ตอนที่ 78 ไม่หักก็ไม่ตรง

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 78 ไม่หักก็ไม่ตรง

เจียงป่าวชิงกลับไปที่บ้านของตัวเองและไปที่ห้องเก็บของจิปาถะ นางค้นสิ่งของบางอย่างอยู่สักพัก จากนั้นถึงจะหยิบกระดานไม้ไผ่ที่เรียวยาวออกมาจากข้างใน

หลังจากที่เจียงป่าวชิงล้างกระดานไม้ไผ่จนสะอาดแล้วก็หักมันออกเป็นสองท่อน ส่วนที่มีหนาม นางก็ใช้ผ้าป่านมาถูให้เรียบแล้วถึงค่อยถือไปตรงหน้าเจ้าหมาสีขาว

ตอนนี้เจ้าหมาสีเหลืองกำลังวิ่งเล่นอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ในลานบ้าน ส่วนเจ้าหมาสีขาวกำลังนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ในบ้านหมาที่ดูเรียบง่ายซึ่งเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานใช้ท่อนไม้ที่ไม่ใช้แล้วมาต่อเข้ากับเครือเถาวัลย์

เจียงป่าวชิงนั่งยอง ๆ จากนั้นก็ลูบคลำกระดูกช่วงขาที่ได้รับบาดเจ็บของเจ้าหมาสีขาวเบา ๆ

เนื่องจากได้รับบาดเจ็บเป็นเวลานาน บาดแผลตรงกระดูกที่หักจึงค่อนข้างหายสนิทและเอียงอยู่เล็กน้อย  ถ้าหากว่านางอยากให้ขาของเจ้าหมาสีขาวดีขึ้น นางจะต้องทำให้กระดูกช่วงขาที่เอียงนั้นกลับมาหักอีกครั้ง

“อดทนหน่อยนะเจ้าหมาน้อย” เจียงป่าวชิงพูดอย่างอ่อนโยน “ข้ามีผู้ป่วยที่ดูแลอยู่คนหนึ่ง ตอนที่ข้ารักษาขาให้เขา มันเจ็บกว่าเจ้าที่ขาหักอีก แล้วเขายังไม่ส่งเสียงออกมาเลยสักแอะ… เจ้าตั้งสติแล้วเอาอย่างเขาหน่อยแล้วกัน”

เจ้าหมาสีขาวไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ มันทำเพียงใช้ดวงตากลมโตที่ชุ่มชื้นมองคนที่ลูบหัวมันเบา ๆ อย่างไว้วางใจ มันนั้นจำได้ดีว่าคนตรงหน้านี้เคยให้มันกินของอร่อย

ถูกจ้องมองโดยดวงตาที่ไม่มีจุดด่างพร้อยเช่นนี้ หากว่าเป็นคนอื่น ไม่แน่ก็คงอาจจะทำไม่ลงเลยก็เป็นได้ แต่เจียงป่าวชิงกลับทำลง นางออกแรงหักขาของเจ้าหมาสีขาวด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เจ้าหมาสีขาวรู้สึกเจ็บจนส่งเสียงร้อง ‘เอ๋ง’ ออกมาทันทีพร้อมดิ้นขัดขืน หากว่าเจียงป่าวชิงไม่ได้อุ้มมันไว้อย่างบังคับ เกรงว่าเจ้าหมาสีขาวตัวนี้คงจะเจ็บจนกระโดดออกไปเสียแล้ว

“ไอ้โย! เก่งมากเจ้าหมาน้อย ต่อไปถ้าไม่อยากเป็นหมาง่อยก็ทำตัวให้ดี ๆ หน่อยล่ะ” เจียงป่าวชิงพูดบ่น จากนั้นก็ใช้กระดานไม้ไผ่มายึดขาที่หักให้ตรง ยึดด้านหน้าและด้านหลังให้คงที่แล้วมัดให้แน่นด้วยผ้า

เจ้าหมาสีขาวร้องโหยหวนอยู่อย่างนั้น ตอนหลังก็ร้องจนแทบไม่เหลือจิตวิญญาณแล้ว มันหายใจหอบอยู่บนพื้นและดูจะเจ็บปวดอยู่พอสมควร

“ทนหน่อยเจ้าหมาเอ๋ย ไม่หักก็ไม่ตรงหรอกนะ” เจียงป่าวชิงให้กำลังใจเจ้าหมาสีขาว “เจ้าลองคิดดูสิ คุณชายกงที่อยู่บ้านข้าง ๆ เราเจ็บถึงขนาดนั้น เขายังไม่ร้องเลย”

เจ้าหมาสีขาวส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรง และไม่รู้ว่าฟังเข้าใจหรือเปล่า

ถึงแม้ว่าเจ้าหมาสีขาวจะฟังไม่ออก แต่ใครบางคนกลับฟังเข้าใจอย่างแน่นอน

ในตอนนั้นเอง เสียงเสียงหนึ่งก็ดังมาจากทางด้านหลังของเจียงป่าวชิง “เฮ้! เจ้าเอาข้าไปเปรียบกับหมาอย่างนั้นรึ ?”

ทันใดนั้น เจียงป่าวชิงก็ขนลุกไปทั้งตัว มือของนางสั่นเล็กน้อย นางยืนขึ้นและหมุนตัวกลับไปมอง บ้านข้าง ๆ ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล  กงจี้ที่อยู่ในชุดจีนนั่งอยู่บนรถเข็นเช่นเคยโดยมีไป๋จีที่เวลานี้ตีสีหน้าเคร่งขรึมยืนอยู่ข้างเขา

สายตาของกงจี้มืดมนดูน่ากลัวมาก ราวกับว่าในอึดใจต่อมาเขาจะเข้ามาตัดศีรษะของเจียงป่าวชิงทำนองนั้น

เจียงป่าวชิงรีบแก้ต่างให้ตัวเองทันที “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดอย่างมาก  คุณชายกง ข้าแค่เคารพและเลื่อมใสเจ้ามากเกินไป จึงให้เจ้าหมาตัวนี้เอาเจ้าเป็นแบบอย่างเท่านั้นเอง ไม่มีความหมายอื่นอย่างแน่นอน”

กงจี้ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ เขามองเจียงป่าวชิงด้วยหางตาอย่างเย้าหยอกและรู้สึกคร้านจะพูดกับนาง

เจียงป่าวชิงเห็นกงจี้ไม่ได้อารมณ์ขึ้นใส่นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ว่าแต่พวกเจ้ากลับมาตั้งแต่ตอนไหนรึ ?”

กงจี้ยังคงคร้านจะสนใจเจียงป่าวชิง ไป๋จีจึงต้องพูดตอบแทนเจ้านายของเขา “ก็ตั้งแต่ตอนที่เจ้าทารุณหมาเมื่อสักครู่นั่นแหละ”

“ทารุณหมาอะไรกัน นี่ข้ากำลังเข้ากระดูกให้มันต่างหากเล่า!” เจียงป่าวชิงรีบแก้ต่างให้ตัวเองทันที

ยังมีเวลาอีกมากที่จะต้องคบค้าสมาคมกับเจ้านายและลูกน้องคู่นี้ เจียงป่าวชิงจึงไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าตนเป็นนางมารทารุณหมาน้อยทำนองนั้น

ไป๋จีค่อนข้างเกรงใจอยู่เล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นแม่นางเจียงทำต่อเถอะ แต่ตอนบ่ายก็อย่าลืมมาดูขาให้เจ้านายของข้าให้ตรงเวลาล่ะ” พูดเสร็จเขาก็พยักหน้าให้เจียงป่าวชิงเล็กน้อย จากนั้นก็ผลักรถเข็นเข้าไปในบ้าน

เมื่อเจียงป่าวชิงเห็นเจ้านายกับลูกน้องคู่นี้เข้าไปในบ้านแล้ว นางถึงจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก  จนถึงตอนนี้ นางยังไม่ลืมว่าไป๋จีกับไอ้โรคจิตกงคนนั้นเป็นคนที่ฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย หากว่านางไม่มีวิชาฝังเข็มที่สามารถรักษาพิษที่ขาของไอ้โรคจิตนั่นมาเป็นไม้เด็ดไว้ต่อกร เกรงว่าตอนนี้นางคงจะเป็นศพที่ลอยอยู่ในแม่น้ำคราดแล้ว

เจียงป่าวชิงถอนหายใจ นางหันไปสนใจอย่างอื่นแทนโดยการลูบคลำเตา สองวันมานี้แดดดีมาก ตอนนี้เตาจึงแห้งและน่าจะใช้การได้

เจียงป่าวชิงยัดยาบำรุงโลหิตเข้าไปในปากพลางฮัมเพลงและไปที่บ้านของคนขายเนื้อในหมู่บ้าน นางตั้งใจว่าจะซื้อซี่โครงเพื่อจะได้อุ่นหม้อให้ตัวเอง

ก่อนหน้านี้เจียงป่าวชิงปัญญาอ่อนมาตั้งเจ็ดแปดปี มาตอนนี้สติปัญญาของนางกลับมาเป็นปกติแล้ว คนในหมู่บ้านบางคนจึงมีความรู้สึกที่ค่อนข้างซับซ้อนเกี่ยวกับนาง

ตอนที่เจียงป่าวชิงกำลังซื้อซี่โครง ก็มีคุณยายคนหนึ่งจากในหมู่บ้านมาซื้อเลือดหมูคว่ำปากที่ไม่มีฟันเหลืออยู่ใส่เจียงป่าวชิงและสังเกตนางอยู่สักพัก สุดท้ายยายไร้ฟันคนนี้ก็พูดขึ้นโดยมีอากาศรั่วออกมาจากในปากของนาง “เจ้า! อาการป่วยของเจ้าจะไม่กลับมากำเริบอีกแล้วใช่หรือไม่ ?”

เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว อาการคงไม่กลับมากำเริบอีกแล้วล่ะ”

คุณยายถือเลือดหมูที่พ่อค้าชั่งเสร็จแล้ว จากนั้นนางก็ส่ายหน้าเล็กน้อย “ใครจะไปรู้ล่ะ เมื่อก่อนก็มีคนที่สมองผิดปกติคนหนึ่งที่จู่ ๆ อาการก็กำเริบอย่างกะทันหัน สุดท้ายก็ฆ่าคนในบ้านตายทั้งหมด!”

เจียงป่าวชิงหมดคำจะพูดกับยายแก่หงำเหงือกคนนี้ เมื่อก่อนตอนที่เจ้าของร่างเดิมปัญญาอ่อน นางเคยมีพฤติกรรมที่รุนแรงแบบนั้นเสียที่ไหนกันล่ะ ?

นางส่ายหน้าเล็กน้อย  ในระหว่างทางที่เดินถือซี่โครงกลับบ้าน ใครจะไปรู้ว่าโลกนี้มันจะกลมเสียจริงถึงได้เจอกับเจียงโหย่วฉายเข้าพอดี

หลังจากที่เจียงโหย่วฉายไม่สบายเมื่อครั้งที่แล้ว เดิมทีนิสัยที่ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วก็ดูเหมือนจะฉุนเฉียวมากยิ่งขึ้น แต่การประมวลผลของเขากลับช้าลงกว่าเมื่อก่อน

อย่างเช่นครั้งนี้ เจียงโหย่วฉายทะเลาะกับคนอื่นและวิ่งมาชนเจียงป่าวชิง แต่เขากลับตกตะลึงอยู่กับที่เพื่อครุ่นคิดอยู่เป็นพัก จากนั้นเขาถึงจะคิดออกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือใคร

เมื่อคิดได้แล้ว เจียงโหย่งฉายก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที เขาก้มตัวลงไปหยิบก้อนหินขึ้นมาปาใส่เจียงป่าวชิง “เจ้าขอทาน! เจ้าขโมยที่ดินห้าไร่ของบ้านข้าไป”

ในความคิดของเจียงโหย่วฉาย สิ่งของในบ้านไม่ว่าจะเป็นอะไรสุดท้ายก็ต้องเป็นของเขาทั้งหมด และที่ดินห้าไร่ที่เจียงป่าวชิงเอาคืนไปนั้นก็เท่ากับการเอาที่ดินห้าไร่จากในทรัพย์สินของเขาไปเช่นกัน

ถึงแม้ว่าเจียงโหย่วฉายจะไม่รู้ว่าที่ดินห้าไร่ใหญ่เพียงใด แต่เขารู้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นนั่นก็คือเจียงป่าวชิงแย่งของของเขาไป

จู่ ๆ เจียงโหย่วฉายก็เดินเข้ามาปาหินใส่นางอย่างรวดเร็วจนเจียงป่าวชิงหลบไม่ทัน ทำให้หินแหลมคมก้อนนั้นขูดเข้ากับใบหน้าและทิ้งรอยเลือดไว้บนใบหน้าของนาง

ถึงแม้ว่าเจียงป่าวชิงจะรู้สึกว่าตนสามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่เจ็บ แล้วยิ่งร่างกายนี้ไวต่อความเจ็บปวดเช่นนี้แล้วด้วย เจียงป่าวชิงจึงต้องมีจิตใจที่แน่วแน่มากขึ้นเพื่ออดทนต่อความเจ็บปวดนี้

เจียงป่าวชิงฮึดสู้ นางยกขาถีบเจียงโหย่วฉายจนล้ม ซึ่งนี่ทำให้พวกเพื่อน ๆ ของเจียงโหย่วฉายตกตะลึงไปทันที

เจียงโหย่วฉายไม่ได้รังแกเจียงป่าวชิงเพียงครั้งสองครั้ง และก่อนหน้านี้ตอนที่เจียงป่าวชิงยังปัญญาอ่อน นางเคยโต้ตอบกลับที่ไหนกันล่ะ ?

การต่อต้านภายใต้สายตาผู้คนจำนวนมากเช่นนี้ ไม่ได้มีเพียงพวกเพื่อน ๆ ของเจียงโหย่วฉายเท่านั้นที่ตกตะลึง ตัวเจียงโหย่วฉายเองก็ตกตะลึงเช่นกัน

เจ้าปัญญาอ่อนป่าวชิงที่ผอมจนลมพัดทีแทบจะปลิวคนนั้น ตอนนี้เหตุใดมันถึงมีแรงเยอะขนาดนี้ได้ ?!

เจียงป่าวชิงยืนอยู่ข้างเจียงโหย่วฉายอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า นางพูดเตือนด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าสยดสยอง “ต่อไปนี้หากว่าเจ้ายังมาหาเรื่องข้าอีก เจ้าจะไม่โดนแค่ถีบ!”

เจียงโหย่วฉายผ่อนคลายสีหน้าลง เขากำลังจะก่นด่ายกใหญ่ แต่เมื่อชำเลืองไปเห็นดวงตาสีดำสนิทที่แข็งกร้าวอย่างที่สุดของเจียงป่าวชิง เขาก็สำลักน้ำลายทันที

แม้ว่าตอนนี้เขาจะตอบสนองช้า แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าเจียงป่าวชิงคนนี้ไม่ใช่เจ้าขอทานคนเดิมที่เคยอยู่ที่บ้านของเขาอีกต่อไปแล้ว

นางอันตรายมาก!

เจียงป่าวชิงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดออกมาจากในอ้อมอก จากนั้นก็เช็ดเลือดบนใบหน้าและเดินถือซี่โครงกลับไปโดยไม่หันกลับมาอีก

เจียงโหย่วฉายลุกขึ้นมาจากบนพื้น เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้นพลางตีสีหน้าโหดเหี้ยมใส่แผ่นหลังของเจียงป่าวชิง

จากนั้นเพื่อนคนหนึ่งของเขาก็พูดยุยงขึ้นมา “โหย่วฉาย เจ้ากลับบ้านไปฟ้องท่านย่าของเจ้าสิ แล้วให้นางสั่งสอนเจ้าปัญญาอ่อนคนนั้นสักทีสองทีเป็นอย่างไร ?”

เจียงโหย่วฉายตบเขาทันที ปากก็ตะโกนใส่เพื่อนคนนั้น “เจ้าบ้า! เจ้าอย่าตาบอดบ่อยนัก”