ตอนที่ 113 พ่อลูกผูกใจกัน + ตอนที่ 114 เป็นอะไรที่น่าเกลียดมากนัก

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 113 พ่อลูกผูกใจกัน

อันหยางกำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขานั้นไม่มีร่องรอยของความเสียใจเลยสักนิด แม้ว่าน้องสาวจะร้องไห้อย่างเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม ช่างเหมือนกับจิ่งเป่ยเฉินไม่มีผิด

“หน่วนหน่วน เดี๋ยวแม่จ๋าบันทึกไว้ให้หนูทีหลังนะ พี่ชายของหนูเองก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก” อันโหรวนั่งยอง ๆ ก่อนจะอุ้มลูกสาวขึ้น ศีรษะน้อย ๆ ของอันหน่วนพิงไปที่ไหล่ของผู้เป็นแม่ พลางร้องไห้ขี้มูกโป่งอย่างสะอึกสะอื้น

อันโหรวพาอันหน่วนออกไป ก่อนจะพูดขึ้นว่า “แม่จ๋าเข้าใจหนูนะ ไม่เป็นไร”

“อือ” อันหยางพยักหน้า

เมื่อหลินจื่อเซี๋ยวเข้ามาในห้องก็ได้เห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี ตาของเธอเบิกกว้างขึ้น พลางรีบเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เธอรู้ว่าอันโหรวนั้นกลับมาเร็ว และรู้ด้วยว่าเธอออกไปกับจิ่งเป่ยเฉิน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อมาถึงบ้านจะได้เห็นเด็กน้อยร้องไห้หนักขนาดนี้

“เรื่องเล็กน้อย ไว้เดี๋ยวฉันจะเล่าให้เธอฟังทีหลังนะ ตอนนี้คงต้องฝากเธอทำกับข้าวต่อ” อันโหรวมองไปที่เพื่อนพลางเอ่ย ก่อนจะอุ้มอันหน่วนพร้อมกับตบหลังเล็กเบา ๆ และพาเข้าไปในห้องนอน

เมื่อวางเด็กน้อยลงบนเตียง เธอก็ลูบหัวเด็กน้อยและพูดว่า “โทรศัพท์ของแม่แบตหมด ฝากหน่วนหน่วนชาร์จให้หน่อยได้ไหมคะ?”

“ฮือ ฮือ ฮือ ได้ ได้ค่ะ!” อันหน่วนพยักหน้าพลางร้องไห้ไปด้วย ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับลูกตำลึง

อันโหรวหยิบทิชชูออกมาเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว เมื่อเธอหยุดร้องไห้จึงลุกขึ้นไปชาร์จโทรศัพท์ให้แม่ ก่อนจะกลับมานั่งลงบนเตียง

พ่อลูกผูกใจกันเหรอนี่?

เมื่อรู้ว่าเธอร้องไห้เพราะว่าเบอร์โทรของเขาหายไปแล้ว เห็นหน่วนหน่วนเป็นแบบนี้ หัวใจของคนเป็นแม่ก็รู้สึกเจ็บปวดและรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เธอไม่สมควรเห็นแก่ตัวและกีดกันความรักของพ่อลูกแบบนี้ ถ้าหากพวกเขาได้เป็นพ่อลูก และแม่ถูกกีดกัน มันก็คงจะกลายเป็นครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์

เมื่อเห็นแบบนี้ตัวเธอเองก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก หน่วนหน่วนแม้ว่าจะไม่เหมือนกับจิ่งเป่ยเฉิน แต่ถ้าเกิดว่าเธอยังคงติดจิ่งเป่ยเฉินอยู่แบบนี้ มีหวังได้กลายเป็นของจิ่งเป่ยเฉินอย่างแน่นอน

เธอจะทำยังไงดีเพื่อปกป้องพวกเขา ไม่ให้พวกเขาห่างจากเธอไป

“แม่จ๋า ถ้าหากแม่ไม่ชอบคุณลุงคนนั้น หน่วนหน่วนก็จะไม่คุยกับเขา ไม่สนใจเขาแล้ว” อันหน่วนก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อมองไปยังอันโหรว ภายในห้องเล็ก ๆ ตอนนี้เกิดบรรยากาศที่น่าอึดอัดขึ้น

เพราะเธอรู้ว่าแม่ของเธอต้องโกรธแน่ ๆ

“หน่วนหน่วน จริง ๆ เลยนะ” ยิ่งลูกสาวเข้าใจดีแบบนี้ อันโหรวยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น

หลังจากนี้ดูท่าคงต้องใส่ใจพวกเขาให้มากขึ้น ห่วงใยพวกเขามากอีกสักหน่อย เพราะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าพวกเขาที่อยู่ในหัวใจของเธออีกแล้ว

เมื่อมื้อค่ำมาถึง อันหน่วนเริ่มมีความสุขมากขึ้น หลินจื่อเซี๋ยวเองเห็นเช่นนี้ก็มีความสุขเช่นกัน เพียงแต่ว่าอันหยางยังคงเคร่งขรึมเช่นเดิม ไม่รู้เลยว่าเขามีความสุขหรือไม่มีความสุขกันแน่

เมื่อเด็กทั้งสองคนนอนหลับไปแล้ว อันโหรวก็ถูกหลินจื่อเซี๋ยวดึงตัวมาซักถามทันที “รีบพูดมาเร็ว เธอกับประธานจิ่งออกไปข้างนอกด้วยกันทำไม”

“เธอรู้ได้ยังไง?” ตอนที่เธอออกไปนั้นเป็นเวลางาน ทำไมหลินจื่อเซี๋ยวรู้?

“ทำไมฉันรู้เหรอ? ที่บริษัททุกคนต่างก็รู้กันหมดแล้ว!” หลินจื่อเซี๋ยวพาอันโหรวไปนั่งที่โซฟาด้วยท่าทางสนใจ ก่อนจะหยิบรีโมททีวีขึ้นมาทำท่าราวกับไมโครโฟนจ่อไปที่ปากเหมือนนักข่าว และยื่นไปหาอันโหรว “คุณอันโหรวคะ วันนี้ช่วงเวลาสี่โมงเย็น คุณกับคุณจิ่งเป่ยเฉินออกจากบริษัทไปทำอะไรที่ไหนเหรอคะ ช่วยพูดความจริงด้วยค่ะ”

“ดูท่าว่าพรุ่งนี้ฉันคงถูกจับตามองแล้วสินะเนี่ย?” จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสภาพที่อยู่ภายใต้แรงกดดันขึ้นมา

“ตอบให้ตรงประเด็นด้วยค่ะ!” หลินจื่อเซี๋ยวยังยื่นรีโมตทีวีจ่อไปที่ปากของเพื่อนรัก “รีบพูดเร็ว ฉันกังวลจะตายแล้วเนี่ย!”

“เขาคิดจะตามฉันไปหาเด็ก ๆ” อันโหรวตอบไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ยังไม่ทันพูดจบ ใบหน้าของหลินจื่อเซี๋ยวก็ซีดราวกับถูกฟ้าผ่าลงมา

“เขาเห็นหยางหยางแล้วเหรอ?” หลินจื่อเซี๋ยวกลืนน้ำลาย ถึงแม้ว่าจิ่งเป่ยเฉินจะไม่ได้ให้กำเนิดมา แต่หน้าตาก็ละม้ายคล้ายคลึง ไม่ว่าใครต่างก็ต้องสงสัยกันบ้าง

อันโหรวส่ายหน้า ก่อนจะพูดขึ้นว่า “แค่เกือบ…”

เมื่อเธอคิดถึงเรื่องที่น่าตกใจเมื่อตอนบ่ายอีกครั้ง ก็พลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“อันโหรวของฉัน เธอห้ามพูดโกหกนะ ตอบในครั้งเดียวนะ ได้ไหม?” หัวใจที่กระวนกระวายของเธอแทบจะกระโดดออกมา

อันโหรวบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้น รวมถึงเรื่องที่อันหยางลบเบอร์ของจิ่งเป่ยเฉินออกไปจากเครื่องของอันหน่วน แน่นอนเรื่องที่หยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงของเขานั้นไม่ได้ถูกพูดถึง

……………………………..

ตอนที่ 114 เป็นอะไรที่น่าเกลียดมากนัก

“เธอร้ายกาจมาก!” หลินจื่อเซี๋ยวยกนิ้วโป้งให้อันโหรว “แต่ว่าถังซั่วมาได้เวลาเหมาะสมพอดีเลยนะ!”

“นั่นสิ ดีหน่อยตรงที่รอดจากหายนะครั้งนี้ไปได้ ฉันกังวลว่าหลังจากนี้ถ้าเกิดจิ่งเป่ยเฉินไปหาพวกเขาโดยตรงเลยนี่จะเป็นยังไง?” พอคิดถึงคำถามข้อนี้ จิตใจเธอก็เริ่มเป็นกังวลมากขึ้น

น่าเสียดายที่คนของตระกูลอันต่างก็หาไม่พบ ไม่เช่นนั้นเธอก็คงขอให้พวกเขาช่วยดูแลเด็ก ๆ ไปแล้ว

หลินจื่อเซี๋ยวในฐานะที่เป็นเลขาของจิ่งเป่ยเฉิน ในเวลางานเธอก็ค่อนข้างยุ่งมากพออยู่แล้ว งานแทบทุกอย่างก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเธอ

“เรื่องนี้มันก็อาจจะเป็นไปได้จริง ๆ” เมื่อหลินจื่อเซี๋ยวพูดจบ บรรยากาศรอบ ๆ ก็ตกอยู่ในความเงียบงันไปชั่วครู่

“ไม่งั้นหลังจากนี้ก็ฝากถังซั่วดูแลไว้สิ ยังไงโรงเรียนอนุบาลก็เป็นของตระกูลเขา” หลินจื่อเซี๋ยวพูดโพล่งอย่างไม่คิด เพราะคิดว่านี่นับเป็นความคิดที่ดีไม่ใช่น้อย

“เธอบ้าไปแล้วเหรอ!” อันโหรวเหลือบมองไปที่เพื่อนของตน ก่อนจะพูดขึ้นว่า “จิ่งเป่ยเฉินกับถังซั่วเป็นพี่น้องกัน ถ้าเกิดว่าเขารู้เรื่องนี้ จิ่งเป่ยเฉินก็ต้องรับรู้เรื่องนี้ด้วย สิ่งที่นับว่าโชคดีในตอนนี้คือพวกเขาไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉัน!”

ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ คงถูกตรวจสอบไปนานแล้ว ถังซั่วเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอแล้ว แม้ว่าเธอจะใส่แว่นกันแดดก็ตาม

หลินจื่อเซี๋ยวตบไปที่ไหล่ของเพื่อน “นี่ก็นับว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรงพอกัน ด้วยมันสมองของฉันคงคิดหาวิธีแก้ไขไม่ได้หรอก ดูท่าคงต้องไปนอนก่อน เผื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะมีไอเดียอะไรดี ๆ บ้าง”

ทางด้านอันโหรวเองก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรไว้ ทั้งสองคนจึงรีบเข้านอนและค่อยพูดเรื่องเหล่านี้กันอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

เมื่อขับรถไปถึงชั้นใต้ดินของบริษัทจิ่ง หลินจื่อเซี๋ยวก็หันหน้าไปมองอันโหรวด้วยความตกใจ “อันโหรว พวกเราลืมอะไรไปหรือเปล่า?”

เมื่อเธอหันกลับไปมองเบาะหลังรถก็ไม่มีใครอยู่สักคน “เรายังไม่ส่งเด็ก ๆ ไปเรียนเลยนี่!”

“ฉันบอกให้พวกเขาลา” อันโหรวเปิดประตูรถลงมาอย่างใจเย็น “จนกว่าฉันจะคิดหาวิธีดี ๆ ได้ ฉันจะให้พวกเขาอยู่บ้านไปก่อน”

“เธอนี่มันร้ายกาจจริง ๆ นะ ไปเรียนวันเดียวก็ขอลาซะแล้ว” หลินจื่อเซี๋ยวลงจากรถตามมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดขึ้นว่า “แต่งหน้าแบบนี้มันส่งผลต่อผิวของเธอหรือเปล่า?”

อันโหรวกำลังจะตอบกลับไป แต่ทันใดนั้นก็ยินเสียงหัวเราะของคนที่อยู่ด้านหลังดังขึ้นซะก่อน “แต่งหน้าแบบนี้ ถ้าหากไม่ใช่หน้าน่าเกลียดอยู่แล้วจะเป็นยังไงล่ะ!”

ใบหน้าของอันโหรวพลันเปลี่ยนเป็นเฉยเมย ตัวเธอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดนั้นเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะแสร้งทำเป็นสนใจกับคำพูดเยาะเย้ยพวกนี้

แต่หลินจื่อเซี๋ยวรู้ว่าไม่เหมือนกัน ทันทีที่เห็นฉิวซี เธอก็เผยความกล้าด้วยฐานะเลขาของประธานทันที “ดูเหมือนหัวหน้าฉิวจะมั่นใจรูปลักษณ์ตัวเองมากเลยสินะ แต่ฉันไม่รู้เลยว่าจะมีสักกี่คนที่แต่งหน้าหนาแบบคุณ ระวังแป้งที่ทาบนหน้าจะร่วงหล่นมาตามรอยยิ้มนะคะ เกรงว่าถ้าเป็นแบบนั้นพนักงานทำความสะอาดคงต้องกวาดทุกที่ที่คุณเดินไปแน่ ๆ”

“เลขาหลินนี่เธอ….” ฉิวซีสัมผัสไปที่ใบหน้าของตัวเองอย่างระแวง ตัวเองแต่งหน้าทาแป้งมาก็ยังดีกว่าใบหน้าที่ซีดเซียวและดูน่าเกลียดแบบอันโหรวก็แล้วกัน

“ฉันรู้ว่าชื่อฉันนั้นฟังดูเพราะ แต่ไม่ต้องเตือนฉันหรอกค่ะ” หลินจื่อเซี๋ยวพูดจบก็ดึงอันโหรวไปที่ลิฟต์ ก่อนจะมองไปที่เธอและหัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ยถามเพื่อน “นี่เธอไม่รู้สึกโกรธบ้างเลยเหรอ?”

“ทำไมต้องโกรธด้วย?” สีหน้าของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

ต่อให้เป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่มีใครจะมานั่งเกลียดใบหน้าของตัวเองหรอก

“ก็ถูกนะ ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันก็คงไม่โกรธ” เพราะสิ่งที่เธอว่ามานั้นมันไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย

“ประธานจิ่ง อรุณสวัสดิ์ค่ะ!” ฉิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

อันโหรวมองร่างของทั้งสองคนที่กำลังเดินมาที่ลิฟต์ ก่อนจะหันกลับมามองหลินจื่อเซี๋ยวและเอ่ยพร้อมกันว่า “อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านประธานจิ่ง”

“อืม” จิ่งเป่ยเฉินตอบกลับอย่างไม่สนใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟต์พิเศษที่อยู่ตรงหน้า

เขาและฉีเซิ่งเทียนเดินเข้าไปพร้อมกัน “เข้ามาสิ”

ฉิวซีเดินตามพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ก่อนที่เธอจะก้าวเท้าเข้าไปก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาว่า “ไม่ใช่คุณ”

ฉิวซีผงะรีบถอยหลังกลับทันที ก่อนจะเดินไปอยู่ด้านหลังของพวกเขาอย่างอับอาย

ฉีเซิ่งเทียนยื่นมือไปกดปุ่ม ‘เปิด’ ค้างไว้ ก่อนจะมองไปที่จิ่งเป่ยเฉินและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เลขาหลินกับอันอีหาน!”

เมื่อเรียกชื่อทั้งสองคน ทั้งสองคนก็ไม่รีรอรีบเดินเข้าไปอย่างไม่เต็มใจ หลินจื่อเซี๋ยวรู้สึกเป็นกังวลมาก เมื่อฉีเซิ่งเทียนจับข้อมือของเธอและพูดขึ้นว่า “จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกหิวขึ้นมา เธอไปกินข้าวกับฉันดีกว่า”

“อะ…..” หลินจื่อเซี๋ยวยังไม่ทันตอบกลับก็ถูกดึงออกจากลิฟต์ไปทันที ส่งผลให้ลิฟต์ที่ปิดลงต่อหน้าของเธอ มีแค่อันโหรวกับประธานจิ่งเท่านั้น

อันโหรว ขอให้เธอมีความสุขมาก ๆ นะ!