“ของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ไม่เหลือบ่ากว่าแรง! คุณหนูหลิวเยว่ได้โปรดยอมรับไว้ด้วยเถิด!”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองกล่องของขวัญที่ซ้อนกันพะเนินเทินทึกเป็นภูเขาที่ประตู และนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ…
เหยียนเก๋อเข้าใจคำนี้ผิดไปหรือไม่
หรือเงินที่เขาหาเข้าเจินเป่าเก๋อจะมีมากมายเหลือล้น
ทว่าดูสีหน้าของเหยียนเก๋อแล้วราวกับจะบอกว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องรับเอาไว้ ไม่เช่นนั้นคงจะเป็นการไม่ให้เกียรติเขา ฉู่หลิวเยว่จึงทำได้เพียงรับเอาไว้ก่อน
“ในเมื่อเป็นน้ำใจของคุณชายรองเหยียน หลิวเยว่ก็จะไม่ขัดข้อง”
เหยียนเก๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อในที่สุดนางก็ตกลงที่จะยอมรับของที่นำมามอบให้
สวรรค์รู้ เมื่อเขาได้ยินว่าของขวัญที่นายท่านเป็นคนเลือกจะนำมามอบให้ฉู่หลิวเยว่ วิญญาณของเขาก็แทบจะหลุดออกจากร่างแล้ว!
“งั้นก็ดีๆ! คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณหนูหลิวเยว่จะมีพรสวรรค์โดดเด่นเยี่ยงนี้ ทำให้ข้าตกใจจริงๆ!”
นี่คือควมจริง!
ใครจะรู้ว่าฉู่หลิวเยว่ผู้ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้ไร้ความสามารถมาโดยตลอด จะสามารถสอบเข้าสำนักเทียนลู่ ชได้จริง ๆ และยังได้ผลคะแนนที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย!
ความสามารถนี้ ประกอบกับอุปนิสัยที่อดทนอดกลั้นนี้…ไม่น่าแปลกใจเลยที่นายท่านที่ไม่เคยใกล้ชิดกับสตรีเพศจะเกิดความรู้สึกหวั่นไหวได้
ครั้งเมื่อเหยียนเก๋อและฉู่หลิวเยว่ติดต่อค้าขายพื้นที่ล่าสัตว์ เขาก็รู้สึกชื่นชมนางอยู่ในใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และตอนนี้ยิ่งรู้ว่านางคือคนในใจของนายท่านผู้มีใจแกร่งดั่งหินผา ท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อนางย่อมดีกว่าเดิมเป็นธรรมดา
เขามองไปที่ฉู่หนิงและอุทานออกมา
“ได้ยินมาว่าใต้เท้าฉู่หนิงฟื้นจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังแล้ว และตอนนี้ก็เป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์แล้ว ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับท่านแล้ว!”
“คุณชายรองเหยียนเกรงใจเกินไปแล้ว!” ฉู่หนิงก้าวข้างหน้ามองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยแววตารักใคร่เอ็นดู “หากไม่ใช่เพราะเยว่เอ๋อร์ทำเพื่อครอบครัวของเรา…”
เขาหยุดอยู่เพียงเท่านี้และไม่เอ่ยต่อ
ต่อให้เยว่เอ๋อร์จะสอบผ่านทั้งสามวิชาในสำนักเทียนลู่ แต่ที่คนพูดถึงมากที่สุดคือผลสอบออกมาเป็นปรมาจารย์อันดับที่สอง รองลงมาคือผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่ง ส่วนหมอเทวดาแทบไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้
นางไม่ได้เข้าร่วมการสอบของหมอเทวดา และในการสอบแม้จะสอบผ่านแต่ผลสอบก็ไม่ได้ออกมาอย่างที่คิดเท่าไหร่
เดิมทีฉู่หนิงคิดว่านางจะได้รับการยอมรับว่าเป็นหมอเทวดา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจงใจปกปิดพรสวรรค์ด้านนี้อย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าเขาจะไม่ทราบเหตุผลว่าทำไม เช่นนั้นการที่เยว่เอ๋อร์ตัดสินใจทำเยี่ยงนี้ย่อมต้องมีเหตุผลของนางแน่นอน
อย่างน้อยก็อาจเก็บไว้เป็นไพ่ใบสุดท้าย
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มแล้วรับบทสนทนาต่อ
“ท่านพ่อพูดอะไรอย่างนั้น เราเป็นพ่อลูกอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว และในที่สุดเราก็ออกมาจากตรงนั้นได้ เยว่เอ๋อร์มีท่านอยู่ก็ไม่รู้ว่าโชคดีมากแค่ไหนแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นขอบตาของฉู่หนิงก็ร้อนผ่าว
“เยว่เอ๋อร์พูดถูก วันนี้พวกเราต้องฉลองให้เต็มที่ไปเลย เชิญคุณชายรองเหยียนด้านใน!”
ที่นี่แน่นอนว่าต้องเป็นทำเลทองใจกลางเมือง
วันนี้เหยียนเก๋อสามารถมาด้วยตัวเองได้ก็แสดงว่าเจินเป่าเก๋อยินดีที่สนับสนุนพวกเขาสองคนพ่อลูกแล้ว
ด้วยสถานะของเจินเป่าเก๋อในเมืองหลวง ได้รับน้ำใจจากพวกเขาเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งจริงๆ
เหยียนเก๋อตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาของเขากลับเผลอมองไปที่ฉู่หลิวเยว่
“ฮ่าๆๆ! ใต้เท้าฉู่หนิง คุณหนูหลิวเยว่ถึงจะเป็นเจ้าภาพของวันนี้ พวกท่านทั้งสองเชิญก่อนเถอะ!”
ล้อเล่นหรือเปล่า เขาจะกล้าเดินนำหน้าฮูหยินของนายท่านไปก่อนได้เยี่ยงไร
ฉู่หลิวเยว่สังเกตว่าวันนี้ท่าทางของคุณชายรองเหยียนค่อนข้างแปลกประหลาด
นี่ยังมิใช่เวลามาถามไถ่
เมื่อเห็นว่าเหยียนเก๋อยืนกรานเช่นนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่บังคับ
“เช่นนั้นก็เรียนเชิญคุณชายรองเหยียนด้วย เชิญท่านตามสบาย”
เหยียนเก๋อเห็นด้วยทันทีอย่างยินดี
ฉู่หลิวเยว่หวั่นใจและถามเรื่อยเปื่อย
“คุณชายรองเหยียน ข้าได้ยินมาว่ามีสัตว์อสูตระดับสูงปรากฏในพื้นที่ล่าสัตว์หรือ ข้าไม่รู้ว่ามันอยู่ในระดับไหน”
เมื่อเหยียนเก๋อได้ยินก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที จากนั้นก็กระแอมไอ
“อันที่จริง เราพบเพียงร่องรอยของสัตว์อสูรระดับสูงในพื้นที่ล่าสัตว์เท่านั้น เรายังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด แต่…มันน่าจะมีระดับสูงมากอยู่เหมือนกัน”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
สัตว์อสูรระดับสูงนั้นหายากมาก เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องปกติที่เหยียนเก๋อลังเลที่จะอธิบายอย่างละเอียด
ฉู่หนิงเหลือบมองที่ประตู นอกคนที่ติดตามเหยียนเก๋อก็แทบไม่มีคนอื่นมาเลย และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า
“วันนี้คุณชายรองเหยียนเหมาโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง ฉู่หนิงต้องขอขอบคุณ ณ ที่นี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไรดี แต่ทว่าคนที่มาในวันนี้น่าจะไม่มาก เกรงว่าท่านคงจะเสียเงินเปล่าแล้ว”
เหยียนเก๋อยิ้มแหะๆ กลับไม่พูดอะไร
เสียเงินเปล่าหรือ
เกรงว่าไม่พอเสียมากกว่า!
…
“คุณชายใหญ่ซือถิงตระกูลซือมาแล้ว!”
เสียงประกาศครั้งที่สองทำให้ผู้ที่รออยู่ในโรงเตี๊ยมประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นก็เห็นชายหนุ่มในชุดผ้าสีน้ำเงินเดินเข้ามา
ชายหนุ่มผู้มีคิ้วคมเข้ม ใบหน้าหล่อคมราวกับดาบ และมีราศีที่เย็นชาดูสูงส่งสง่างามออกมารอบกายของเขา
เขาคือซือถิง!
“เขา เขามาได้อย่างไร”
ฉู่หนิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ในฐานะตระกูลอันดับหนึ่งที่ไม่มีปัญหากับผู้ใดในเมืองหลวง ตระกูลซือไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเบาะแว้งของตระกูลอื่น ๆ คราวนี้พวกเขาจะส่งคนมาได้อย่างไร
แล้วยังเป็นซือถิงทายาทที่มีตำแหน่งสูงสุดและมีชื่อเสียงซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นปัจจุบันของตระกูลซืออีกด้วย
งานเลี้ยงในวันนี้นับว่าเป็นสงครามระหว่างพวกนางสองพ่อลูกและตระกูลฉู่!
ทุกคนรู้ดีว่าถ้ามาแล้วก็แสดงว่าเลือกอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตระกูลฉู่!
เหตุผลก็คือว่าตระกูลซือไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ แม้จะเลือกก็ต้องเลือกตระกูลฉู่เป็น แต่นี่ไปได้อย่างไร…
ในชั่วพริบตา ซือถิงก็เดินเข้ามาด้านในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขาคำนับให้ฉู่หนิงก่อนเป็นอันดับแรก
“ซือถิงคารวะท่านลุงฉู่”
ฉู่หนิงรีบตอบ
“ซือถิงไม่ต้องพิธีรีตองมากหรอก”
ซือถิงมีราศีที่สง่างามและสูงส่ง แต่สีหน้าของเขากลับสุขุมเยือกเย็นแต่กลับเป็นธรรมชาติโดยที่ไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
“เอ่อคือ…ประมุขตระกูลซือให้เจ้ามาหรือ”
ฉู่หนิงถามอย่างลังเล
ซือถิงพยักหน้าตอบ
“ช่วงนี้ท่านประมุขมีภาระมากมายต้องสะสาง และไม่สามารถมาด้วยตัวเองได้ ดังนั้นท่านจึงให้ซื่อถิงเข้ามาแทน ได้ยินว่าท่านผ่านผู้ฝึกยุทธืขั้นที่ห้าแล้ว ท่านประมุขรู้สึกยินดีด้วยเป็นอย่างยิ่งและกล่าวว่าหากมีเวลาต้องมาพบปะพูดคุยกับท่านแน่นอน”
อันที่จริง ซือเยี่ยจือมีอายุมากกว่าฉู่หนิงเพียงไม่กี่ปี และทั้งสองก็เคยมีมิตรภาพอันดีกันในตอนนั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฉู่หนิงได้รับบาดเจ็บ ซือเยี่ยจือก็เข้ารับตำแหน่งประมุขตระกูลซือ การไปมาหาสู่กันระหว่างทั้งสองจึงน้อยลง
ตามสถานะปัจจุบันของซือถิง ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองจริงๆ แต่ให้ซือถิงผู้มีสถานะเป็นคุณชายใหญ่มาแทนก็ถือว่าเป็นการให้ความสำคัญกับพวกเขามากแล้ว
และนี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของตระกูลซือที่มีต่อพวกเขาแล้ว
ฉู่หนิงลอบถอนหายใจ
“…ดี! ดี!”
“แต่…ที่ข้ามาในวันนี้ ประการแรกเพื่อเป็นตัวแทนของท่านประมุข ประการที่สองข้ามาด้วยตัวเอง”
ซือถิงพูดพลางมองไปที่ฉู่หลิวเยว่
“ถึงอย่างไรตอนนี้คุณหนูฉู่ก็ถือว่าเป็นสหายร่วมชั้นปรมาจารย์กับข้าแล้ว ข้ามาร่วมแสดงความยินดีด้วยก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
ในสำนักแบ่งออกเป็นสามสำนักใหญ่คือผู้ฝึกยุทธ์ ปรมาจารย์และหมอเทวดา ศิษย์สำนักปรมาจารย์เดิมทีมีน้อยมากอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขามักจะสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่า และมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ดีกว่า
ซือถิงทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มให้
“ขอบใจมาก”
ซือถิงรู้สึกเพียงว่าหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าเขามีรอยยิ้มสว่างไสวราวกับแสงเจิดจ้าและยากที่จะสบตาด้วย
หัวใจของเขาเต้นแรงและความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้เมื่อก่อนหน้านี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
เขาพยักหน้าเบาๆ และหลบหน้าไปโดยไม่รู้ตัว
“ทางสำนักกำลังอยู่ในช่วงวันหยุด และหลายคนไม่ได้อยู่ในสำนัก ซือหยางได้ติดต่อหาคนอื่น อาจจะมาช้ากันสักหน่อย”
“คุณชายห้าซือหยางตระกูลซือ โอวเจินคุณชายรองตระกูลโอว ซุนเซี่ยวเซียงคุณหนูสี่ตระกูลซุน อู่อิ๋งอิ๋งบุตรีของแม่ทัพใหญ่เจิ้นหนาน…”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นกลุ่มหนุ่มสาวกำลังวิ่งมาทางนี้!
ผู้ที่มานำหน้าคือซือหยางที่มีท่าทางตื่นเต้นกว่าใคร
“โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง คราวนี้เราจะต้องกินให้ฉู่หลิวเยว่จนไปเลย!”
“ได้!”
คนกลุ่มหนึ่งส่งเสียงเฮฮาอย่างมีชีวิตชีวา
“ข้าคิดไม่ถึงว่านางจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ ข้ามากินข้าวที่โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงแค่สามเดือนครั้งเองเชียวนะ”
“ใช่! สอบคราวก่อนข้ามาช้าไป ข้ายังไม่ทันเห็นนางเลย วันนี้ข้าต้องดูนางให้เต็มตาแล้วล่ะ”
“อันดับสองปรมาจารย์ของเราไปคว้าที่หนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์มาได้ พวกเจ้าว่าคนกลุ่มนั้นคงโกรธจนแทบตายหรือไม่ ฮ่าๆๆๆ!”
“พวกเจ้าไม่ต้องแย่งกัน เดี๋ยวข้าขอชนจอกกับนางก่อน”
เสียงหัวเราะที่คึกคักทำให้โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที!
ซือหยางเงยหน้ามองซือถิงแล้วขยิบตาให้เขาปริบๆ
“พี่ใหญ่ ข้าไปเรียกตามคนมาหมดแล้ว เดี๋ยวคงมากันอีก!”
ซือถิงตอบ “อืม” เสียงเรียบนิ่งและมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็ค่อยๆ กำหมัดแน่น
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตา
“ซือถิง นี่เจ้าเรียกพวกเขามาเองหรือ”
ซือถิงขบกรามแน่น
“ไม่หรอก ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมสำนักเดียวกัน ก็ต้องมาสนุกด้วยกันสิ”
เหยียนเก๋อเลิกคิ้วขึ้นสูง
เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ ต้องการเป็นศัตรูกับนายท่านใช่หรือไม่