หลังเสร็จสิ้นธรรมเนียมน้อมทักทายผู้ใหญ่ หลินหลันนำเรื่องราวของวันนี้พูดคุยกับแม่โจวอยู่สักพัก แม่โจวยิ้มเยาะกล่าว “เป็นเช่นนั้นก็ดีทีเดียวเชียว ในเมื่อนางใจกว้างเสียขนาดนั้น ก็ให้นางจ่ายเงินจนกระอักเลือดไปข้างหนึ่ง ข้าจะให้กุ้ยซ่าวไปซื้อโสมร้อยปีมาสักจำนวนหนึ่งและรักนกชั้นดีสักสามสี่กิโลกรัม”
หยินหลิ่นอมยิ้มหันไปกล่าวกับแม่โจว “ท่านก็ใจร้ายเกินไปกระมัง จะเอาโสมมากินแทนแครอทหรือ”
แม่โจวยิ้มอย่างซะใจ “ไม่ได้ออกเงินเองเสียหน่อย จะเอาโสมมากินแทนแครอทแล้วจะเป็นไรไปหรือเจ้าคะ”
หลินหลันก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน ก่อนจะหันไปเอ่ยถาม “ระยะนี้แม่เถียนไม่ก่อเรื่องอันใดใช่หรือไม่”
“นางน่ะสุขสบายเสียยิ่งกว่ากะไรดี ไม่มีอะไรทำก็นั่งแทะเมล็ดแตงโม หาคนพูดคุยไปเรื่อย แต่อย่างไรก็ตามทุกคนต่างไม่สนใจนาง นางเลยต้องหาความสำราญไปกับตนเองลำพัง” แม่โจวแสยะยิ้ม
“อืม ก็ให้นางสบายๆ ไปนั่นล่ะ แล้วซูอวิ๋นกับซูฟางล่ะเป็นเยี่ยงไร”
“สองผู้นี้ ในตอนนี้ดูเหมือนจะรู้งานดีทีเดียวเชียว ทำอะไรก็เอาจริงเอาจังดีด้วยเจ้าค่ะ”
“จับตามองต่อไปแล้วกัน” หลินหลันกล่าวกำชับ
ระหว่างนั้น ป๋ายฮุ่ยเข้ามาภายในห้อง โดยในมือของนางถือกระดาษภาพวาดลวดลายต่างๆ จำนวนหนึ่ง
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ข้าน้อยใช้เวลาพักใหญ่เลือกลายใหม่มาแล้วเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าหน่ายนายมาเลือกดูสิเจ้าคะ”
ขณะนั้นเองแม่โจวจึงปลีกตัวออกไปก่อน หลินหลันหยิบลวดลายต่างๆ ขึ้นมาดูทีละแผ่น และสุดท้ายก็เลือกรูปดอกกล้วยไม้อันเรียบงายทว่าให้ความรู้สึกเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ป๋ายฮุ่ยฉีกยิ้มขณะขานรับ “เช่นนั้นข้าน้อยจะไปปักให้เดี๋ยวเจ้าค่ะ”
หลินหลันกล่าว “จะเสร็จทันใช่ไหม”
ป๋ายฮุ่ยกล่าวทันควัน “ทันเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะรีบปักให้เรียบร้อยก่อนที่เอ้อร์เส้าเหยียจะเริ่มสอบเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าด้วย” หลินหลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ไม่ลำบากเจ้าค่ะ ข้าน้อยไปก่อนนะเจ้าคะ” ป๋ายฮุ่ยย่อเขาพร้อมโน้มตัวลงเล็กน้อยให้การคาราวะ ก่อนจะหยิบรูปภาพต่างๆ พวกนั้นออกไปพร้อมทีท่าดีอกดีใจ
หลินหลันยิ้มขื่นขม ให้ป๋ายฮุ่ยปักเฮ๋อเปา [1] แก่หมิงอวิน ก็ทำให้ป๋ายฮุ่ยดีอกดีใจเสียเช่นนี้ คงขอค้านสุดเสียง หากบอกว่าป๋ายฮุ่ยไม่ได้คิดต่อหมิงอวินเช่นนั้น ให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ
หยินหลิ่วเอ่ย “อย่ามองว่าก็แค่ดอกกล้วยไม้เท่านั้น หากต้องการปักออกมาให้งดงาม ก็ต้องทุ่มเทแรงกายหลายวันหลายคืนอยู่นะเจ้าคะ พี่ป๋ายฮุ่ยคงต้องเร่งมือแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
หลินหลันมองบน “ตอนนี้เอ้อร์เส้าเหยียกำลังอ่านตำราที่ห้องหนังสือตลอดทั้งวัน และไม่ต้องการให้นางคอยปรนนิบัติ ฉะนั้นนางจึงว่างอยู่พอดี หางานให้นางทำๆ ไปก็เป็นเรื่องดีออก ไปกันเถอะ พวกเราไปส่องเส้าเหยียนที่ห้องหนังสือกัน”
ห้องหนังสือของหลี่หมิงอวินเป็นอาคารขนาดเล็กด้วยความสูงสองชั้น ร่ายล้อมไปด้วยต้นไผ่ และเป็นสถานที่ที่ร่มรื่นเย็นสบาย
เฉี่ยวโหรวกับจิ่นซิ่วนั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านนอก และกำลังเพลิดเพลินไปกับการเล่นพันด้าย [2]
หยินหลิ่มเห็นพวกนางทั้งสองเล่นกันอย่างเอาจริงเอาจัง กระทั่งนายหญิงสะใภ้รองมาเยือนก็ยังไม่สังเกตเห็น จึงส่งเสียงกระแอมขึ้นไปสองครั้งเพื่อเตือนพวกนาง
ทั้งสองหันควับมาทันทีที่ได้ยิน เมื่อเห็นว่าเป็นนายหญิงสะใภ้รอง จึงรีบร้อนเก็บเส้นด้ายและลุกขึ้นให้การคาราวะ
“เอ้อร์…เอ้อร์เส้าหน่ายนาย” ด้วยความตื่นตระหนก สีหน้าของทั้งสองจึงพร้อมใจเผยให้เห็นความหวาดกังวล
หลินหลันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “เพลานี้ผู้ใดอยู่ด้านในเพื่อคอยให้การปรนนิบัติเอ้อร์เส้าเหยียหรือ”
เฉี่ยวโหรวตอบ “เพลานี้ตงจึอยู่ด้านในคอยให้การปรนนิบัติเจ้าค่ะ เอ้อร์เส้าเหยียชอบความเงียบสงบ จึงให้พวกข้าน้อยออกมาด้านนอกเจ้าค่ะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “เล่นกันตอนที่ไม่มีเรื่องอันใดต้องทำก็ไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่อย่าเอาแต่เล่นเพียงอย่างเดียว ต้องคอยเผื่อสติไว้อย่างอื่นบ้าง เกิดเอ้อร์เส้าเหยียเรียกหาเพื่อจะสั่งการอันใดแต่ดันหาใครไม่ได้เลย เช่นนั้นจะแย่เอาได้”
ทั้งสองกล่าวด้วยความละอายใจ “ข้าน้อยจำขึ้นใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันให้หยินหลิ่วคอยดูอยู่ชั้นล่าง และตนเองย่องเบาเดินขึ้นไปยังชั้นบน
หลี่หมิงอวินสวมใสเพียงชุดคลุมตัวยาวผ้าไหมสีขาวนวล กำลังจดจ่ออยู่กับตำรา โดยตงจึคอยพัดโบกให้เขาอยู่ด้านข้าง
ตงจึซึ่งเห็นหลินหลันเป็นคนแรก จึงส่งเสียงเรียกทันควัน “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…”
หลินหลันเผยรอยยิ้มที่งดงาม “ตงจึ เจ้าออกไปก่อนเถิด”
ตงจึซึ่งพัดโบกมานานครึ่งค่อนวันจนมื้ออ่อนล้าไปหมดแล้ว จะได้พักผ่อนเสียทีมีหรือจะไม่ดี จึงลงจากลงชั้นล่างพร้อมท่าทีเริงร่า
หลี่หมิงอวินปิดหนังสือลง มองไปยังหลินหลันพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เรื่องอันใดหรือ”
“ข้าสุ่มมาตรวจสอบ ดูว่าเจ้าแอบอู้หรือไม่” หลินหลันแสร้งปั้นหน้า แสดงทีท่าราวกับผู้บัญชาการที่มาตรวจความเรียบร้อย
หลี่หมิงอวินอมยิ้ม พลางเอนหลังเข้าหาพนักพิงเก้าอี้ มองไปยังนางอย่างผ่อนคลาย “เช่นนั้น…ผลจากการตรวจสอบถือว่าพึงพอใจหรือไม่”
หลินหลันค้อนสายตามองเขา “ที่นี่ไม่มีคนนอกเสียหน่อย เจ้าไม่ต้องทำเป็นเรียกอย่างออดอ้อนจะได้หรือไม่”
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วเล็กน้อย “งั้นควรเรียก? หลันเอ๋อร์…?”
หลินหลันรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาชั่วขณะ จนขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว และลืมความพ่ายแพ้อย่างงดงามในครานี้ “นอกจากหลันเอ๋อร์ เจ้าอยากจะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ”
หลี่หมิงอวินมองดูนางเผยท่าทีอย่างรับไม่ได้ จึงอดกลั้นขำเอาไว้ไม่ได้ ขณะเดียวกันนัยน์ตาของเขาก็เปล่งประกายมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
หลินหลันขี้เกียจจะมองดูท่าทีพึงพอใจของเขา เลยไปหาเก้าอี้มาหนึ่งตัวและหย่อนตัวนั่งลง “วันนี้ที่ไปฉิ่งอานมา แม่มดชราบอกว่า ท่านพ่ออยากจัดงานเลี้ยงชดเชยให้แก่พวกเรา แต่ด้วยตอนนี้เป็นเวลาสำคัญมาก ดังนั้นจึงอยากรอให้ผลสอบออกมาเรียบร้อยก่อนค่อยจัดขึ้น”
นี่คือเหตุผลหลักที่นางมายังที่นี่ พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายวางแผนไว้ได้อย่างดี คงคิดมาแล้วว่าหลี่หมิงอวินจะคว้าชัยชนะในการสอบชิวเหวยครั้งนี้เป็นแน่ จึงใช้โอกาสนี้ในการเชื่อมสัมพันธ์กับหมิงอวินและปรับปรุงความสัมพันธ์พ่อลูก
บนใบหน้าของหลี่หมิงอวินไม่เผยถึงความแปลกใจแต่อย่างใด เรื่องเหล่านี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของเขา พูดได้ว่ามันอยู่ในกำมือของเขานั่นเอง ระยะนี้ท่านพ่อคงได้รับแรงกดดันบางอย่าง และความกดดันเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เขาปลดปล่อย การกระทำอย่างยึดคติที่ว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ทำให้หลินหลันเข้ามาอยู่ในบ้านเป็นอันดับแรก ตามด้วยหนังสือแต่งงาน หลังจากนั้นก็ความเคารพยำเกรงที่ควรมี ไม่ให้ลดลั่นไปกว่ากันแม้เพียงเล็กน้อย ท่านแม่แบกรับความไม่ยุติธรรมไว้ทั้งหมดแล้ว เช่นนั้น เขาจะไม่ยอมได้รับความไม่ยุติธรรมอีกต่อไป โดยจะทวงทุกอย่างคืนกลับมาอย่างช้าๆ เช่นเดียวกัน
เห็นเขาไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด หลินหลันจึงซักถาม “เรื่องนี้จะคิดเห็นอย่างไร”
หลี่หมิงอวินคลี่พัดออก พัดโบกไปมาอย่างใจเย็น พร้อมกับน้ำเสียงเรียบเฉยซึ่งแฝงเอาไว้ความสะใจ “ไม่มีความเห็น”
หลินหลันมองค้อน “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่มีความเห็นใดๆ เร็วเข้า อย่ามัวเสแสร้ง รีบบอกความคิดของเจ้ามา”
หลี่หมิงอวินอมยิ้มแล้วกล่าวออกไป “ถึงเขาไม่จัด ข้าก็ต้องจัดอยู่ดี”
เอ่อะ เขาคิดเช่นนี้หรือ นั่นไม่เท่ากับเป็นการฉีกหน้าท่านพ่อหลี่ไร้ยางอายหรอกหรือ
“อย่างไรก็ตาม เขาต้องการจัดก็ให้เขาจัดไป การเฉลิมฉลองการแต่งงานส่งตัวเข้าเรือนหอพร้อมกับการคว้าชัยชนะในการสอบแห่งจักรวรรดิเป็นสิ่งที่ชวนให้ภาคภูมิใจอย่างที่สุด แล้วเหตุใดจะต้องปฏิเสธล่ะ” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างสบายอกสบายใจ
“ฝันหวานหรือไรเจ้า เกิดเจ้าสอบไม่ผ่านขึ้นมาล่ะ…ผุ่ยๆๆ …” ด้วยหลินหลันตระหนักขึ้นมาได้ว่าเพิ่งพูดคำที่ไม่ดีออกไป จึงรีบสะบัดทิ้ง “คำพูดเมื่อครู่ลืมๆ มันไปนะ ข้าขอพูดใหม่ เอ่อ…คือว่า…”
หลินหลันชะงักไป เมื่อครู่พูดถึงไหนแล้วนะ
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วมองดูนาง หยิบถ้วยชากุหลาบมินต์ซึ่งวางอยู่ด้านข้างขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ รอนางให้นึกขึ้นมาได้อย่างใจเย็น
“อ่อ ใช่แล้ว ใครจะเข้าเรือนหอกับเจ้าอ่ะ ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ” หลินหลันนึกอยู่ชั่วครู่ก่อนพูดโพล่งออกมา
พู…หลี่หมิงอวินพ่นน้ำชาออกมา ตามด้วยเสียงไอ การไอครั้งนี้ ทำให้ถ้วยกระชอกน้ำชาออกมาจนช่วงหน้าอกของเขาเปียกชื้นเป็นบริเวณกว้าง
หลินหลันบ่บพึมพำ “เจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะ แค่ดื่มชาหนึ่งอึกก็ทำให้สำลักได้” ขณะเดียวกันกลับคว้าผ้าเช็ดหน้าออกมาและเข้าไปเช็ดเสื้อผ้าให้แก่เขา
หลี่หมิงอวินอยากเอ่ยสวนกลับว่า เวลาที่ผู้อื่นเขาดื่มน้ำชาอยู่ก็ไม่ควรพูดอะไรตลกๆ ขึ้นมา ทว่าอาการสำลักส่งผลให้รู้สึกไม่สบายในลำคอ แม้ความเย็นของมิ้นต์จะสามารถทำให้สมองสดชื่นปลอดโปร่ง แต่ความเย็นแบบนี้เมื่อเข้าไปในโพรงจมูก มันทำให้หลี่หมิงอวินอึดอัดมากจนไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ
“ดูเจ้าสิ เสื้อผ้าชื้นไปหมดแล้ว” หลินหลันถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปบนแผงอกของเขามือพัลวัล
เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าไหม เอกลักษณ์ก็คือความเบาบางของผ้าไหม จนแทบจะเนียนแนบไปกับผิวกาย เมื่อหลินหลันเช็ดจนมือพัลวัล จนไปถูกเข้ากับจุดไวต่อการสัมผัสบริเวณหน้าอกของเขาเข้า และไม่ใช่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นเสียด้วย ใบหน้าของหลี่หมิงอวินจึงเต็มไปด้วยสีแดงระเรื่อ ทั้งเรือนร่างกลับร้อนระอุขึ้นมาเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการไออย่างแรงนั่นหรือเป็นเพราะสัมผัสของหลินหลันกันแน่ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดทั้งหมดทั้งมวลนี้
หลินหลันทำให้ใครบางคนเดือดร้อนอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่นางยังคงเช็ดถูไปพลางแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น “ท่านพ่อเจ้าอยากจะปรับปรุงความสัมพันธ์กับเจ้าให้ดีขึ้น ข้าว่าหลังจากนี้อย่าจ้องเล่นงานเขาจนเกินไปเลย การที่พวกเราจะเล่นงานคนสองคนในเวลาเดียวกันมันค่อนข้างยุ่งยาก ข้าคิดว่าค่อยๆ โจมตีไปทีละคนจะดีกว่า พวกเขาทำให้แม่มดชราไม่ได้รับความโปรดปราน หลังจากนั้นก็ขับไล่พวกเขา ดีจะตายไป…”
หลี่หมิงอวินอดกลั้นจนแทบจะต้านทานไม่ไหวเสียแล้ว จึงใช้เพียงมือเดียวคว้ามือเล็กๆ ที่กำลังสะเปะสะปะไปทั่วแผงอกของเขา และจึงกล่าวขึ้นขณะเดียวกันก็ส่งเสียงไอไม่ขาดสาย “ไม่ต้องเช็ดแล้ว…แค่กแค่ก…เปลี่ยนชุดก็เป็นอันจบเรื่องแล้ว…แค่กแค่ก…”
อ่อ จริงด้วยแฮะ เปลี่ยนชุดก็เป็นอันจบเรื่องไป ถึงอย่างไรหลี่หมิงอวินก็มีเสื้อผ้าเยอะถมเถไป
หลินหลันชักมือกลับและตบหลังของเขาเบาๆ “ดีขึ้นหน่อยแล้วไหม”
หลี่หมิงอวินก้มหน้าก้มตา ตอนนี้ใบหน้าของเขากำลังร้อนวูบวาบไปหมด จึงไม่กล้าให้นางมองเห็น
“ดี…ดีขึ้นแล้ว ข้าไม่เป็นไร” หลี่หมิงอวินรู้สึกว่าน้ำเสียงออกจะสั่นไหวอยู่เล็กน้อย
“คราวหน้าคราวหลังดื่มชาให้ระวังหน่อย สำลักเข้าหลอดลมไปเจ้าคงรู้สึกแย่น่าดู”
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบ สำลักเข้าหลอดลมไปแล้วต่างหาก แล้วยังต้องขอบคุณความช่วยเหลือของเจ้าด้วย
หลินหลันกล่าว “เช่นนั้นข้าไปเรียกจิ่นซิ่วให้หยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ขึ้นมาให้เจ้าเปลี่ยนแล้วกัน”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าทันทีทันใด แทบจะรอไม่ไหวให้หลินหลันรีบเดินไปด้วยซ้ำ
หลินหลันเดินไปได้สองฝีก้าว หลี่หมิงอวินผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกแล้วเงยหน้าขึ้น คาดไม่ถึงว่าหลินหลันจะหันขวับกลับมา “เมื่อครู่นี้ที่ข้าบอกกับเจ้าว่า…” หลินหลันตกตะลึง หลี่หมิงอวิน**เสียแล้ว…
หลี่หมิงอวินลุกขึ้นยืนตัวตรงดิ่ง กล่าวด้วยท่าทีอันเคร่งขรึม “เจ้าพูดได้อย่างมีเหตุมีผลมาก พวกเราก็เอาตามนี้แล้วกัน”
หลินหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อย ก่อนจะหันหลังแล้วลงไปชั้นล่างอย่างว่องไว ทันทีที่กลับหลังหัน ทั้งใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ มองไม่เห็นร่องรอยจุดเล็กๆ ของหลี่หมิงอวินอีกแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้ มองดูไม่เหมือนคนที่ร่างกายแข็งแรงกำยำแต่อย่างใด ทว่ากล้ามอกสองข้างไม่เพียงแต่ค่อนข้างแข็งแกร่ง นึกย้อยกลับไปถึงสัมผัสบนมือ…ยังมีความยืดหยุ่นมากอีกด้วย…
หยินหลิ่วมองดูนายหญิงที่ลงมาพร้อมใบหน้าสีแดงระเรื่อ จึงยิ้มอย่างมีเล่ห์สะนัยขึ้นมาเล็กน้อย
หลินหลันสั่งการจิ่นซิ่วอย่างลุกรี้ลุกรนให้หยิบเสื้อผ้าขึ้นไปให้นายน้อยเปลี่ยน
จิ่นซิ่วก็เม้มริมฝีปากซึ่งแฝงรอยยิ้มด้วยเช่นกัน
ด้วยความที่หลินหลันเห็นนัยน์ตาพวกนางแต่ละคนดูคลุมเครือ จึงกล่าวอธิบายอย่างเก้ๆ กังๆ “คือ…น้ำชาหกเรอะบนตัวเอ้อร์เส้าเหยียน่ะ”
การอธิบายที่เท่ากับการกลบเกลื่อน หยินหลิ่วหัวเราะคิกคัก และเอ่ยอย่างเกินจริง “จิ่นซิ่วยังไม่รีบไปหยิบเสื้อผ้ามาอีก บอกว่าน้ำชาหกเรอะบนตัวเอ้อร์เส้าเหยียไง”
หลินหลันซึ่งกำลังเขินอาย หันไปจ้องเขม็งใส่หยินหลิ่ว “ตามข้าไปห้องยาแล้วจัดการบดยาซะ”
หยินหลิ่วกับจิ่นซิ่วสื่อสารกันผ่านสายตา เอ้อร์เส้าหน่ายนายคงอายอย่างมากเลยสินะ
หลินหลันใช้ห้องเล็กเท่ารูหนูทางด้านทิศตะวันตกเป็นห้องยา ตลอดจนซื้ออุปกรณ์ซึ่งจำเป็นต้องใช้มาไว้อย่างครบครับ ซึ่งช่วยให้ง่ายต่อกลางทำยาสมุนไพรสำหรับนาง
เดิมทีหลินหลันจะทำยาเม็ดลิ่วเสิน [3] ขึ้นมา ทว่ายาเม็ดฮั่วเซียง [4] และยาเม็ดซิงเซิน [5] เป็นตัวยาที่หลี่หมิงอวินจะต้องใช้ในเร็วๆ นี้แล้ว ดังนั้นหลินหลันจึงทำสองตัวอย่างนี้ขึ้นมาก่อน
ได้ยินว่าในห้องสำหรับการสอบรายบุคคลนั้นร้อนอบอ้าวเป็นอย่างมาก ผู้ทำการสองจะต้องอยู่ในสถานที่อบอ้าวเป็นเวลาหลายวัน ซึ่งเป็นการง่ายต่อการเกิดอาการหน้ามืดวิงเวียนเมื่ออยู่ในที่ร้อนจัด ยาเม็ดฮั่วเซียงมีฤทธิ์ในการขับร้อนได้ดี ในส่วนของยาเม็ดซิงเซินนั้น จะช่วยทำให้หมิงอวินกระปรี่กระเป่าขึ้น
หลินหลันขลุกตัวอยู่ในห้องยา ออกแรงบดเป็นเวลาถึงครึ่งวันแล้ว ในที่สุดก็คิดขึ้นมาได้เสียที ก็แค่เห็นจุดสองจุดนั่น และลูบกล้ามอกไปประเดี๋ยวหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรอกหรือ มีอะไรให้น่าอาย จากนั้นก็โยนซากกระเบือให้แก่หยินหลิ่น “เจ้าทำต่อไปที ทำพวกนี้ให้เรียบร้อยแล้วค่อยพักผ่อน” ตบมือปัดๆ แล้วเดินไปเสียดื้อๆ
ใครใช้ให้สาวใช้ผู้นี้หัวเราะเยาะนางเมื่อครู่กันล่ะ จึงลงโทษนางโดยการใช้แรงงานอย่างหนักหน่วง แล้วดูกันว่าคราวหน้าคราวหลังนางจะยังกล้าหัวเราะเยาะนางอีกหรือไม่
หยินหลิ่วร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ก็แค่หัวเราะออกมานิดๆ หน่อยๆ มิใช่หรือ ต้องขนาดนี้เชียว?
——
[1] เฮ๋อเปา (荷包) เป็นเครื่องประดับที่คนจีนนิยมสืบทอดกันมา มีลักษณะเป็นถุงผ้าเล็กๆ ไว้ห้อยประดับบนตัว ใช้สำหรับใส่ของจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ
[2] พันด้าย เป็นการใช้ด้ายหรือเชือกเส้นเดียวทำเป็นห่วง แล้วดึงสลับไปมาระหว่างนิ้ว
[3] ยาเม็ดลิ่วเสิน (六神丸) เป็นยาสามัญประจำบ้านซึ่งประกอบด้วยสมุนไพรหกชนิดดังนี้ ดีวัวเหลือง,ชะมด, คางคก, หรดาล,พิมเสนและไข่มุก มีฤทธิ์ในการขับไล่ความร้อนขับสารพิษลดอาการบวมและบรรเทาอาการปวด
[4] ยาเม็ดฮั่วเซียง (藿香丸) เป็นยาสำหรับผู้มีอาการไข้ ร่วมกับทางเดินอาหาร เช่นวิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร
[5] ยาเม็ดซิงเซิน (醒神丸) เป็นยาสมุนไพรสำหรับรักษาโรคหลอดเลือดสมองอาการเป็นลมหมดสติและอาการอื่น ๆ