ห้าสิบสี่
หารือเรื่องอนาคต
คนตระกูลซุนย่อมไม่มีทางนำสัญญาออกมาได้อยู่แล้ว พวกเขาได้แต่เอ่ยถึงเหตุผลโดยไม่มีหลักฐานมายืนยัน ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ยังคงยืนกรานว่า หากไม่มีสัญญา เรื่องนี้นับว่าเป็นโมฆะ ซึ่งพวกเขาไม่มีทางยอมรับได้
เสวี่ยเจียเยว่ยังนั่งเช็ดน้ำตาข้างร่างที่ไร้ลมหายใจของซุนซิ่งฮวา พลางร้องห่มร้องไห้บอกเล่าชีวิตที่แสนรันทดของตน มารดาเพิ่งตายไป ต่อมายายกับป้าลุงรวมทั้งน้าก็มาที่เรือนเพื่อบังคับเด็กโดดเดี่ยวอย่างเธอให้ไปเป็นภรรยาของลูกพี่ลูกน้องขาพิการ เห็นได้ชัดว่ากำลังฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ในเรือนรังแกเธอ เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่มาให้เร็วกว่านี้ ทำไมถึงตั้งใจมาพูดเรื่องนี้ตอนที่มารดาของเธอเพิ่งจากไป อีกอย่าง… ดูจากท่าทางของพวกเขาแล้ว เกรงว่าจะมาแย่งคนถึงหน้าประตูเรือนเลยกระมัง
เมื่อคนตระกูลซุนได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยพลางร้องห่มร้องไห้ ใบหน้าของพวกเขาก็ทะมึนลงทันที ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ต่างก็เดือดดาลกับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ จากนั้นพวกเขาตำหนิคนตระกูลซุนว่าไม่ใช่คน โดยเฉพาะพี่ชายของซุนซิ่งฮวานั้น น้องสาวแท้ๆ เพิ่งตายไป กลับมาบังคับหลานสาวของตนไปเป็นภรรยาของลูกชายพิการถึงเรือน ทั้งยังบอกว่าตกลงกับซุนซิ่งฮวาเอาไว้แล้ว แต่การซื้อขายเด็กไปเลี้ยงเป็นภรรยาเรือนใดกันที่ไม่ต้องเชิญคนกลางมาทำสัญญา อาศัยแค่ปากบอกว่าตนให้เงินไปแล้วจะมาแย่งคนไปอย่างไรก็ได้หรือ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ซุนซิ่งฮวาตายไปแล้ว จึงไม่มีหลักฐานอันใดมายืนยัน
ชาวบ้านด่าว่าคนตระกูลซุนหาข้ออ้างมาร้อยแปดก็ไม่สามารถแก้ตัวได้ และถือไม้ ไม้กวาด รวมทั้งจอบไล่พวกเขาออกไป
เสวี่ยหยวนจิ้งพยุงเสวี่ยเจียเยว่ที่นั่งอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้นมา ก่อนจะลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ แววตาของเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
เสวี่ยเจียเยว่ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา ก่อนจะส่งยิ้มให้เขา
รอยยิ้มในแววตาของเด็กหนุ่มชัดเจนขึ้น เขาลูบศีรษะแม่นางน้อยอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปจัดการเรื่องอื่น
ภายใต้การจัดการดูแลของเสวี่ยเจิ้งจื้อ งานศพของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากทำโลงศพไม้หลิวเสร็จแล้ว ในตอนพลบค่ำก็นำศพเข้าไปไว้ในโลง เชิญนักบวชจากหมู่บ้านข้างๆ มาทำพิธีในยามกลางคืน จากนั้นจะนำโลงศพทั้งสองออกไปฝังในเช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากฝังศพเสร็จและกลับมาที่เรือนแล้ว ชาวบ้านต่างก็ปลอบใจสองพี่น้องก่อนจะแยกย้าย เหลือเพียงยายหานที่อยู่กับพวกเขาพักใหญ่ จนกระทั่งถึงตอนบ่ายนางถึงได้กลับเรือนไป
เมื่อคนอื่นๆ จากไปหมดแล้ว ทั้งในและนอกเรือนก็เงียบสงัดเป็นอย่างมาก
เสวี่ยเจียเยว่ยืนอยู่ในลาน และมองหิมะที่ยังไม่ละลายบนใบผีผา
เสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้ามาหา แล้วลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ พลางเอ่ยถาม “คิดอะไรอยู่หรือ”
ช่วงนี้ดูเหมือนว่าเขาจะชอบลูบศีรษะหรือไม่ก็ตบศีรษะเธอเบาๆ เมื่อก่อนเขาทำเพียงไม่กี่ครั้ง เสวี่ยเจียเยว่จึงไม่รู้สึกอะไรมาก แต่เมื่อทำหลายครั้ง เธอก็เริ่มไม่พอใจเล็กน้อย เพราะมักจะรู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเธอเป็นเด็กเสมอ
เธอเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ ต่อไปท่านอย่าได้ตบศีรษะข้าอีก แล้วก็ไม่ต้องลูบศีรษะข้าด้วย”
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง แต่ไม่พูดอะไร เพียงลูบศีรษะแม่นางน้อยเบาๆ แววตาที่มองอีกฝ่ายนั้นราวกับว่ากำลังมองเด็กดื้อคนหนึ่งก็ไม่ปาน
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าตนแพ้อย่างราบคาบ จากนั้นก็เอ่ยด้วยความเศร้าใจ “ข้าไม่ได้คิดอันใด แค่รู้สึกว่ามันเหมือนกับความฝัน”
ขณะที่เธอจนตรอกไร้หนทางจะเดิน เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาก็ตายจากไปพอดี และปัญหาทุกอย่างในตอนนี้ก็ได้รับการแก้ไข
เธอมิใช่คนโง่ ย่อมรู้ดีว่ามันไม่มีทางบังเอิญได้ขนาดนี้ แต่ถ้าการตายของพวกเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ก็หมายความว่าเรื่องนี้มีคนตั้งใจทำ และคนผู้นั้น…
เธอหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้ง
เสวี่ยเจียเยว่รู้มาตลอดว่าเด็กหนุ่มเป็นคนเงียบขรึม แต่ตอนนี้แสงอาทิตย์ระยิบระยับหลังหิมะตกสาดกระทบลงมาที่ร่างของเขา ราวกับว่านับวันเขายิ่งลึกลับ ไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้เห็น
เธอนึกถึงตะกร้าหวายที่ถูกมัดด้วยหญ้าหลายเส้นอย่างแน่นหนา ซึ่งวางอยู่ใต้เตียงของเสวี่ยหยวนจิ้ง และน้ำรสหวานที่ดื่มเข้าไปแล้วหลับลึกในคืนก่อนที่เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาจะตาย…
หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่พลันสั่นสะท้าน จากนั้นก็กอดแขนของเสวี่ย-หยวนจิ้งเอาไว้
คนผู้นี้ช่างอันตรายยิ่งนัก แต่ทั้งหมดที่เขาทำก็เพื่อเธอ อีกทั้งเขายังบอกว่ามันคืออุบัติเหตุ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เธอก็ยอมเชื่อทุกคำ
“เป็นอะไรไป” เมื่อจู่ๆ เสวี่ยเจียเยว่ก็กอดแขนเขาเอาไว้ เด็กหนุ่มจึงมองด้วยรอยยิ้มและเอ่ยถาม
จากนั้นก็เห็นรอยยิ้มราวกับดอกไห่ถังกำลังบานสะพรั่งอยู่บนใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ ซึ่งงดงามตรึงใจยิ่งนัก
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้ากำลังคิดว่าต่อไปชีวิตของพวกเราสองคนจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยว่า ‘พวกเราสองคน’ รอยยิ้มของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยิ่งกว้างขึ้น
เขาไม่สามารถปกป้องมารดาแท้ๆ ของตนได้ รวมทั้งน้องสาวอายุเพียงสามขวบ แต่ตอนนี้เขาสามารถปกป้องน้องสาวผู้นี้ได้แล้ว และจากนี้ไปชีวิตของพวกเขาทั้งสองคนจะต้องดีขึ้นมากอย่างแน่นอน
ม่านรัตติกาลมาเยือน เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังพูดคุยถึงเรื่องอนาคตกับเสวี่ยเจียเยว่
แม้ว่าเด็กหนุ่มอยากสอบซิ่วฉายในปีหน้ามากเพียงใด แต่ตามกฎของราชสำนัก เมื่อบิดามารดาสิ้นใจ ภายในสามปีนี้จะไม่สามารถเข้าสอบทุกระดับได้ เช่นนั้นกว่าจะถึงเวลาที่เข้าสอบได้ พวกเขาควรทำอย่างไร…อยู่ที่หมู่บ้านซิ่วเฟิง เดินขึ้นภูเขาใหญ่ หรือจะออกไปดูโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไพศาล
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่าพวกเขาต้องอยู่ที่หมู่บ้านซิ่วเฟิงไปก่อน เพราะถ้าออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนต้องใช้เงิน ต่อให้นำของทั้งหมดในเรือนไปขาย ก็คงรวบรวมเงินได้ไม่กี่ตำลึง อีกอย่าง… ตอนนี้พวกเขาอายุยังน้อย จะสามารถทำงานอะไรได้ วันๆ ก็มีแต่ใช้จ่ายออกไป ไม่มีรายได้เข้ามา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ สักวันก็ต้องอับจนหนทาง เขาไม่อยากเห็นเสวี่ยเจียเยว่มีชีวิตเช่นนั้น อย่างน้อยการอยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงพวกเขายังมีเรือนให้อยู่ บางครั้งยังสามารถขึ้นเขาไปเก็บของป่ามาได้ เรื่องอาหารการกินนั้นย่อมไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน
แต่เสวี่ยเจียเยว่กลับคิดว่าจะต้องไปจากหมู่บ้านซิ่วเฟิง
แม้เธอจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าในอนาคตเสวี่ยหยวนจิ้งจะได้เป็นขุนนาง แต่เมื่อมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในตอนนี้ ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหมือนกับที่เด็กหนุ่มกล่าวมา การอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงนั้น พวกเขาไม่มีทางขาดแคลนเรื่องอาหารการกิน แต่การศึกษาเล่าเรียนของเขาเล่า แม้ว่าเขาจะมีความสามารถ แต่การจะสอบผ่านนั้น หากยังอ่านตำราเดิมๆ ทุกวันเช่นนี้ยังไม่พอ หรือจะให้เขากลับไปเรียนที่สำนักศึกษาแห่งนั้นอีกครั้ง
ทว่า… เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าอาจารย์โจวไม่สามารถสอนเสวี่ยหยวนจิ้งได้แล้ว เพราะความรู้ของเขานั้นสอนได้แค่ในชนบท จะเป็นการดีที่สุดหาก พวกเขาไปที่อำเภอหรือเมืองใหญ่ ที่นั่นต้องมีสำนักศึกษาดีๆ อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นก็หาวิธีทำให้เขาเข้าไปเล่าเรียนในสำนักศึกษาดีๆ สักแห่ง ส่วนเรื่องเงิน หากต้นไม้ขยับเท่ากับตาย แต่ถ้าคนขยับเท่ากับมีชีวิตรอด ไม่ว่าอย่างไรก็มีหนทางเสมอ อีกทั้งคนใจกว้างก็มีอยู่มากมาย โอกาสที่จะได้พบนั้นย่อมมีมากกว่าอยู่ในหมู่ซิ่วเฟิงเสียอีก
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว เขาก็เห็นด้วยกับวิธีของเสวี่ย-เจียเยว่ แต่ตอนนี้ก็คือฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นเป็นอย่างมาก เวลานี้ยังไม่เหมาะที่จะออกเดินทางไกล ดังนั้นทั้งสองคนจึงหารือกันว่าจะรอช่วงฤดูใบไม้ผลิในปีหน้าค่อยไปจากที่นี่ และระหว่างนี้ถ้ามีของในเรือนที่พอจะขายได้ ก็ให้นำออกไปขาย พยายามประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด เพื่อหนทางในอนาคต
หลังจากหารือกันเสร็จก็ถึงยามจื่อ เสวี่ยหยวนจิ้งจึงนอนลงและห่มผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ดึกแล้ว นอนเถอะ”
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนกลัวงู หลังจากเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาตายแล้ว เธอก็มักจะนึกถึงงูที่เลื้อยเข้ามาในห้องนอนแล้วกัดพวกเขา ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็ไม่ยอมนอนอยู่ในห้องเดิมของตนเด็ดขาด
เพราะมีเพียงห้องโถงที่กั้นกลางระหว่างห้องของเธอกับพวกเขาเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่างูนั้นถูกฆ่าไปหมดแล้วหรือยัง หากมันหายไปหนึ่งถึงสองตัวจะทำอย่างไร เมื่อไรที่เสวี่ยเจียเยว่คิดเรื่องนี้ ร่างกายของเธอจะแข็งทื่อขึ้นมาทันที อีกอย่าง… เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาตายอยู่ในเรือน จะให้เธอนอนอยู่ในเรือนนั้นเพียงลำพัง เธอคงไม่กล้าพอ
ตอนกลางคืนในชนบทเดิมทีก็มืดมากอยู่แล้ว ลองนึกถึงภาพที่ตนตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงแปลกๆ บางทีอาจจะเป็นเพียงเสียงหนู หรือเสียงของลมพัดใบไม้ แต่ท่ามกลางความมืดมิดนั้น ก็ยังคงคิดว่าอาจเป็นวิญญาณของคนที่ถูกงูกัดตายก็เป็นได้ ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงเป็นฝ่าย ‘หน้าไม่อาย’ ขอย้ายมานอนกับเสวี่ยหยวนจิ้ง
ประการแรก… เรือนของเด็กหนุ่มไม่ได้อยู่ติดกับเรือนหลัก เธอจึงคิดว่าที่นี่ห่างไกลจากสถานที่เกิดเหตุ และรู้สึกปลอดภัยไม่น้อย ประการที่สอง… ในเรือนนี้มีคนอยู่ด้วย อีกทั้งคนผู้นั้นยังเป็นเสวี่ยหยวนจิ้ง ในใจของเธอก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่กลัวงู และการจะให้แม่นางน้อยนอนอยู่ในเรือนหลักคนเดียวเขาย่อมไม่สบายใจ เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เป็นฝ่ายเอ่ยขอร้อง เขาก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจย้ายฟางกับฟืนที่กองอยู่ในเรือนนี้ทั้งหมดไปไว้ในห้องของอีกฝ่ายในเรือนหลักแทน จากนั้นก็ทำความสะอาด ย้ายเตียงเล็กหลังเดิมของแม่นางน้อยเข้ามา จัดให้นอนอยู่ในบริเวณครึ่งหลังของเรือน ส่วนเขาก็นอนอยู่ที่เดิมของตน จากนั้นก็ผูกเชือกกั้นไว้ที่กลางเรือน แล้วนำผ้าหนึ่งผืนมาพาดเอาไว้ กลายเป็นห้องเล็กสองห้อง
เสวี่ยเจียเยว่นอนห่มผ้าอยู่บนเตียง หลังจากหารือเรื่องอนาคตเสร็จ และได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งบอกว่าดึกแล้ว ให้นอนเถอะ เธอจึงหลับตาลง ไม่นานก็หลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นมาสวมเสื้อคลุมตัวนอกให้เรียบร้อยแล้วลงจากเตียง เมื่อเปิดผ้าตรงกลางเรือนแล้วเดินออกมา เธอก็พบว่าเสวี่ย-หยวนจิ้งลุกออกไปแล้ว ผ้าห่มถูกพับซ้อนกันวางเอาไว้บนเตียงอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อเธอเดินออกไปจากเรือน ก็เห็นเด็กหนุ่มกำลังให้อาหารไก่
หมูสองตัวและวัวอีกหนึ่งตัว พวกเขาตกลงกันแล้วว่าจะขายออกไปให้หมด ไก่พวกนี้เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่อยากจะขายเช่นกัน ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่เห็นด้วย
แม้จะขายหมูกับวัวแล้ว แต่ยังมีเงินไม่พอสำหรับในอนาคต เขากลับต้องการเลี้ยงไก่พวกนี้เอาไว้ เพราะไม่ว่าอย่างไรเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่สามารถกินมังสวิรัติได้ทุกวัน เขาคิดว่าอีกฝ่ายซูบผอมมาก ควรจะบำรุงให้มากกว่านี้