้านของเจ้าจริงๆ ก็ดีสิ แม่มดชราได้เป็นอันอึดอัดใจจนได้ล้มป่วยเป็นแน่”
หลินหลันส่งเสียงเชอะอย่างเย้ยหยัน “หญิงสาวอย่างข้าต่อให้ภูมิหลังไร้ซึ่งพ่อแม่คอยสนับสนุน ก็ยังคงสามารถทำให้นางโกรธจนล้มป่วยได้ จากไม่ป่วยก็ทำให้นางป่วยขึ้นมาจนได้”
เฝิงซูหมิ่นภรรยาท่านแม่ทัพฮวยหย่วนได้ยินว่าผู้มาเยือนคือคุณชายรองและภรรยาซึ่งเป็นที่เลื่องลืออย่างมากในระยะนี้ นางรู้สึกตระหนกตกใจเป็นอย่างแรง ตนเองมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้ตกอยู่ในคำเลื่องลือได้อย่างไรกัน แล้วยังได้ยินอีกว่าเป็นการนำจดหมายมาส่งให้แทนผู้เป็นพี่สาว จึงไม่รีรอให้คนพาเขาทั้งสองเข้ามาด้านใน
“หลี่กงจื่อ ฟูเหริน เชิญนั่งเจ้าค่ะ” เฝิงซูหมิ่นให้คนนำชามาเสริฟให้แก่ทั้งสองอย่างเป็นกันเอง
จากที่หลินหลันได้ฟังคำแนะนำของหลี่หมิงอวิน จึงแสดงการขออภัยเป็นอันดับแรก “หลินฮูหยิน ต้องขออภัยจริงๆ จดหมายฉบับนี้ควรจะนำมาส่งให้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ทันทีที่เข้ามายังเมืองหลวงก็ประสบกับเรื่องยากลำบาก ปลีกตัวออกมามิได้ ขอฮูหยินโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ” หลินหลันเอ่ยพลางยื่นจดหมายออกไปเบื้องหน้า
เฝิงซูหมิ่นเผยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ “หลี่ฟูเหรินพูดอะไรเยี่ยงนั้น ท่านเดินทางมาแสนไกลช่วยนำจดหมายของพี่สาวมาให้ข้า เป็นข้าต่างหากที่ควรขอบคุณท่านถึงจะถูก”
หลินหลันและหลี่หมิงอวินส่งสายตาสื่อสารกันชั่วครู่
คนหนึ่งว่า…เจ้าเดาถูกเผงเลย
คนหนึ่งว่า…นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว
คนหนึ่งว่า…ดูเจ้าจะภูมิอกภูมิใจเหลือเกินนะ
คนหนึ่งหยักคิ้วลิ่วตา
หลังจากชะงักไปชั่วครู่ เฝิงซูหมิ่นก็ได้เอ่ยถามขึ้น “เรียนถามหลี่กงจื่อ หลี่ฟูเหริน พวกท่านกับเจี่ยะเจียเป็น…”
หลินหลันตอบทันควัน “ช่วงเดือนก่อน พวกเราแวะเมืองซูโจว แล้วบังเอิญได้พบภรรยาท่านเจ้าเมือง เมื่อนางทราบว่าพวกเราต้องเข้ามายังเมืองหลวง จึงให้พวกเราทำจดหมายมามอบให้ท่าน” หลินหลันหลีกเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยถึงการไปรักษาอาการป่วยของฮูหยิน เพื่อจะได้ไม่ทำให้นางต้องเป็นกังวลใจไป
เฝิงซูหมิ่นพยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าเองก็ไม่ได้เจอท่านพี่มานานมากแล้ว ไม่รู้ว่าสุขภาพร่างกายนางยังดีอยู่หรือไม่”
“ภรรยาท่านเจ้าเมืองสุขสบายดีทุกอย่างเจ้าค่ะ” หลินหลันเอ่ยตอบ ขณะที่ในใจพร่ำเอ่ย ต่อให้เคยไม่ดี ทว่าตอนนี้ก็คงไม่น่าจะเป็นอะไรแล้วกระมัง!
ด้วยความที่เฝิงซูหมิ่นกระตือรือร้นอยากเปิดจดหมายอ่าน จึงกล่าวขออภัย “ท่านทั้งสองนั่งรอสักครู่ ข้าขอตัวอ่านจดหมายก่อน….นานมากแล้วที่ไม่ได้รับจดหมายจากคนในครอบครัว…”
หลินหลันและหลี่หมิงอวินแสดงท่าทีเข้าใจเป็นอย่างดี
ไม่นานนัก เฝิงซูหมิ่นก็ออกมาพร้อมด้วยดวงตาแดงกล่ำ แสดงให้เห็นถึงการผ่านการร้องไห้
เนื้อเสียงอู้อี้อยู่เล็กน้อย “ขายหน้าทั้งสองท่านจนได้”
หลินหลันและหลี่หมิงอวินพร้อมใจกันพยักหน้า แล้วแสดงออกอย่างเข้าอกเข้าใจขึ้นมาอีกครั้ง
เฝิงซูหมิ่นใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้น “ขอบคุณพวกท่านที่นำจดหมายของท่านพี่มาให้ หลี่ฟูเหริน ไว้วันวันหลังแวะเวียนมานั่งเล่นในจวนบ่อยๆ ในบ้านนี้ปกติก็มีแค่ข้ากับซานเอ๋อร์ เงียบเหงาจะแย่ ท่านพี่กล่าวว่าท่านเป็นคนดีมากผู้หนึ่ง”
หลินหลันไม่อาจรู้ได้ว่าในเนื้อความจดหมายจากภรรยาท่านเจ้าเอ่ยไว้ว่าอย่างไร แต่แน่นอนว่าต้องเป็นการพูดถึงนางในแง่ที่ดี วันนี้นางอาศัยอยู่ในเมืองหลวงท่ามกลางคนแปลกหน้า นอกเสียจากเฉียวอวิ๋นซี ก็ไม่รู้จักผู้ใดอื่นแล้ว ในเมื่อภรรยาท่านแม่ทัพมีความตั้งใจเชื่อมสัมพันธ์ แน่นอนว่านางต้องยินดีปรีดา ก่อนจะกล่าวออกไปอย่างติดตลก “เช่นนั้นหลังจากนี้ข้าจะมารบกวนท่านบ่อยๆ เลยเจ้าค่ะ”
ด้วยหลี่หมิงอวินยังต้องกลับไปตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำรา หลินหลันเกรงว่าจะรบกวนเวลาเขา จึงพูดคุยอีกไม่กี่ประโยคแล้วลุกขึ้นกล่าวลา
เฝิงซูหมิ่นออกไปส่งพวกเขานอกจวนด้วยตนเอง แล้วยังกระซิบกระซาบ ต้องการให้หลินหลันแวะเวียนมานั่งเล่นเมื่อมีเวลาว่าง
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา เฝิงซูหมิ่นก็ถอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ที่แท้พี่สาวของนางป่วยหนักเป็นระยะเวลากว่าครึ่งปีแล้ว จนเกือบจะรักษาไม่หาย โดยนางไม่เคยรับรู้ข่าวคราวมาก่อนเลย เมื่อนึกถึงความทรมานของพี่สาว จึงอดรู้สึกเจ็บปวดจนเกินจะทนไหว ยังดีที่ได้พบหลี่ฟูเหรินท่านนี้ ช่วยฟื้นชีวิตกลับมาสดใส รักษาอาการป่วยของนางจนหายดี เมื่อก่อนหน้าที่ได้ยินคำล่ำลือของพวกเขาทั้งสองคน นางก็รู้สึกประทับใจในความรักอันแน่วแน่ของหลี่หมิงอวิน และรู้สึกเห็นใจหลินหลันอย่างสุดซึ้ง ขณะเดียวกันนางก็มิอาจเข้าใจว่า คุณชายหลี่ของท่านราชเลขากรมพระคลังผู้มีหน้ามีตา ซึ่งเป็นที่หมายปองในคนหมู่มาก เหตุใดจึงมีความรักใคร่อย่างลึกซึ้งต่อหญิงสาวชาวบ้านผู้หนึ่งเสียเช่นนี้ และในตอนนี้นางก็ได้เข้าใจแล้ว หลี่ฟูเหรินท่านนี้มิเลวเลยจริงๆ เป็นคนจิตใจดี ช่วยชีวิตพี่สาวของนางไว้แท้ๆ แต่กลับไม่เอ่ยถึงเลยสักคำ หรืออาจเป็นเพราะเกรงว่านางจะเป็นกังวลใจไป จิตใจดีเสียขนาดนี้ และไม่ร้องขอสิ่งตอบแทนใดๆ คู่ควรที่จะเชื่อมสัมพันธะภาพอย่างลึกซึ้งเอาไว้
เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน หลี่หมิงอวินก็ตรงไปยังห้องหนังสือทันที หลินหลันจึงให้แม่โจวจัดการสืบเสาะประวัติข้ารับใช้ของเรือนหลั้วเซี๋ยจายให้ชัดเจน ยกเว้นผู้ที่มาจากตระกูลเยี่ย รวมถึงเขามาในจวนตั้งแต่เมื่อใด เข้ามาได้อย่างไร ท่าทีอุปนิสัยที่แสดงออกโดยปกติแล้วเป็นอย่างไร และคนในครอบครัวยังมีใครกันบ้างเป็นต้น
ถึงแม้หลี่หมิงอวินจะบอกไว้ว่าคนในเรือนหลั้วเซี๋ยจายล้วนเชื่อถือได้ ทว่าหลินหลันไม่คิดเช่นนั้น ในเมื่อหมิงอวินห่างบ้านไปหลายปีขนาดนี้ ไม่แปลกหาคนจะเปลี่ยนไป ทำให้กระจ่างชัดเจนไว้ก่อนจะเป็นการดี หลั้วเซี๋ยจายคือฐานตั้งมั่นสำหรับนาง นางจำเป็นต้องรักษาไว้ซึ่งความใสสะอาดบริสุทธิ์ภายในนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาวุ่นวายที่จะตามมาภายหลังได้
แม่โจวเห็นดีเห็นงามกับวิธีการเช่นนี้ของหลินหลัน กันไว้ดีกว่าแก้ ไม่ว่าจะทำการใดก็ต้องระมัดระวังเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสำเร็จในระยะยาว ดังนั้น ไม่นานมากนักแม่โจวก็สามารถรวบรวมประวัติโดยย่อของทุกคนมาได้เป็นที่เรียบร้อย
หลินหลันให้หยินหลิ่วรวมถึงคนอื่นๆ ออกไปเสียก่อน เหลือแต่เพียงแม่โจวผู้เดียว หลังจากนั้นจึงพลิกเปิดดูทีละคนอย่างละเอียด ไม่เว้นข้ามไปแม้แต่วรรคเดียว
แม่โจวมองดูนางซึ่งอยู่ภายใต้สีหน้าเอาจริงเอาจัง จึงรู้สึกชื่นชมในตัวหลินหลันยิ่งขึ้น สายตาของนายหญิงชราไม่เคยมองใครผิดพลาดเลยจริงๆ ตอนแรกนายหญิงชราซึ่งมองหลี่ผู้ต่ำต้อยเพียงแวบแรกก็รู้ได้เลยว่าเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ จึงได้พยายามโน้มน้าวคุณหนูอย่างหนัก น่าเสียดายที่คุณหนูหลงจนไม่ลืมหูลืมตาไปเสียแล้ว แม้เพียงประโยคเดียวก็ไม่เชื่อฟัง หากยอมเชื่อฟังนายหญิงแม้เพียงครึ่งหนึ่งของคำพูด ก็คงไม่ตกมาอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงตอนนี้ ทำให้คุณชายน้อยหมิงอวินต้องลำบากเช่นนี้ อย่างไรก็ตามนายหญิงชรายังคงประเมิณหลินหลันต่ำไป รวมถึงนางเองก็เช่นกัน หลินหลันเก่งกาจกว่าที่พวกนางคาดการณ์เอาไว้มาก ทั้งการคิดอย่างระมัดระวังรอบครอบ และวิธีการที่เลือกใช้ในการปฏิบัติล้วนเป็นยอด ลำพังกลเม็ดที่ใช้ในการบันทึกความผิดของแม่เถียนลงหนังสือ ก็ทำให้แม่เถียนต้องทุกข์ระทม
เมื่อเห็นหลินหลันพลิกเปิดไปจนหน้าสุดท้าย แม่โจวจึงเอ่ยถามด้วยเสียงบางเบา “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านคิดว่ามีผู้ใดไม่ผิดปกติหรือไม่”
หลินหลันไตร่ตรองอยู่นานพอตัว แล้วพลิกเปิดไปยังหนึ่งหน้าในนั้น ชี้ลงไปบนสองชื่อ “สองคนนี้ ท่านคอยจับตาดูไว้ให้ดีๆ ”
ทันทีที่แม่โจวเห็นชื่อนั้น เกิดรู้สึกไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก “ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง!”
“รู้หน้าไม่รู้ใจ ระมัดระวังเอาไว้มิใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด ข้าว่า เอ้อร์เส้าเหยียใกล้จะเข้าร่วมการสอบระดับมณฑลแล้วด้วย หากเขาทำได้สำเร็จ ใครกันหรือจะเป็นผู้ไม่พึงพอใจมากที่สุด แน่นอนว่าเป็นฮูหยิน ดังนั้น ข้าคิดว่านางจะต้องใช้เล่ห์กลอะไรบางอย่าง เพื่อทำให้เอ้อร์เส้าเหยียไม่ผ่านการทดสอบ พวกเราจำเป็นต้องป้องกันประเด็นนี้ให้ได้” หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
แม่โจวอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เอ้อร์เส้าหน่ายนายวางใจได้ ข้าจะคอยจับตาเอาไว้”
หลินหลันนวดขมับศีรษะทั้งสองข้าง กล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “เรื่องนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ เล่นงานข้าต้องตื่นตัวอยู่ตลอดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ปวดหัวไปหมดแล้ว”
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รอให้เอ้อร์เส้าเหยียสอบระดับสูง เอ้อร์เส้าหน่ายนายก็สามารถวางใจได้เยอะแล้วเจ้าค่ะ”
พอได้เอ่ยถึงการสอบระดับสูง หลินหลันจึงนึกถึงตอนที่ไปหาหลี่หมิงอวินและลงนามสัญญาการแต่งงานจอมปลอมนี้ขึ้นมา ตนเองดันพูดจาอย่างไม่คิด ประมาณว่า…หากเจ้าสอบผ่านระดับสูง ข้าจะพิจารณาว่าจะแต่งงานกับเจ้าอย่างจริงๆ หรือไม่ หลินหลันรู้สึกตลกตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความที่ตอนนั้นนางรู้เสียที่ไหนล่ะว่าแท้จริงแล้วหลี่หมิงอวินจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ นางไม่ทันได้สังเกตก็ทำให้ชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์แห่งเมืองหลวงติดกับดักเข้าเสียแล้ว เอ่อะ! ไม่สิ ดูเหมือนว่าคนที่ถูกหลอกให้ติดกับดักเป็นนางสิถึงจะถูก คงเป็นเพราะหลี่หมิงอวินเห็นว่านางกล้าได้กล้าเสียจึงคิดว่านางสามารถเป็นผู้ช่วยที่ดีไม่น้อย ถึงได้ยอมเล่นไปตามน้ำ
แม่โจวมองหลินหลันที่ประเดี๋ยวก็เลิกคิ้ว ประเดี๋ยวก็เผยรอยยิ้ม ประเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว จึงเกรงว่านางจะหมกหมุ่นกับเรื่องวุ่นวายใจเหล่านี้จนเกินไป จึงไม่รีรอที่จะเอ่ยโน้มน้าวใจ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายอย่าได้กังวลเกินไปเลยเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียเองก็ระมัดระวังตนอย่างมาก อีกอย่าง บ่าวอยู่นี่ ผู้ที่คิดจะใช้เล่ห์กลใดๆ ในบ้านหลังนี้คงไม่ได้ขนาดนั้นเจ้าค่ะ”
หลินหลันเหม่อลอยไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ หลังจากครุ่นคิดไตร่ตรองจึงพบว่า เมื่อครู่แม่โจวเอ่ยเรียกสรรพนามแทนตนเองว่าบ่าว นับแต่ออกเดินทางจากเฟิงอาน แต่ไหนแต่ไรมาแม่โจวมิเคยแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ต่อนางมาก่อน เห็นทีว่าการปฏิบัติตนของนางจะได้รับการยอมรับจากแม่โจวแล้ว หลินหลันรู้สึกปลาบปลื้มใจอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพูดกับแม่โจวด้วยรอยยิ้มจางๆ “แม่โจว ท่านเป็นคนเก่าคนแก่ของตระกูลเยี่ย ทั้งยังถือว่าเป็นอาจารย์ผู้สั่งสอบอบรมข้า ข้ามองท่านเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่ง หลังจากนี้ เมื่อไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย ท่านอย่าได้เรียกแทนตนเองว่าบ่าวเลย มันฟังดูแปลกหูชอบกล”
แม่โจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะอย่างไรก็ยังต้องเป็นไปตามข้อปฏิบัติ เผื่อว่าวันใดไม่ทันได้ระวัง จะถูกคนเขาเอาไปตำหนิได้”