หลังจากจบพิธีเปิดการแข่งขันนกพิราบสื่อสาร ทุกคนต่างก็พาผู้หญิงที่ควงมาในงานกลับขึ้นไปบนรถของตนเอง จากนั้นขับรถขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าไปยังเมืองเฟิ่ง
ตอนที่ขึ้นไปบนรถของไซ่ตี้จวิ้นอีกครั้ง เหลิ่งรั่วปิงสังเกตเห็นถุงขนมใบใหญ่ ด้านในมีบ๊วย เมล็ดทานตะวัน มันฝรั่งทอดกรอบและขนมอื่นๆ เหลิ่งรั่วปิงตกใจอีกครั้ง เธอคิดไม่ถึงว่าไซ่ตี้วชจวิ้นจะเป็นผู้ชายที่ใส่ใจในรายละเอียดมากขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เขาก็เตรียมเสื้อกันหนาวให้เธอ ตอนนี้ก็ยังเตรียมขนมให้เธออีก
ไซ่ตี้จวิ้นเปิดประตูรถ เขาพูดด้วยความเป็นห่วง “กว่าจะขับรถไปถึงเมืองเฟิ่งต้องใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง ถ้าคุณรู้สึกเบื่อก็กินขนมแก้เบื่อไปก่อนนะครับ”
เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มแล้วพูดหยอกล้อเขา “คุณไซ่จีบผู้หญิงมามากแค่ไหนแล้วคะ ถึงได้มีเคล็ดลับในการเอาใจผู้หญิงมากขนาดนี้”
“คุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมจีบ”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มและไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอเชื่อว่าเขาพูดความจริง ผู้ชายแบบเขาแค่กระดิกนิ้วก็มีผู้หญิงมากมายพร้อมจะมาหา เขาไม่จำเป็นต้องจีบด้วยตนเอง เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองมีเสน่ห์อะไรถึงดึงดูดคนอย่างเขาได้ หรือว่าเขาจะมีจุดประสงค์แอบแฝง แต่ไม่ว่าเขาจะมีจุดประสงค์อะไร เธอแค่ต้องคอยสังเกตแล้วปรับเปลี่ยนแผนของตนเองก็พอแล้ว
เหลิ่งรั่วปิงไม่รอช้า เธอเปิดถุงบ๊วยแล้วหยิบขึ้นมากินหนึ่งเม็ด รสชาติหวานอมเปรี้ยวของบ๊วยทำให้เธอรู้สึกดี เธอเป็นคนที่ชอบกินบ๊วยมาก ตอนเด็กๆ เวลาอ่านหนังสือกับเวินอี๋ พวกเธอก็มักจะกินบ๊วยด้วยกัน และการที่วันนี้ได้กลับมากินรสชาตินี้อีกครั้ง มันทำให้เธอหวนคิดถึงความทรงจำดีๆ ที่อยู่ในใจ
ไซ่ตี้จวิ้นมองมาที่เธอพร้อมกับคลายยิ้มบางๆ จากนั้นก็หันกลับไปตั้งใจขับรถ
รอยยิ้มของเขาทำให้เหลิ่งรั่วปิงนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มของเขาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นมาก มันเป็นรอยยิ้มที่สดใสและบริสุทธิ์ใจ ทำให้เธอรู้สึกได้รับการปกป้องอีกครั้ง
“มีเพลงให้ฟังไหมคะ” เหลิ่งรั่วปิงถามขึ้น
“มีครับ ว่าแต่คุณอยากฟังเพลงอะไร” ไซ่ตี้จวิ้นใช้มือกดไปที่เครื่องเสียงรถยนต์
“ขอเพลงที่ฟังสบายๆ ก็พอแล้วค่ะ”
ไม่นานเพลงก็คลอขึ้นเบาๆ อากาศภายในรถยนต์ค่อยๆ อบอุ่นขึ้นมา “ถ้าคุณรู้สึกเบื่อ ผมให้คุณทำภารกิจอย่างหนึ่ง”
“ภารกิจอะไรคะ”
“นี่ครับ” ไซ่ตี้จวิ้นยื่นไอแพดมาให้เหลิ่งรั่วปิง “ช่วยผมดูตำแหน่งนกพิราบสื่อสารหน่อย”
ไอแพดมีการติดตั้ง GPS เอาไว้ สามารถรับสัญญาณจากเครื่องระบุพิกัดที่ผูกอยู่กับขาของนกพิราบสื่อสารได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงสามารถติดตามตำแหน่งของนกพิราบสื่อสารได้ และในเวลาเดียวกันก็สามารถดูว่านกพิราบสื่อสารของตนเองอยู่อันดับที่เท่าไหร่
“ได้ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงตื่นเต้นกับมันมาก เธอจึงรับไอแพดมาแล้วดูอย่างตั้งใจ “ตอนนี้นกพิราบสื่อสารของคุณอยู่อันดับที่หนึ่งค่ะ”
“ฮ่าๆๆ…” ไซ่ตี้จวิ้นหัวเราะอย่างมีความสุข “นกพิราบสื่อสารของผมเป็นพันธุ์พิเศษ นกพิราบทั่วไปไม่สามารถเทียบกับของผมได้”
สำหรับเรื่องนกพิราบนั้น เหลิ่งรั่วปิงไม่เคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อน เธอจึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
อากาศภายในรถอบอุ่นกำลังสบาย ไม่นานเธอก็พิงตัวลงแล้วผล็อยหลับไป
ไซ่ตี้จวิ้นขับรถไปจอดตรงบริเวณจุดพักรถ จากนั้นก็หยิบผ้าห่มมาห่มให้กับเธอ พร้อมกับปรับแอร์ในรถยนต์ให้อุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วขับรถออกไป
…..
ตอนที่เหลิ่งรั่วปิงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เวลาได้ล่วงเลยไปจนถึงหกโมงเย็นแล้ว ท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ตกดินในเมืองเฟิ่งเป็นเส้นสีแดงน่าหลงใหล
เหลิ่งรั่วปิงตกใจเล็กน้อย เธอรีบมองไปรอบอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกับผู้ชายคนนี้ไม่นาน แต่เธอกลับกล้านอนบนรถของเขา
“ตื่นแล้วหรอครับ” ไซ่ตี้จวิ้นจอดรถเทียบฟุตบาท เขายิ้มตาหยี ใบหน้าของเขาฉายความสุขที่ไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงนอนบนรถของเขา และยังเป็นผู้หญิงที่เขาชอบ
“พวกเราถึงไหนแล้วคะ” เหลิ่งรั่วปิงมองดูผ้าห่มบนตัว เธอรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย
“เมืองเฟิ่ง” ไซ่ตี้จวิ้นยิ้มแล้วเชยคางขึ้น เพื่อบอกให้เหลิ่งรั่วปิงมองไปด้านหน้า
ด้านหน้า มีป้ายขนาดใหญ่ตั้งเอาไว้ พร้อมกับตัวหนังสือ:เมืองเฟิ่งขับตรงไป
เมืองเฟิ่งเป็นเมืองที่เจริญรองจากเมืองหลง ในเมืองนี้เต็มไปด้วยตึกราบ้านช่องสูงใหญ่ และเต็มไปด้วยรถที่สัญจรไปมา
เหลิ่งรั่วปิงนึกขึ้นได้กะทันหัน เธอก้มหน้าลงมองไอแพดที่อยู่ในมือของตนเอง หน้าจอขึ้นแจ้งเตือนว่านกพิราบสื่อสารของไซ่ตี้จวิ้นไปถึงจุดหมายแล้ว
เหลิ่งรั่วปิงอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ “นกพิราบสื่อสารตัวเล็กๆ ไปถึงก่อนพวกเราอีกหรอคะ”
ไซ่ตี้จวิ้นหัวเราะเสียงเบา เขามองดูเหลิ่งรั่วปิงด้วยความรักใคร่ “นกพิราบสื่อสารของผมใช้เวลาในการบินประมาณ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมืองหลงและเมืองเฟิ่งอยู่ห่างกันสี่ร้อยกิโลเมตร ดังนั้นนกจึงต้องใช้เวลาในการบินประมาณสี่ชั่วโมงครึ่ง แต่ว่าพวกเราใช้เวลาในการขับรถมาที่นี่ห้าชั่วโมง นกจึงไปถึงจุดหมายก่อนพวกเราครับ”
ดวงตากลมโตของเหลิ่งรั่วปิงยังเคล้าไปด้วยความงัวเงีย “คุณบอกว่าพวกเราขับรถแค่สี่ชั่วโมงก็ถึงเมืองเฟิ่งแล้วไม่ใช่หรอคะ”
“ที่จริงก็เป็นแบบนั้นครับ แต่ว่าผมขับรถช้าลง”
“ทำไมคะ” เหลิ่งรั่วปิงมองดูด้านหน้าและด้านหลัง รถของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ได้หายไปหมดแล้ว
ไซ่ตี้จวิ้นไม่ได้พูดอะไร เขามองมาที่เหลิ่งรั่วปิงแล้วคลายยิ้มอย่างมีเลศนัย
เหลิ่งรั่วปิงเงียบ เพราะว่าเธอเผลอนอนหลับไป เขาจึงเป็นห่วงความรู้สึกของเธอ
“ขอโทษนะคะ ทำให้คุณเสียเวลาไปด้วย”
“แล้วคุณจะชดใช้ให้ผมยังไงดีครับ” ไซ่ตี้จวิ้นจับต้องมาที่ใบหน้าของเหลิ่งรั่วปิง คล้ายกับว่ากำลังมองดูของล้ำค่า
ตอนนี้เหลิ่งรั่วปิงสามารถมั่นใจได้แล้วว่า ไซ่ตี้จวิ้นเป็นผู้ชายที่มีความเป็นสุภาพบุรุษมาก เขาเป็นผู้ชายอบอุ่นที่มีอารมณ์ขัน สายตาของเขาเปล่งประกาย และไร้ซึ่งความดูถูก ด้วยเหตุนี้เธอจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
“คุณไซ่คงจะไม่ให้ฉันเอาตัวเข้าแลกใช่ไหมคะ”
“แล้วถ้าผมบอกว่าใช่ คุณจะเอาตัวเข้าแลกไหมครับ”
“ไม่ค่ะ”
“เสียใจจัง!” ไซ่ตี้จวิ้นแกล้งทำเป็นเสียใจแล้วถอนหายใจยาวๆ “งั้นกินข้าวกับผมสักมื้อได้ไหมครับ”
“ฮ่าๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะออกมา
เมื่อเห็นผู้หญิงหน้าตาดีอย่างเธอยิ้ม ไซ่ตี้จวิ้นก็อารมณ์ดีมากกว่าเดิม เขาขับรถออกไปทันที “คุณอยากกินอะไรครับ”
“มาถึงเมืองเฟิ่ง ก็ต้องกินไก่สิคะ” อาหารชื่อดังของเมืองหลงคือเนื้อปลา และในทางเดียวกันอาหารชื่อดังของเมืองเฟิ่งก็คือเนื้อไก่
“ครับ ผมจะพาคุณไปกินมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยเนื้อไก่”
…..
เวินอี๋ส่งมอบงานให้กับแคชเชียร์กะกลางคืน จากนั้นหยิบกระเป๋าเดินไปชั้นล่าง เตรียมที่จะนั่งรถเมล์กลับบ้าน
ตอนที่เธอเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าเสิ้งหวาก็มีรถออฟโรดมาขวางทางเธอไว้ เขาเลื่อนกระจกรถลงมา เผยให้เห็นใบหน้าโกรธเคืองของมู่เฉิงซี “ขึ้นรถ!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง ไม่ได้ถามความคิดเห็นของเธอแม้แต่น้อย
เวินอี๋นึกถึงสิ่งที่เหลิ่งรั่วปิงบอกกับเธอเมื่อตอนเที่ยงที่ผ่านมา เธอลังเลเล็กน้อย “ดาบตำรวจมู่ มีธุระอะไรรึเปล่าคะ”
มู่เฉิงซีรับรู้ได้ถึงการตีตัวออกห่างของเวินอี๋ ภายในใจของเขารู้สึกหงุดหงิด ด้วยเหตุนี้น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ขึ้นรถก่อนค่อยว่ากัน”
“คุณมีธุระอะไรก็พูดตรงนี้เถอะค่ะ” ถึงแม้เวินอี๋จะรู้สึกกลัว แต่เธอก็ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง
มู่เฉิงซีโมโหจนต่อยพวงมาลัยรถอย่างแรง เขาเปิดประตูรถเดินลงมา จากนั้นพาตัวเวินอี๋ขึ้นไปบนรถแล้วล็อคประตู จากนั้นตัวเขาก็เดินอ้อมไปที่ฝั่งคนขับ
เวินอี๋กลัวมาก “ดาบ…ดาบตำรวจมู่ คุณจะทำอะไรของคุณกันแน่”
มู่เฉิงซีทำหน้าเคร่งเครียด ไม่ยอมพูดอะไร เขาเหยียบคันเร่งแล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว เวินอี๋รีบรัดเข็มขับนิรภัยเอาไว้ด้วยความตกใจ
ตลอดทางที่ขับรถไปนั้นมู่เฉิงซีนิ่งเงียบ จนกระทั่งรถขับมาถึงวิลล่าของเขา
เวินอี๋มองดูสถานที่แปลกตา แล้วถามขึ้น “ดาบตำรวจมู่ ที่นี่ที่ไหนคะ”
“บ้านของผม” สีหน้าของมู่เฉิงซียังคงเย็นชา
“บ้าน…บ้านของคุณ? พาฉันมาบ้านของคุณทำไมคะ” เวินอี๋จับประตูรถยนต์เอาไว้ด้วยความกลัว พร้อมกับดันตัวไปด้านหลัง เพื่อที่จะอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุด เธอกลัวว่ามู่เฉิงซีจะทำอะไรกับตนเอง
มองดูท่าทีของเธอ มู่เฉิงซีโมโหจนอยากจะดึงตัวเธอมาตีสักครั้ง ถ้าเขาคิดอยากจะทำอะไรเธอจริงๆ เขาจะรอจนถึงวันนี้?
“ลงจากรถ!” มู่เฉิงซีออกคำสั่งเสียงดัง
เวินอี๋ไม่ขยับ เธอยังคงจับประตูรถแน่นแล้วมองไปที่เขา
มู่เฉิงซีโมโหมาก เขาลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปอีกทาง จากนั้นเปิดประตูรถแล้วกระชากตัวเวินอี๋ลงมา โดยไม่สนใจเสียงตะโกนของเธอ เขาลากเธอเข้าไปในวิลล่า
เมื่อเข้าไปด้านในเวินอี๋ก็รีบวิ่งไปหลบอยู่หลังโซฟา พร้อมกับถามเสียงดัง “คุณคิดจะทำอะไรของคุณ”
มู่เฉิงซีกัดฟันกรอด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ทำไมจู่ๆ คุณถึงเย็นชากับผม”
ตอนแรกเขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะจีบเธอติดแล้ว แต่อยู่ดีๆ เธอกลับเปลี่ยนไป คิดอยากจะไม่สนใจเขาก็ไม่สนใจ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยรักษาความปลอดภัยของประชาชน ทำหน้าที่จับโจรผู้ร้าย แต่เขาไม่รู้วิธีการจีบผู้หญิง เธอทำให้เขารู้สึกเครียดมากจริงๆ
ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง เวินอี๋โล่งใจ เธอเบะปากแล้วพูดขึ้น “คุณชอบฉันใช่ไหมคะ”
“แล้วคุณคิดว่าผมรู้สึกยังไง” สายตาที่มู่เฉิงซีมองมานั้นเหมือนมองดูคนซื่อบื้อ “ถ้าผมไม่ชอบคุณแล้วผมจะทำเพื่อคุณมากมายขนาดนี้ทำไม”
“แต่ว่าฉันไม่อยากเป็นเมียเก็บของคุณ!” เวินอี๋อารมณ์ร้อนเล็กน้อย
มู่เฉิงซีเครียดจนกรอกตามองบน “ใครเป็นคนบอกว่าจะให้คุณมาเป็นเมียเก็บของผม”
“คนอย่างคุณไม่มีวันแต่งงานกับฉันหรอกค่ะ สิ่งที่คุณต้องการก็มีแค่ร่างกายของฉันเท่านั้น คุณอยากจะเลี้ยงดูฉันเอาไว้ข้างนอก แต่ฉันไม่ต้องการชีวิตแบบนั้น!”
“ใครเป็นคนบอกคุณ เหลิ่งรั่วปิง?”
“…” เวินอี๋เงียบ
“หลังจากนี้อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นอีก!”
“ทำไมคะ”
“เธอเป็นตัวอันตราย คดีที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่เสิ้งหวา ผมสงสัยว่าเป็นฝีมือของเหลิ่งรั่วปิง!”
เวินอี๋ตกใจจนใบหน้าซีดขาว หัวใจของเธอเต้นแรง เธอเม้มปากแน่นแล้วมองดูมู่เฉิงซี ตอนนี้เวินอี๋รู้สึกกลัวขึ้นมา เธอกลัวว่ามู่เฉิงซีจะสืบจนรู้ว่าเป็นฝีมือของเหลิ่งรั่วปิง และจะจับตัวเหลิ่งรั่วปิง
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รีบพูดขึ้น “ดาบตำรวจมู่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวของกับพี่รั่วปิง ทั้งหมดเป็นเพราะฉัน”
มู่เฉิงซีเลิกคิ้วขึ้น มองดูเวินอี๋แล้วรู้สึกตลก “คุณต้องการจะบอกผมว่า คุณเป็นคนทำโคมไฟคริสตัลตกลงมา?”
“เปล่าค่ะ…ไม่ใช่แบบนั้น ฉันเป็นคนขอร้องพี่รั่วปิงให้ช่วยสั่งสอนลั่วซูเยียง คุณเองก็รู้หนิคะ ตอนที่ฉันยังเด็กฉันตามพ่อไปทำงานที่บ้านตระกูลเจียง ตอนนั้นลั่วซูเยียงเอาแต่รังแกฉัน ฉันรู้สึกแค้นใจมาโดยตลอดก็เลยขอร้องให้พี่รั่วปิงช่วยสั่งสอนผู้หญิงคนนั้นให้ฉัน ฉันต่างหากค่ะที่เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ถ้าคุณคิดอยากจะจับตัวคนร้ายก็จับฉันไปเถอะค่ะ!” ขณะที่พูด เวินอี๋ก็ยื่นมือทั้งสองข้างไปตรงหน้ามู่เฉิงซี เพื่อบอกให้เขาจับตัวเธอ
มู่เฉิงซีมองดูใบหน้าเล็กๆ ของเธอครู่หนึ่ง เขาอยากจะหัวเราะออกมา แต่ก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ เขาพูดขึ้นเสียงเหี้ยม “คุณไม่ได้เป็นคนทำโคมไฟตกลงมา ทำไมผมต้องจับคุณด้วย คนที่ผมต้องจับคือเหลิ่งรั่วปิง”
“ไม่ค่ะ คุณจับฉันเถอะ ฉันเป็นคนบงการทุกอย่าง”
มู่เฉิงซีลูบจมูกของตนเอง “เรื่องนี้เหลิ่งรั่วปิงต้องรับผิดชอบ ผมต้องจับตัวเธอ แต่ว่าถ้าคุณรับปากกับผมเรื่องหนึ่ง ผมยอมปล่อยเธอไปก็ได้”
“อะไรคะ” เวินอี๋เงยหน้าขึ้นมองมู่เฉิงซีด้วยความใสซื่อ เพื่อเหลิ่งรั่วปิงแล้วเธอยอมทำทุกอย่าง
นัยน์ตาสีนิลของมู่เฉิงซีมีเลศนัย “เป็นแฟนของผม”
“…” เวินอี๋มองหน้ามู่เฉิงซีด้วยสีหน้าลำบากใจ สมองของเธอเอาแต่คิดถึงคำพูดที่เหลิ่งรั่วปิงบอกกับเธอ
“ถ้าคุณไม่ยอม ผมจะไปจับตัวเธอตอนนี้” ขณะที่พูด มู่เฉิงซีก็ทำท่าจะเดินออกไป
“อย่านะคะๆ” เวินอี๋รีบคว้าจับมือของมู่เฉิงซีเอาไว้ “ฉัน…ฉันรับปากค่ะ” สุดท้าย เธอก็พูดออกไปด้วยเสียงที่เบาจนตัวเธอเองแทบจะไม่ได้ยิน
“คุณพูดว่าอะไรนะ ผมไม่ได้ยิน” มู่เฉิงซีกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ฉัน…ฉันยอมเป็น…แฟนคุณค่ะ”