ตอนที่ 73 ความกลัดกลุ้มของแม่มดชรา

ปฏิญญาค่าแค้น

ในวันเดียวกันแม่มดชราให้คนนำซุปโสมมาให้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าของที่แม่มดชราส่งมาให้จะเป็นของแท้ราคาสูงหรือของหลอกเลียนแบบ หลินหลันล้วนไม่มีทางให้หมิงอวินกินเข้าไปเด็ดขาด และสั่งการให้จิ่นซิ่วแอบเททิ้ง โดยไม่ให้ผู้ใดรู้เห็น ที่ตระกูลเยี่ยมีก็คือเงิน ดังนั้นซุปโสมอะไรพวกนี้ถือเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วหากต้องการหาดื่ม ประเด็นสำคัญคือ จะให้วันๆ กินแต่ซุปโสม เกรงว่าต่อให้หลี่หมิงอวินอึดถึกเพียงใดก็ยังไม่อาจต้านทานไหว บำรุงมากเกินไปจนร่างกายภายในนำไปใช้ไม่ทัน มีแต่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมา 

 

 

เพื่อที่ในอนาคตความสำเร็จของหลี่หมิงอวินถือได้ว่ามีน้ำพักน้ำแรงของนางเป็นส่วนหนึ่งด้วย และเพื่อที่จะได้เงินค่าตอบแทนที่มากยิ่งขึ้นเมื่อครั้นถึงเวลาแยกจากกัน หลินหลันจึงรับบทบาทเป็นทั้งหัวหน้าองค์รักพิทักษ์หลี่หมิงอวินและเป็นผู้อำนวยการกองแม่บ้านแม่เรือน หยิบยกความรู้ด้านอาหารบำรุงร่างกายอันมากโขของนางออกมา และอาศัยการพัฒนาตำหรับอาหารบำรุงร่างกายทางวิชาโภชนาการให้แก่หลี่หมิงอวินโดยเฉพาะ 

 

 

แม่โจวซึ่งรับรู้แต่แรกว่าหลินหลันยึดอาหารเพื่อการบำรุงร่างกาย และใช้อาหารเป็นวิธีการรักษาอาการเจ็บป่วย ทันทีที่ได้รับสูตรตำหรับอาการก็รีบสั่งการลงไปที่กุ้ยซ่าวทันที สามมื้อต่อหนึ่งวันโดยจัดทำตามสูตรตำหรับอาหาร เช่นนั้นอาหารทุกมื้อจึงมิได้ผ่านจากแม่ครัวแห่งจวนหลี่แต่อย่างใด แต่เป็นการที่กุ้ยซ่าวเป็นผู้ไปจับจ่ายซื้อวัตถุดิบด้วยตนเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อจะได้มั่นใจถึงความปลอดภัย 

 

 

หากเป็นช่วงปกติทั่วไป เรือนหลั้วเซี๋ยจายไม่ว่าจะจับจ่ายใช้ส้อยอันใดล้วนใช้เงินของตนเองทั้งสิ้น มิได้ใช้เงินจากส่วนกลางแม้แต่แดงเดียว ฮานชิวเยว่ยังใจจะขาดรอนๆ ทว่าตอนนี้เรือนหลั้วเซี๋ยจายแสดงถึงการแบ่งอาณาเขตอย่างชัดเจนและป้องกันอย่างหนาแน่น ทำให้จิตใจนางไม่เป็นอันสงบสุขด้วย หนึ่ง แผนการของนางไม่เป็นไปอย่างราบรื่น สอง เห็นได้ว่าชัยชนะจะตกเป็นของหลี่หมิงอวินอย่างแน่แท้ 

 

 

“เหตุใดฮูหยินต้องกระวนกระวายใจด้วยเรื่องนี้ล่ะเจ้าคะ พวกเขาจัดการด้วยตนเองมิใช่ว่าดีอยู่หรอกหรือ ถึงเวลาพอเกิดเรื่องอันใดขึ้นจะได้มิต้องโบ้ยมาที่ฮูหยิน” แม่เจียงกล่าวจุดประเด็นขึ้น 

 

 

เมื่อฮานชิวเยว่ได้ยินเช่นนั้น จิตใจที่มืดมนกลับเบิกบานขึ้น ก็จริงอยู่กระมัง นางลืมนึกถึงส่วนนี้ไปเสียสนิทใจ 

 

 

“เหล่าเหยีย ตอนนี้หมิงเจ๋อและหมิงอวินกำลังเตรียมการสอบ เฉี้ยเซินจึงให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องมาฉิ่งอานทุกวันแล้วเจ้าค่ะ” หลังมื้อค่ำสิ้นสุดลง ฮานชิวเยว่จัดการชงชาให้ผู้เป็นสามีด้วยตนเอง ภายใต้ใบหน้าซึ่งแต่งแต้มไว้ด้วยความอ่อนโยน 

 

 

หลี่จิ้งเสียนพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงาม “ตอนนี้เป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ขนบธรรมเนียมเหล่านี้หากเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปก่อนเถอะ!” 

 

 

ฮานชิวเยว่หย่อนตัวลงนั่งด้านข้าง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เฉี้ยเซินก็คิดเยี่ยงนี้เช่นกันเจ้าค่ะ เดิมทีเฉี้ยเซินยังคิดไว้ว่าช่วงนี้จะให้ทางห้องครัวตุ๋นเหล่าซุปบำรุงร่างกายให้พวกเขาด้วยเจ้าค่ะ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่หลินหลันวางแผนอย่างรอบครอบ โดยคิดร่างสูตรอาหารให้แก่หมิงอวิน สำหรับสามมื้อต่อวัน ทางด้านวัตถุดิบอาหารล้วนเป็นคนของตระกูลเยี่ยเป็นผู้จับจ่าบซื้อหา ช่วยคลายกังวลเฉี้ยเซินไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว เฮ้อ…หากหลั้วเหยียนเอาใจใส่หมิงเจ๋อได้เช่นนี้ก็คงดีนะเจ้าค่ะ” 

 

 

จากที่ได้ฟังหลี่จิ้งเสียนรู้สึกถึงความผิดปกติอยู่เล็กน้อย จึงกล่าวออกไปภายใต้คิ้วที่ขมวดเข้าหากัน “บุตรชายตระกูลี่ของข้าจะบำรุงร่างการ ยังจำเป็นต้องให้ตระกูลเยี่ยออกเงินอีกหรือ” 

 

 

ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “เหล่าเหยีย ตระกูลเยี่ยออกเงินให้มันไม่ถูกต้องตรงไหนหรือ ในเมื่อหมิงอวินก็เป็นหลานชายของตระกูลเยี่ยด้วยเช่นกัน” 

 

 

แน่นอนว่านี่มันไม่ถูกต้อง ความนึกคิดของตระกูลเยี่ยนั้นเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ บุตรชายคนรองแห่งตระกูลเยี่ยมีอคติต่อเขาอย่างมาก หลายปีนั้นที่หมิงอวินอยู่ในมณฑลเฟิงอาน เรื่องที่ตระกูลเยี่ยเฝ้าเป่าหูหลี่หมิงอวินด้วยคำพูดต่างๆ นานาเพื่อทำลายความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกเขานั้น เขารู้ได้โดยไม่ต้องครุ่นคิดด้วยซ้ำไป มาตอนนี้หมิงอวินหวนกลับมาแล้ว ตระกูลเยี่ยยังตามติดหนึบหมิงอวินไม่ยอมปล่อย 

 

 

หลี่จิ้งเสียนสบถฮึด้วยความอึดอัดใจ ชายตามองไปยังฮานชิวเยว่ “มิใช่ว่าเจ้าทำอะไรให้พวกเขาลำบากใจเข้าแล้วหรอกหรือ” 

 

 

ฮานชิวเยว่ลุกขึ้นยืนด้วยอาการตื่นตระหนก แล้วกล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เหตุใดเหล่าเหยียจึงคิดเยี่ยงนี้เจ้าคะ ตั้งแต่หมิงอวินกลับมา เฉี้ยเซินเฝ้าคิดอยู่สิ่งเดียวว่าควรทำอย่างไรจึงสามารถทำให้หมิงอวินยอมรับในตัวเฉี้ยเซิน ควรทำอย่างไรจึงสามารถทำให้หมิงอวินเข้าใจความหวังดีของพวกเรา เพื่อเป็นการชดเชยให้แก่เขา…ในเมื่อการจากไปของท่านแม่เขาก็เป็นเพราะเฉี้ยเซิน…สิ่งที่เฉี้ยเซินพอจะทำได้ก็ล้วนทำไปหมดแล้ว แม้ว่าหมิงอวินจะไม่ใยดี ทว่าเฉี้ยเซินก็ไม่โกรธเคืองแต่อย่างใด ค่อยเป็นค่อยไป เพราะใจคนเราสามารถเปลี่ยนไปได้ตลอดอยู่แล้ว และเชื่อว่าหมิงอวินจะเข้าใจพวกเราเจ้าค่ะ” 

 

 

ช่างเป็นคำพูดที่งดงามสมบูรณ์แบบ หลี่จิ้งเสียนจึงได้แต่เผยสีหน้าสลดไม่พูดไม่จา 

 

 

ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างไม่ทำเรื่องให้เป็นเรื่องใหญ่ “เฉี้ยเซินสามารถมีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะความเมตตาของเหล่าเหยีย เฉี้ยเซินเข้าใจความนึกคิดของเหล่าเหยีย ในเมื่อหมิงอวินเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเหล่าเหยีย เฉี้ยเซินจะพยายามอย่างหนักเพื่อสมานสัมพันธ์กับหมิงอวิน มิใช่คิดจะทำลายความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกของเหล่าเหยียแต่อย่างใด เพื่อเหล่าเหยีย เฉี้ยเซินยินยอมทำทุกอย่างเจ้าค่ะ…” 

 

 

สีหน้าของหลี่จิ้งเสียนเริ่มอ่อนลง และกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย “เจ้าเข้าใจก็ดี ตอนนี้เจ้าเป็นท่านแม่ในจวนหลี่แห่งนี้ หมิงเจ๋อก็ได้กลับสู่วงศ์ตระกูลแล้วเช่นกัน จุดมุ่งหมายของเจ้าสำเร็จลุล่วงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาช่วยข้าดูแลบ้านหลังนี้เสีย อย่าได้ก่อเรื่องซึ่งไม่จำเป็นให้คนนอกเขาเอาไปติฉินนินทาได้ ถึงตอนนั้นข้าจะติดร่างแหไปด้วย เจ้าก็จะรับเคราะห์ไปด้วยเช่นกัน” 

 

 

ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างประจบประแจงขึ้นทันควัน “เฉี้ยเซินรู้ดีเจ้าค่ะ เหล่าเหยียคือท้องฟ้าของเฉี้ยเซิน ด้วยความสว่างสดใสนี้ เฉี้ยเซินจึงได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนยังคงไม่อาจวางใจได้อยู่เล็กน้อย “เกี่ยวกับเรื่องที่ตระกูลเยี่ยคอยช่วยจับจ่ายซื้อหาวัตถุดิบอาหารเจ้าช่วยรีบไปจัดการให้ที ให้คนนอกรู้เข้า ไม่รู้ว่าจะพากันคาดเดาไปอย่างไรบ้าง” 

 

 

ฮานชิวเย่วเผยสีหน้าลำบากใจ “เกรงก็แต่ว่าหมิงอวินจะไม่รับฟังเฉี้ยเซินสิเจ้าคะ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความไม่พอใจ “เจ้าก็หัดใช้สมองบ้างไม่ได้หรือ เรื่องนี้มันไม่เป็นไปตามระบบระเบียบ แน่นอนว่าจะละเลยไปมิได้” 

 

 

“หากเข้าดื้อรันไม่รับฟัง เฉี้ยเซินควรทำอย่างไรเจ้าคะ” ฮานชิวเยว่แสร้งกล่าวอย่างเศร้าใจ นางสิ้นเปลืองคำพูดคำจานี้ มิใช่เพื่อหาเรื่องใส่ตัว เพียงแต่ต้องการให้ผู้เป็นสามีเข้าใจไว้หนึ่งอย่างว่า มิใช่ว่านางทำได้ไม่ดี ทว่าเป็นหมิงอวินเองที่ไม่แยแส 

 

 

หลี่จิ้งเสียนกล่าวอย่างหงุดหงิด “เช่นนั้นตระกูลหลี่ก็ออกเงินให้พวกเขานำไปจับจ่ายซื้อวัตถุดิบอาหารด้วยตนเองเป็นอันหมดเรื่อง!” 

 

 

ฮานชิวเยว่ตกตะลึง ด้วยคาดถึงว่าผู้เป็นสามารถจะพูดออกมาด้วยประโยคเช่นนี้ 

 

 

“ยังมีอีกเรื่อง ไว้รอหมิงอวินจบเรื่องจบราว หากสอบผ่าน ข้าก็อยากจัดงานเลี้ยงแต่งงานให้พวกเขาทั้งสอง” 

 

 

ฮานชิวเยว่ตกตะลึงขึ้นอีกระรอก และเผยรอยยิ้มเจื่อนอยู่เล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดีสิเจ้าคะ เฉี้ยเซินคิดเรื่องนี้มาโดยตลอด รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเกินไปสำหรับหมิงอวิน เพียงแต่ด้วยความเกรงว่าเหล่าเหยียจะไม่พึงพอใจ ก็เลยไม่ได้เอ่ยขึ้นมา” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนถอดถอนหายใจ “เจ้าไม่รู้อะไร หลายวันมานี้ไปราชสำนัก ขุนนางในราชสำนักเหล่านั้นต่างพากันถามข้าว่าจะจัดงานเฉลิมฉลองให้หมิงอวินเมื่อใด กระทั้งองค์รัชทายาทก็ยังเอ่ยถามขึ้นมา แล้วเจ้าว่าพวกเราจะยังไม่จัดได้อยู่อีกหรือ” 

 

 

“องค์รัชทายาทสนพระทัยหมิงอวินขนาดนี้เชียวหรือ” ฮานชิวเยว่รู้สึกเพียงมือไม้เย็นขึ้นมาชั่วขณะ 

 

 

หลี่จิ้งเสียนนึกย้อนไปถึงคำตรัสขององค์รัชทายาท 

 

 

“ในเมื่อตอบรับแล้ว เหตุใดจึงไม่ใจกว้างเสียหน่อย เสียดายอะไรกับงานเลี้ยงฉลองเพียงมื้อเดียวหรือ ผู้อื่นข้างๆ จะกล่าวว่าเจ้าตระหนี่ถี่เหนียว และใจแคบกับบุตรชายของตนเอง” 

 

 

สวรรค์เท่านั้นที่รู้ เขาไม่จัดงานเลี้ยงฉลองก็เพราะเกรงจะทำให้ใครต่อใครพากันหัวเราะเยาะ แต่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าการไม่จัดงานเลี้ยงฉลองก็ทำให้ใครต่อใครหัวเราะเยาะเช่นกัน 

 

 

“ตอนนี้ทุกคนล้วนตั้งความหวังไว้ที่หมิงอวิน จึงเป็นธรรมดาที่องค์รัชทยาจะให้ความสนใจด้วยเช่นกัน” หลี่จิ้งเสียนตระหนักได้ว่าองค์รัชทายาทมีความมุ่งมั่นในการเอาชนะ เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งควรเชื่อมความสัมพันธ์กับหลี่หมิงอวินเข้าไว้ 

 

 

“เจ้าไปส่งข่าวให้หลินหลันรับรู้เสีย และเพื่อหมิงอวินจะได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจมากยิ่งขึ้นอีกเท่าตัว” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ 

 

 

ฮานชิวเยว่แม้ภายในใจจะไม่ได้เต็มใจนัก ทว่าใบหน้ากลับแสดงออกถึงความสุขใจอย่างแรงกล้า “เฉี้ยเซินรับทราบเจ้าค่ะ” 

 

 

เห็นทีว่าแผนการนั้นจะไม่ได้เรื่องเสียแล้ว หากให้หมิงอวินคว้าชัยชนะ หัวใจของผู้เป็นสามีก็จะแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง 

 

 

หลี่หมิงอวินไม่ต้องไปฉิ่งอาน ทว่าแม่มดชราหาได้เอ่ยไว้ไม่ว่าหลินหลันไม่ต้องไปด้วยก็ได้เช่นกัน ดังนั้นหลายวันนี้หลินหลันจึงไปฉิ่งอานตามลำพัง 

 

 

สองวันแรกแม่มดชราไม่ได้ทำการใดให้นางลำบากใจแต่งอย่างใด อีกทั้งยังปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี โดยให้นางอยู่รับประทานอาหารเช้าด้วยกัน และสั่งให้แม่ชิวทำซาลาเปาไส้ผักนานารสชาติเพื่อต้อนรับนางโดยเฉพาะ มองผิวเผินดูเหมือนแม่มดชราปฏิบัติต่อนางดีเสียหญิงกว่าสะใภ้ใหญ่อย่างติงหลั้วเหยียนด้วยซ้ำไป 

 

 

หลินหลันนับถือในความแน่วแน่ของแม่มดชราอยู่เล็กน้อง เรือนหลั้วเซี๋ยจายทำอาหารด้วยตนเองต่างหาก ทว่าแม่มดชรากลับไม่เอ่ยปากถามเลยแม้เพียงประโยคเดียว หลินหลันเองก็ไม่เอ่ยขึ้นมาแม้แต่คำเดียวเช่นกัน มาดูกันว่าเจ้าจะอดกลั้นไว้ได้สักกี่น้ำเชียว 

 

 

แล้วสุดท้าย เมื่อเข้าวันที่สาม แม่มดชราก็อดกลั้นไม่ไหวเสียแล้ว 

 

 

หลังมื้อเช้าสิ้นสุดลง แม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสามคนนั้งล้อมวงสนทนากัน 

 

 

แม่มดชรายิ้มตาหยีขณะเอ่ย “หลินหลัน ข้าได้ยินว่าเจ้าได้คิดค้นตำหรับอาหารบำรุงร่างกายขึ้นมาหรือ” 

 

 

หลินหลันกล่าวอย่างถ่อนตน “จะว่าคิดค้นคงมิถึงขั้นนั้นหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่ได้เรียนรู้สูตรอาหารชูกำลังจากท่านอาจาร์ยมาเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างสนอกสนใจ “ว่ากันว่ายาบำรุงหรือจะสู้อาหารบำรุง ทว่าพวกเราเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก อยากกินอะไรก็กินตามใจปาก หากต้องการบำรุงร่างกายขึ้นมาก็หนีไม่พ้นซุปโสมและรังนกอะไรพวกนี้ ในเมื่อเจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ไว้ข้าจะให้แม่ชิวไปเรียนรู้จากเจ้าบ้าง จะได้ทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์กันถ้วนหน้า” 

 

 

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลูกสะใภ้เห็นว่าท่านแม่ก็ดูคุ้นชินกับการบำรุงร่างกายอยู่นะเจ้าค่ะ และอาหารที่แม่ชิวปรุงล้วนรสชาติเอร็ดอร่อยและมีคุณประโยชน์ทั้งสิ้น ลูกสะใภ้มิอาจกล้าเป็นตัวตั้งตัวตีหรอกเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่เผยสีหน้าโอบอ้อมอารี และกล่าวด้วยน้ำเสียงใจดี “เจ้าก็อย่าได้ถ่อมตัวไปเลย เรื่องที่เจ้ารักษาอาการป่วยของภรรยาท่านเจ้าพระนั้นแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงแหนะ” 

 

 

ติ้งหลั้วเหยียนซึ่งพูดออกมาน้อยมาก จนกระทั่งได้ยินประโยคนี้ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน น้องสะใภ้มีความสามารถ ไว้ช่วยสอนข้าบ้างนะ” 

 

 

หลินหลันหัวเราะออกมาเล็กน้อยและกล่าวออกไป “เกรงก็แต่ว่าจะทำให้พวกท่านหัวเราะเยาะเอาได้สิเจ้าคะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ข้ายังคิดว่าเจ้าอยากจะแอบซ่อนไว้ลำพังเสียอีก” 

 

 

หลินหลันเผยสีหน้าไม่สบายใจ “ลูกสะใภ้มิอาจกล้าเจ้าค่ะ” 

 

 

ด้านแม่เจียงก็เอ่ยขึ้นอย่างหยอกล้อ “ฮูหยินเจ้าคะ ถือว่าท่านได้พบปะผู้ที่อยู่ในลักษณะเดียวกับท่านแล้วนะเจ้าคะ โดยปกติวันๆ เอาแต่พูดคุยเรื่องดูแลร่างกาย บ่าวล่ะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เรื่องแม้แต่น้อย ลำบากฮูหยินที่หลายปีมานี้ไม่ต่างจากสีซอให้วัวฟังเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่หัวเราะอย่างสุขใจและตามด้วยการเยาะเย้ยแม่เจียง “ตอนนี้เจ้ากลับยอมรับแล้วหรือว่าตนเองเป็นวัวน่ะ” 

 

 

ทุกคนต่างพากันหัวเราะอยู่ชั่วขณะ 

 

 

ฮานชิ่วเยว่ถึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง ‘หลินหลันอ่า อาหารบำรุงที่เจ้าตั้งใจทำขึ้นมาให้หมิงอวินจะต้องได้ผลอย่างแน่นอน เจ้านำออกมาให้ทางห้องครัวทำจะได้ไม่ต้องยุ่งยากไป ด้วยคนทางนั้นของเจ้าเดิมทีก็ไม่ค่อยเพียงพออยู่แล้ว” 

 

 

ในที่สุดก็พูดเข้าประเด็นเสียที หลินหลันจึงหยิบยกคำพูดที่เตรียมไว้แต่แรกขึ้นมาบอกปัด “เดิมทีลูกก็คิดเช่นนี้เจ้าค่ะ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อหมิงอวินเขาคุ้นชิ้นกับรสฝีมือของกุ้ยซ่าวแล้ว และชอบที่จะให้กุ้ยซ่าวเป็นคนทำ เขาพูดมันออกมาอย่างง่ายๆ เพียงประโยคเดียว ทว่าพวกเราต่างยุ่งกันตัวเป็นเกลียว ยังดีที่การสอบชิวเหว่ยใกล้เข้ามาแล้ว รอเขาเข้าสนามสอบไปแล้ว ลูกก็คงได้สบายขึ้นเจ้าค่ะ” 

 

 

ขณะพูดหลินหลันไม่วายกล่าวต่อด้วยความรู้สึกเกรงใจ “อันทีจริง สูตรอาหารข้าพกติดตัวอยู่ตลอด หลายครั้งที่อยากจะหยิบมันออกมา แต่ก็เกรงว่าท่านแม่จะรังเกียจน่ะเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่รู้แต่แรกว่าหลินหลันคงต้องปฏิเสธ นางเพียงแต่พูดพอเป็นพิธีรีตองเท่านั้นเอง “ในเมื่อหมิงอวินคุ้นชินฝีมือของกุ้ยซ่าว เช่นนั้นคงต้องลำบากเจ้าเหนื่อยหน่อยเสียแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องซื้อหาวัตถุดิบพวกนี้ ให้ทางผู้ดูแลของจวนหลีเป็นคนจัดการแล้วกัน” 

 

 

“ลูกก็คิดเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ ไม่ใช่ว่าก็แค่พวกเนื้ออกไก่และพวกกุ้งหอยปูปลาเท่านั้นเองหรือ ทว่าแม่โจวสิเจ้าคะดันมาตรฐานสูง เห็นว่าเนื้ออกไก่จำเป็นต้องเป็นเนื้อจากไก่โต้งที่มีน้ำหนักครึ่งโล กุ้งหอยปูปลาสดจำเป็นต้องน้ำหนักหกขีด ยาวไม่เกิดสามนิ้ว กระทั่งผักกาดขาวก็เลือกใช้เพียงแค่ส่วนใจกลางด้านในเท่านั้น พอลูกได้ยิน หัวก็แทบจะระเบิดเลยเจ้าค่ะ แล้วใยจะกล้ารบกวนให้ผู้ดูแลของจวนหลี่ไปช่วยจับจ่ายให้แทนล่ะเจ้าคะ ปล่อยให้แม่โจวนางไปจัดการเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ด้วยตนเองเถิดเจ้าค่ะ” หลินหลันบ่นโอดครวญ 

 

 

เมื่อได้ฟังฮานชิวเยว่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ความต้องเยอะขนาดนี้ จะให้คนนอกไปจัดการก็คงวางใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่จริงๆ ” 

 

 

คำพูดที่แฝงไว้ซึ่งอีกหนึ่งคำพูด ลึกๆ หมายถึงหลินหลันถือคนของจวนหลี่เป็นคนนอกนั่นเอง 

 

 

หลินหลันทำเพียงฟังไม่เข้าใจ และยังคงปั้นหน้าลำบากใจขณะเอ่ย “แม่โจวได้เรียนรู้กลเม็ดเหล่านี้จากผู้ดูและของจวนท่านเจ้าพระยาจิ้งเจ้าค่ะ ตอนแรกเริ่มที่ลูกสะใภ้กำหนดสูตรอาหารบำรุงร่างกายให้แด่ภรรยาท่านเจ้าพระยาจิ้ง พวกเขายังพิถีพิถันเสียงยิ่งกว่านี้อีกเจ้าค่ะ นั่นช่างเป็นอะไรที่ผู้ใดได้ฟังก็ล้วนตกตะลึงทั้งนั้นเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านเจ้าพระยาจิ้งตั้งหน้าตั้งตารอคอยบุตรชายมาโดยตลอด จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องพิถีพิถันกันบ้าง” 

 

 

“งั้นก็ช่างเถอะ ก็แล้วแต่พวกเจ้าเถิด! แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อข้าช่วยอะไรลงแรงอะไรไม่ได้ เช่นนั้นเรื่องเงินก็ให้ข้าจัดการแล้วกัน! หลังจากนี้ ค่าใช้จ่ายที่พวกเจ้าจัดซื้อวัตถุดิบอาหาร ล้วนเอาจากกองกลางแล้วกัน หมิงอวินเป็นกำลังทำเพื่อชัยชนะอันรุ่งโรจน์แห่งตระกูลหลี่ ดังนั้นควรใช้เงินจากกองกลางสิถูกจะสมควร” 

 

 

ฮานชิวเยว่คิดว่าหลินหลันจะปฏิเสธอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าหลินหลันกลับตอบรับอย่างดีอกดีใจมากมายเสียนี่ “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านแม่อย่างยิ่งเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

ผู้ใดกันจะมองข้ามเรื่องเงินๆ ทองๆ ไปได้น่ะ! และจะว่าไปเงินเหล่านี้เดิมทีก็เป็นของหมิงอวิน แล้วเหตุใดนางต้องบอกบอกปฏิเสธกันเล่า