ตอนที่ 71 คุณชายเยี่ยโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ

เดิมพันเสน่หา

มู่เฉิงซียิ้มเหมือนดอกไม้ผลิบานในฤดูใบหน้าผลิ แล้วดึงเวินอี๋ไปอยู่ในอ้อมกอด จากนั้นก็ตบแผ่นหลังเธอเบาๆ “พอเถอะ อย่ากังวลไปเลย ผมไม่มีทางให้คุณเป็นแค่เมียเก็บแน่นอน ผมจริงจังกับคุณมาก”

 

 

จากสายตาของเธอ เขาสามารถมองออกว่าเธอก็ชอบเขา

 

 

หัวใจของเวินอี๋เต้นเหมือนกวางน้อยที่กระโดดไปเรื่อยเปื่อย ทว่าก็ดูอ่อนหวานกว่าปกติ ยังไม่ทันรอให้เธอตอบสนอง ริมฝีปากที่รุ่มร้อนนั้นก็ประกบแนบชิดกับริมฝีปากบาง

 

 

เธอที่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนมาก่อน และเขาก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมาก่อน นี่เป็นจูบแรกของเธอ และเป็นจูบแรกของเขา เหมือนดั่งไฟฟ้าและหินเหล็กไฟ ทำให้หัวใจทั้งสองดวงเกิดความลุ่มหลง

 

 

…..

 

 

“ฮ่าๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงและไซ่ตี้จวิ้นนั่งอยู่ในร้านอาหารที่หรูหราที่สุดในเมืองเฟิ่ง โต๊ะอาหารตรงหน้ามีไก่ตุ๋นน้ำแดง ซุปไก่ต้ม ไก่อบขิงและเมนูไก่ต่างๆ อีกมากมายวางเรียงรายเอาไว้ เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะตัวโก่ง แก้มของเธอแดงระเรื่อเหมือนดอกท้อที่กำลังผลิบานเตรียมรับลม

 

 

มีผู้หญิงสวยๆ นั่งอยู่ด้วย ทำให้ไซ่ตี้จวิ้นยิ่งรู้สึกมีความสุขและเบิกบาน เขาหัวเราะเหมือนลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิ

 

 

“คุณไซ่ คุณคิดว่าเราสามารถกินไก่ได้มากขนาดนี้เลยหรอคะ” เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกตลกมาก ผู้ชายคนนี้บอกว่าเป็นงานเลี้ยงกินไก่ แล้วยังสั่งเมนูไก่เต็มโต๊ะ

 

 

“คุณบอกว่าจะกินไก่ ผมก็ต้องสั่งเมนูไก่ที่เป็นซิกเนเจอร์ทั้งหมดของเมืองเฟิ่งสิ” ไซ่ตี้จวิ้นคีบไก่ตุ๋นน้ำแดงวางลงบนจานของเหลิ่งรั่วปิง “กินเถอะ”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงก็ไม่ได้เกรงใจอีกต่อไป เธอก้มหน้าชิมไก่ไปหนึ่งคำใหญ่ๆ เหลิ่งรั่วปิงกินโดยไม่เหลือภาพลักษณ์ความเป็นกุลสตรี ทำให้เธอกินอาหารได้อย่างเต็มรสชาติ เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ คนสวยทำอะไรก็ดูดีไปหมด

 

 

ทว่าไซ่ตี้จวิ้นกลับไม่ได้กินอะไรมาก เวลาส่วนมากของเขาคือการนั่งดูเธอกินอย่างเดียว เหมือนแค่นั่งมองเหลิ่งรั่วปิงก็ทำให้อิ่มได้ เธอสวยจนเขาอยากจะกลืนกินจริงๆ!

 

 

เขาไม่ได้โกหก เขาเจอเหลิ่งรั่วปิงครั้งแรกที่โรงแรมวั่นเหา วันนั้นเป็นวันแรกที่เหลิ่งรั่วปิงกลับมาเมืองหลง เขาเพิ่งเดินออกจากลิฟต์ ก็สังเกตเห็นเธอเข้าไปในลิฟต์อีกด้าน ถึงแม้จะเห็นแค่หน้าด้านข้างของเธอ แต่มันกลับทำให้เขาจดจำเอาไว้ในใจ เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่เหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้า และบริสุทธิ์เหมือนนางฟ้า และในเวลาเดียวกันเธอก็ทำให้รู้สึกถึงความหยิ่งทะนง โดยเฉพาะนัยน์ตาคู่นั้นของเธอ มันเหมือนมองไปที่ใครก็สามารถฉุดกระชากวิญญาณคนคนนั้นออกมา และมองเพียงชั่วพริบตาก็ถึงกับลืมไม่ลง

 

 

ถ้าวันนั้นไม่ใช่เพราะเขามีธุระแล้วรีบกลับประเทศเอ้าตู เขาต้องเดินตามเธอและเสนอหน้าคุยกับเธอไปแล้ว

 

 

เขายืนอยู่ตรงห้องโถงชั้นแรกของโรงแรมแล้วมองเธอขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสิบสาม จึงได้สั่งให้เลขาไปสืบประวัติของเธอ ผ่านไปไม่กี่วัน หลังจากที่เขาจัดการกับธุระเสร็จ เขาก็กลับมาที่โรงแรมวั่นเหาเพื่อตามหาเธอ ทว่าในตอนนั้นหนานกงเยี่ยได้รับเธอไปอยู่ในวิลล่าหย่าเก๋อแล้ว เขารู้สึกเสียดายที่วันนั้นตนเองไม่ได้ตามเธอไป สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ยอมแพ้ เพราะว่าเขาไม่มีความสามารถไปแย่งชิงผู้หญิงคนนี้กับหนานกงเยี่ย

 

 

ถึงแม้เขาจะไม่ได้เจอเธอเหมือนอย่างที่คาดหวัง ทว่าก็ได้ติดตามเธออยู่ตลอดเวลา ตอนที่รู้ว่าเธอย้ายออกจากวิลล่าหย่าเก๋อ ก็รีบกลับจากประเทศเอ้าตูเพื่อที่จะมาหาเธอ

 

 

ดั่งที่คาด เธอไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง เธอไม่เพียงมีแค่เปลือกนอกที่น่าหลงใหล ทั้งท่าทาง นิสัย ความสามารถ ทุกอย่างก็ทำให้เขาชื่นชมและชื่นชอบ การที่เก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ ทำให้รู้สึกดีมาก

 

 

ตอนที่กินจนใกล้จะอิ่ม เหลิ่งรั่วปิงกินไม่ลงอีกต่อไป ดังนั้นก็วางตะเกียบลง “คุณไซ่ คุณคงไม่คิดว่าจะให้เนื้อไก่เต็มท้องฉันใช่ไหม”

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นหัวเราะเสียงต่ำ “กินจนเลี่ยนแล้วหรอ”

 

 

“คุณคิดว่ายังไงละคะ”

 

 

“ไป งั้นเราไปเปลี่ยนเสื้อกัน ผมจะพาคุณไปกินของอร่อยๆ ที่งานเลี้ยง”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงก็ไม่ได้ปฏิเสธ ในเมื่อเธอตามเขามาถึงเมืองเฟิ่ง ทุกคนก็รู้ว่าเธอเป็นคู่ควงออกงานของเขา ไปร่วมงานเลี้ยงก็คงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร

 

 

ดังนั้น ภายใต้สิ่งที่ไซ่ตี้จวิ้นมอบหมาย เหลิ่งรั่วปิงจึงไปเปลี่ยนเป็นชุดออกงาน แล้วแต่งหน้าอ่อนๆ จากนั้นก็ไปร่วมงานเลี้ยงกับเขา

 

 

ชุดและเครื่องประดับของเธอไซ่ตี้จวิ้นเป็นคนเลือกเอง ชุดกระโปรงยาวลากพื้นสีม่วงปาดไหล่ เข้าชุดกับส้นสูงส้นแหลมสีขาว ผมยาวสลวยของเธอถูกรวบขึ้นสูงๆ และยังติดกิ๊บดอกไม้ ไหปลาร้าที่ดูสง่านั้นโชว์ออกมาให้เห็น เธอเหมือนผีเสื้อที่กางปีก สร้อยหยกขาวที่มูลค่ามหาศาลเส้นนั้น ทำให้เธอดูโดดเด่นน่าดึงดูดมากกว่าเดิม

 

 

เธอมีหน้าตาที่สวยมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้แต่งตัวแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้ความสวยนั้นโดดเด่นขึ้นมา เธอสวยจนคนมองแทบจะหยุดหายใจ ตอนที่เธอเดินออกจากห้องแต่งตัว ไซ่ตี้จวิ้นจ้องมองมาที่เธอนานพอสมควร

 

 

เหลิ่งรั่วปิงพูดตรงไปตรงมา “คุณไซ่คะ คุณคิดจะจ้องฉันแบบนี้อีกนานแค่ไหนคะ”

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นกระตุกคิ้วขึ้นด้วยความเขินอาย “ถ้าคุณไม่คัดค้าน ผมจะมองคุณไปตลอดชีวิต”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงก้มหน้าหัวเราะ แล้วไม่ได้ตอบกลับอะไร เซนส์ของเธอสามารถรับรู้ได้ถึงความจริงใจของเขา ทว่าเธอไม่มีทางหวั่นไหวกับผู้ชายคนไหน แน่นอนว่าต้องไม่หวั่นไหวกับเขาด้วย เธอจะอยู่ที่นี่ในระยะเวลาสั้นๆ แล้วไปจากที่นี่ เธออยากกลายเป็นคนใหม่แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วอาจจะแต่งงานกับผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นพาเหลิ่งรั่วปิงเข้างาน พวกเขาทั้งสองคนดึงดูดสายตาของคนทั้งหมดในงาน พวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมและโดดเด่นจริงๆ เหมือนมีออร่ารูปวงแหวนคอยส่องพวกเขาไว้ เป็นออร่าที่โดดเด่นในงานเลี้ยงคืนนี้

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นออกงานในชุดสูทสีดำที่ตัดด้วยช่างยอดฝีมือ เขาดูหล่อเหลาและสูงใหญ่อย่างชัดเจน ทำให้ดูสง่าผ่าเผย เขาโอบเอวของเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ตลอดเวลา และก็อยู่ข้างเธอไม่ไปไหน เหมือนกำลังประกาศสิทธิ์และอำนาจในการครอบครองเธอ

 

 

เหลิ่งรั่วปิงไม่ชอบในการเข้าสังคมอยู่แล้ว และยิ่งไม่ชอบพวกสังคมคนชั้นสูงที่เต็มไปด้วยกลุ่มคนที่มีแต่ความจอมปลอมให้กัน ดังนั้นเธอมาที่นี่เพียงเพราะต้องการกินอาหารที่เอร็ดอร่อยเท่านั้น

 

 

ไซ่ตี้จวิ้นก็ไม่ค่อยชอบคบหากับใคร เขาคอยเดินตามเหลิ่งรั่วปิงด้วยความหลงใหล แล้วคอยมองเธอกินอาหาร ทั้งยังช่วยเธอถือจานอีกแล้ว

 

 

ผู้หญิงที่อยู่ในงาน ส่วนมากก็คือของเล่นของคนรวย ไม่มีใครเหมือนเหลิ่งรั่วปิงที่ถูกฝ่ายชายเคารพและเอ็นดูขนาดนี้ ดังนั้นเธอจึงกลายเป็นผู้หญิงที่พิเศษที่สุดในงาน และทำให้ผู้หญิงทั้งหมดในงานรู้สึกอิจฉาริษยา

 

 

และหนึ่งในกลุ่มคนที่รู้สึกอิจฉาริษยาเธอ คือคนที่เหลิ่งรั่วปิงรู้จัก นั่นก็คือลู่หวาหนง

 

 

หลังจากที่ลู่หวาหนงถูกหนานกงเยี่ยขึ้นบัญชีดำ สัญญาการถ่ายละครทั้งหมดก็ถูกยกเลิกไปหมด ความโด่งดังของเธอจึงหายไปมาก บริษัทก็ไม่ได้ป้อนงานอะไรให้เธออีก พอเธอไม่มีชื่อเสียง ก็เหมือนถูกกระชากจิตวิญญาณของเธอไป ฉะนั้นเธอต้องเลือกหนทางนี้ เธอต้องยอมเป็นคู่ควงของพวกคนมีฐานะ ถึงแม้เธอจะเคยเป็นดาราระดับต้นๆ และมีหน้าตาที่สะสวยมาก ทว่าคนในสังคมผู้ดีต่างก็รู้ แต่ก่อนเธอเป็นยังไง ส่วนมากก็ไม่มีใครยอมคบหากับผู้หญิงอย่างเธอหรอก สุดท้าย เธอไม่มีทางเลือกจึงต้องเลือกคบผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่ง

 

 

ตอนที่ทำการแข่งขันปล่อยนกพิราบสื่อสารที่เมืองหลง เธอก็เห็นเหลิ่งรั่วปิงแล้ว เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เหลิ่งรั่วปิงถึงไปอยู่กับไซ่ตี้จวิ้นได้ เท่าที่เธอรู้ วันนี้ไซ่ตี้จวิ้นเพิ่งจะกลับเมืองหลง พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันเร็วขนาดนี้ จึงสื่อให้เห็นว่าเหลิ่งรั่วปิงแอบเป็นกิ๊กกับเขาก่อนที่จะเลิกกับหนานกงเยี่ยด้วยซ้ำ

 

 

พอนึกขึ้นได้แบบนี้ ริมฝีปากของเธอกระตุกยิ้มอันเลือดเย็นแต่สวยงาม ตั้งแต่เหลิ่งรั่วปิงปรากฎตัว เธอก็แอบถ่ายภาพเหลิ่งรั่วปิงกับไซ่ตี้จวิ้นในท่าทางที่พวกเขาดูสนิทสนมกันตลอด เธออยากจะใช้รูปพวกนี้ เพื่อเหยียบเหลิ่งรั่วปิงให้จมดินจนไม่สามารถลุกขึ้นมายืนได้อีก

 

 

เวลานี้ พอเห็นเหลิ่งรั่วปิงถูกไซ่ตี้จวิ้นดูแลอย่างใกล้ชิด ไฟแห่งความอิจฉาริษยาในใจเหมือนเตาอบ ที่จะอบเธอจนกลายเป็นผงขี้เถ้า เธอจะแก้แค้น! เหลิ่งรั่วปิงมีสิทธิ์อะไรได้ครอบครองผู้ชายที่สมบูรณ์ขนาดนั้น ทว่าลู่หวาหนงกลับต้องขมขื่นอยู่กับเฒ่าหัวงูคนหนึ่ง

 

 

ดังนั้นเธอจึงโกหกว่าจะไปห้องน้ำ เพื่อที่จะหลุดพ้นสายตาของเฒ่าหัวงูที่เป็นคนคอยเลี้ยงดูเธอ เธอแอบออกจากห้องโถงของงานเลี้ยง และไปหลบอยู่ในห้องน้ำ จากนั้นก็ส่งรูปทั้งหมดที่ถ่ายให้กับก่วนอวี้ เธออยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าหนานกงเยี่ยรู้ว่าตัวเองถูกสวมเขา เขาจะทรมานเหลิ่งรั่วปิงยังไง

 

 

ก่วนอวี้ในตอนนี้กำลังทำโอทีกับหนานกงเยี่ยที่บริษัท อารมณ์ของหนานกงเยี่ยก็ย่ำแย่มากอยู่แล้ว นี่เป็นคืนวันเสาร์ ทว่าเขาจำเป็นต้องทำโอที ภายในหนึ่งชั่วโมง เขาทำลายสัญญาไปสามฉบับ บรรยากาศในออฟฟิศเต็มไปด้วยความกดดันจนแทบจะทำให้โต๊ะและเก้าอี้แตกเป็นชิ้นๆ

 

 

ออฟฟิศเงียบจนน่ากลัว นอกจากเสียงพลิกเอกสารของหนานกงเยี่ยแล้ว ก็มีแต่เสียงหายใจเท่านั้น

 

 

ก่วนอวี้คอยรับคำสั่งจากเขาด้วยความระมัดระวังอยู่ข้างๆ พอเห็นหนานกงเยี่ยพลิกอ่านเอกสารเป็นกองอย่างเคร่งเครียด รู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังจะหลุดออกมา เขากลัวมากว่าหนานกงเยี่ยจะโมโหแล้วฉีกสัญญาทิ้งอีกหนึ่งฉบับ ถ้าทำแบบนั้นก็คงจะทำให้บริษัทเสียหายไปมากกว่าเดิม

 

 

เขารู้สึกตื่นเต้นและถอนหายใจในเวลาเดียวกัน สีหน้าที่ดูไม่ปกติของหนานกงเยี่ย สาเหตุก็เกิดจากเหลิ่งรั่วปิงทั้งหมด หลังจากที่เลิกกัน เขาก็ไม่เคยเป็นปกติเลย และมักจะอารมณ์ร้ายแล้วด่าคนอื่น ตอนที่ไม่อารมณ์ร้ายก็มักจะทำสีหน้าที่มัวหมองจนเหมือนท้องฟ้าที่เทด้วยหมึกดำ ในเมื่อไม่อยากจะปล่อยเธอไป แล้วตอนแรกทำไมถึงต้องทิ้งผู้หญิงคนนั้นด้วยล่ะ

 

 

ทว่าคำๆ นี้ก่วนอวี้กล้าบ่นพึมพำในใจเท่านั้น เขาไม่กล้าพูดออกมา ตามด้วยนิสัยที่หยิ่งทะนงของหนานกงเยี่ย เขาไม่มีทางยอมรับว่าเขาชอบเหลิ่งรั่วปิง ถ้าเขาพูดออกมา หนานกงเยี่ยต้องฆ่าเขาให้ตายแน่ๆ

 

 

ขณะที่เขากำลังรู้สึกเป็นกังวล มือถือของก่วนอวี้ก็ดังขึ้น เป็นเสียงแจ้งเตือนของข้อความ ถึงแม้เสียงจะไม่ดัง ทว่าพอมันดังขึ้นภายในออฟฟิศที่เงียบสงบก็สามารถทำลายบรรยากาศที่เงียบงันได้

 

 

หนานกงเยี่ยชะงักไป แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาที่ทั้งคมเฉี่ยวและทั้งเลือดเย็นกำลังเหลือบมองก่วนอวี้ มองจนก่วนอวี้รู้สึกเสียวสันหลัง

 

 

ก่วนอวี้รู้สึกกลัวจนตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ ให้ตายเถอะ ใครส่งข้อความมาหาเขาในเวลานี้ อยากให้เขาตายหรือไง

 

 

หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วขึ้น น้ำเสียงเย็นชาเหมือนน้ำแข็งที่แช่ในช่องฟรีซ “นายเอ๋อไปแล้วหรือไง มือถือดังขึ้นยังไม่รับสายอีก?”

 

 

“ออ…” ก่วนอวี้ที่กำลังตัวแข็งทื่อก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา “เป็น…เป็นข้อความครับ”

 

 

หนานกงเยี่ยกลอกตามองบนใส่ก่วนอวี้ แล้วก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ

 

 

ก่วนอวี้เช็ดเหงื่อไปหนึ่งที จากนั้นก็ก้มหน้าดูมือถือ หลังจากที่ดูจบ ก็เหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวัน ไม่ว่ายังไงเขาก็คิดไม่ถึง เหลิ่งรั่วปิงมีคนใหม่แล้ว! นี่ถ้าให้หนานกงเยี่ยรู้ ฟ้าคงถล่มและพังทลายแน่นอน

 

 

เรื่องนี้ จะบอกให้หนานกงเยี่ยดี หรือไม่บอกดี?

 

 

ถ้าบอก วันนี้พวกเขาสองคนก็เลิกกันแล้ว แล้วถ้าพูดถึงเหลิ่งรั่วปิงก็เหมือนจะไม่เหมาะสม หนานกงเยี่ยไม่เคยยอมให้ใครเอ่ยถึงผู้หญิงที่เขาเลิกไปแล้ว

 

 

ทว่าถ้าไม่บอก เหลิ่งรั่วปิงก็เหมือนจะเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนคนอื่น ถ้าหนานกงเยี่ยรู้ว่าเขารู้เรื่องทุกอย่าง แต่กลับไม่บอก หนานกงเยี่ยจะเอาชีวิตของเขาไปหรือไม่

 

 

ก่วนอวี้จับมือถือไว้แน่นๆ มือของเขาสั่นเทาไม่หยุด

 

 

หนานกงเยี่ยรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มไม่ปกติ ดังนั้นจึงเงยหน้ามองก่วนอวี้ จากนั้นก็โยนเอกสารในมือออกอย่างไม่พอใจ “สั่นอะไรของนาย”

 

 

“อ่อ…ไม่…ไม่มีอะไรครับ ผมรู้สึก…หนาวนิดหน่อยครับ!” ก่วนอวี้ยังไม่กล้าบอกเรื่องของเหลิ่งรั้วปิงออกมาในตอนนี้

 

 

หนานกงเยี่ยนั่งเอนหลังลงตรงเก้าอี้ แล้วใช้สายตาเย็นชาจ้องมองก่วนอวี้อย่างสงสัย “ไร้ประโยชน์!”

 

 

ก่วนอวี้ฝึกวิชาการต่อสู้กับเขาแต่เด็ก ตอนอยู่ในออฟฟิศของเขา เปิดฮีตเตอร์ขนาดนั้น เขากลับยังรู้สึกหนาว แล้วยังตัวสั่นขนาดนั้น ไร้ประโยชน์!

 

 

ก่วนอวี้ถูกเข้าใจผิด ทว่าก็ไม่กลับพูดมาก แค่ยอมรับอย่างนิ่งเฉย เขากำลังคิดอยากจะเกลี้ยกล่อมหนานกงเยี่ยให้รีบไปพักผ่อน ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยพูด เสียงมือถือก็ดังขึ้น คนที่โทรมาต้องเป็นลู่หวาหนงแน่นอน

 

 

ก่วนอวี้คิ้วขมวด จู่ๆ ก็นึกถึงรูปที่ลู่หวาหนงส่งมาเมื่อกี้นี้ ดังนั้นเขาจึงเหลือบตามองหนานกงเยี่ยแวบหนึ่ง แล้วรีบวิ่งออกจากออฟฟิศไปรับสาย

 

 

“เลขาก่วน ช่วงนี้สบายดีไหมคะ” เสียงของลู่หวาหนงหวานอ่อนโยน เธอหัวเราะอย่างแผ่วเบา

 

 

ก่วนอวี้ขมวดคิ้วขึ้นอย่างทนไม่ไหว “ลู่หวาหนง คุณคิดจะทำอะไรกันแน่”

 

 

“ไม่ได้ทำอะไร ฉันแค่หวังดีแล้วอยากจะเตือนคุณชายเยี่ย ผู้หญิงของเขากำลังสวมเขาให้เขา”

 

 

“คุณเหลิ่งและคุณชายเยี่ยเลิกกันแล้ว จะเป็นการสวมเขาได้ยังไง คุณอย่าหาเรื่องอะไรอีกเลย หุบปากตัวเองไว้ให้ดีก็พอ ไม่งั้นผมรับประกันว่าคุณจะได้หายไปจากเมืองหลงแน่นอน!”

 

 

พูดจบก่วนอวี้ก็วางสาย จังหวะที่หันหลังไป ก็เห็นหนานกงเยี่ยยืนอยู่ตรงประตูออฟฟิศ แล้วมองเขาด้วยความโมโห นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยความอาฆาต