ห้าสิบห้า
ลงโทษคนไม่ดี
เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่ เด็กหนุ่มก็โปรยรำข้าวกำสุดท้ายให้ไก่ จากนั้นจึงเดินไปหาอีกฝ่าย
เสวี่ยหยวนจิ้งทำอาหารเช้าเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และเพราะช่วงนี้เสวี่ย-เจียเยว่ไม่ยอมเข้าไปในเรือนหลัก ทั้งสองคนจึงต้องกินอาหารอยู่บนโต๊ะเล็ก ในเรือนของเด็กหนุ่ม
หลังจากกินเสร็จ เสวี่ยเจียเยว่พบว่าผักในเรือนหมดแล้ว จึงอยากจะไปเด็ดผักสดๆ ที่ทุ่งนากลับมา อีกทั้งสองวันนี้บรรยากาศก็ครึ้มๆ ลมทางเหนือพัดโชยแรงมิใช่น้อย เกรงว่าหิมะจะตกลงมาอีกรอบ ทำให้ต้องตุนอาหารเอาไว้ รวมทั้งฟืนที่ใช้ก่อไฟ ไม่อย่างนั้นตอนที่หิมะตกหนักจนออกจากเรือนไม่ได้ เมื่อต้องการจะกินกลับไม่ได้กิน เมื่อต้องการฟืนกลับไม่มีฟืน หากเป็นเช่นนั้นจะเป็นวันที่ลำบากไม่น้อย
เธอไปหารือเรื่องนี้กับเสวี่ยหยวนจิ้ง แล้วทั้งสองคนก็ตัดสินใจว่าจะขึ้นเขาไปตัดฟืนจำนวนหนึ่ง แล้วค่อยไปเก็บผักที่ทุ่งนาเมื่อลงจากเขา
พอตกลงกันเสร็จสรรพ เสวี่ยหยวนจิ้งก็หามีดปังตอมาเหน็บไว้ที่เอว และนำกริชกับธนูไปด้วย
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะเคยเรียนวรยุทธ์กับผู้เฒ่าหลี่ตอนที่ขึ้นไปบนหุบเขา ทว่าหลังจากกลับมา เป็นเพราะเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาอยู่ที่เรือนทุกวัน เขาจึงไม่ได้ฝึกต่อ แต่ในเมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ในเรือนนอกจากเสวี่ยเจียเยว่ เสวี่ย-หยวนจิ้งจึงไม่คิดจะสนใจสิ่งใด ทุกเช้าเขาออกมาจากเรือน ก่อนจะลองฝึกกระบวนท่าตามตำราเพลงยุทธ์ที่ผู้เฒ่าหลี่มอบให้ และรวบรวมเคล็ดวิชาสงบใจ จากนั้นจึงเริ่มฝึกฝนไปทีละกระบวนท่า แม้แต่ทักษะการยิงธนูของเขาก็ชำนาญขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถยิงออกไปได้อย่างคล่องแคล่วไร้ที่ติ
ขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังฝึกวรยุทธ์อยู่นั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็นั่งจัดการเรื่องของตนอยู่ข้างๆ
เธอจะเด็ดผัก บางครั้งก็ซาวข้าว เก็บหินเล็กๆ ที่ปนมากับเมล็ดข้าวทิ้ง บางคราวไปตากผ้า หรือไม่ก็นั่งดูเด็กหนุ่มฝึกวรยุทธ์ไปทีละกระบวนท่า
เสวี่ยเจียเยว่ไม่เคยคิดอยากจะให้เขาสอน ประการแรก… เธอรู้สึกว่าตนไม่สามารถอดทนกับเรื่องเหล่านี้ได้ ประการที่สอง… เธอไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ ประการที่สาม… เป็นเพราะเสวี่ยหยวนจิ้งกราบผู้เฒ่าหลี่เป็นอาจารย์ในตอนนั้น ชายชราถึงได้สอนเด็กหนุ่ม ถ้าเธอขอร้องให้สอน เขาก็อาจจะตอบตกลง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีความยินยอมจากผู้เฒ่าหลี่ เกรงว่าเสวี่ย-หยวนจิ้งจะลำบากใจเอาได้ ซึ่งเธอไม่อยากให้เขาลำบากใจ ถึงได้เลือกนั่งมองเขาเท่านั้น
พอเห็นเด็กหนุ่มเตรียมธนูไปด้วย เสวี่ยเจียเยว่ก็เอ่ยถามเขา “ท่านพี่ พวกเราแค่จะไปตัดฟืนที่เชิงเขา ท่านจะนำธนูไปด้วยทำไมเจ้าคะ”
น้อยนักที่จะมีสัตว์ป่าอยู่ที่เชิงเขา หรือแม้ว่าจะมี ก็คงถูกคนล่าไปหมดแล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบางพลางเอ่ย “นำไปด้วย บางทีอาจจะได้ใช้ประโยชน์”
เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ หลังจากพวกเขาตัดฟืนเสร็จ ระหว่างทางกลับมาตอนที่เดินผ่านทะเลสาบ โชคดีเจอเป็ดป่าฝูงหนึ่งที่ตกใจจนบินหนี เสวี่ย-หยวนจิ้งจึงยิงธนูใส่พวกมันจนได้เป็ดป่ามาสามตัว
เสวี่ยเจียเยว่รีบเดินไปเก็บ จากนั้นก็บอกให้เสวี่ยหยวนจิ้งแกะมัดฟืนสองมัดออก แล้วนำเป็ดป่าใส่เข้าไปตรงกลาง ก่อนจะมัดฟืนปกปิดเอาไว้อย่างดี โดยในฟืนมัดหนึ่งมีเป็ดป่าสองตัว และอีกมัดมีเป็ดป่าหนึ่งตัว ทำเช่นนี้คนอื่นจะได้มองไม่ออกว่าด้านในนั้นคืออะไร
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ต้องการไว้ทุกข์ให้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา แต่ในภพนี้… ภายในสามปีหลังจากบิดามารดาลาโลกไป บุตรจะไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ จึงต้องซ่อนจากหูตาของคนอื่น
จากนั้นพวกเขาไปเก็บผักกวางตุ้ง ผักโขม และหัวไช้เท้าในที่นาของตน และเพราะตอนนี้อากาศหนาวมาก ผักพวกนี้สามารถเก็บไว้ได้นาน เสวี่ยเจียเยว่จึงเก็บมาเป็นจำนวนมาก วางแผนว่าจะทำอาหารกินทีละน้อย
ระหว่างทางที่พวกเขาเดินกลับ ก็ได้พบเสวี่ยเหล่าซาน
เสื้อผ้าของชายหนุ่มคือชุดเดิมที่ทั้งสกปรกและขาดวิ่น ผมเผ้าก็ไม่รู้ว่าไม่สระมานานเท่าไรแล้ว เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าเส้นผมของเขาพันกันยุ่งเหยิงจนแยกไม่ออก
เธอไม่อยากสนใจเสวี่ยเหล่าซาน จึงหลบไปด้านหลังของเสวี่ยหยวนจิ้ง เด็กหนุ่มเองก็ไม่อยากสนใจเขาเช่นเดียวกัน จึงหาบมัดฟืนเดินไปข้างหน้าเงียบๆ
แต่เสวี่ยเหล่าซานเหมือนมองไม่เห็นท่าทีรังเกียจของพวกเขา สองมือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนจะเดินไปหาด้วยรอยยิ้มเบิกบาน และเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่
“น้องเอ้อร์ยา พี่ซานไม่เห็นเจ้าหลายวันแล้ว เจ้าโตขึ้นนับวันก็ยิ่งงดงาม หากมีเวลาว่างมานั่งเล่นที่เรือนของพี่ซานดีหรือไม่ พี่ซานจะทำซาลาเปาไส้เนื้อให้เจ้ากิน”
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ค่อยออกจากเรือนอยู่แล้ว เพราะช่วงนี้อากาศหนาว นับวันเธอยิ่งขี้เกียจออกไปข้างนอก เพียงฝึกคัดตัวอักษรเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น
เมื่อได้ยินเสวี่ยเหล่าซานเอ่ยเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็ขมวดคิ้วแน่นทันที และไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำเชิญชวนของเขาด้วย
เสวี่ยหยวนจิ้งมองเสวี่ยเหล่าซานด้วยแววตาเย็นชาและคมดั่งคมดาบ ซึ่งทำให้จิตใจของคนมองสั่นสะท้าน
จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงเปลี่ยนไม้คานจากไหล่ซ้ายไปที่ไหล่ขวา
ทางเดินในชนบทแคบอยู่แล้ว อีกทั้งไม้คานก็ยาว เมื่อเขาย้ายไปที่ไหล่อีกข้างฉับพลันเช่นนี้ ฟืนที่แขวนอยู่ก็เหวี่ยงไปโดนเสวี่ยเหล่าซานอย่างจัง
เสวี่ยเหล่าซานหลบไม่ทัน จึงถูกฟืนครูดใบหน้าจนเป็นแผล ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำให้เขายืนไม่มั่นคงจนเซล้มไปด้านข้าง
ด้านข้างของเขาคือธารน้ำกว้างประมาณสามฉื่อ แม้ว่าตอนนี้อากาศจะหนาวแล้วและน้ำก็มีไม่มาก แต่ด้านล่างนั้นยังมีโคลนตม ทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง เสวี่ยเจียเยว่ก็หันไปมอง พบว่าเสวี่ยเหล่าซานตกลงไปในธารน้ำเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งตัวยังเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนสีดำ ท่าทางดูอับอายไม่น้อย
เสวี่ยเจียเยว่อดไม่ได้จึงหัวเราะออกมา เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมองด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนจะพยักหน้าให้เสวี่ยเหล่าซานที่กำลังลุกขึ้นจากโคลน
“ข้าพลั้งมือไป ขออภัยด้วย”
เสวี่ยเหล่าซานเดือดดาลทันที ขณะที่เขากำลังจะกระโดดขึ้นมาด่านั้น จู่ๆ ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยกมีดปังตอขึ้นมา คมมีดนั้นเป็นสีขาวราวหิมะ ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มจับจ้องมาที่เขาด้วยสายตาคมกริบยิ่งกว่ามีดเล่มนั้นหลายเท่า เขาจึงหดคอลงอย่างขลาดกลัวทันที
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่คิดจะสนใจเขาอีกต่อไป จากนั้นก็เรียกเสวี่ยเจียเยว่เดินกลับไปพร้อมกับเขา
ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่งดงามไม่น้อย… งดงามเหมือนดอกไห่ถังที่บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่แย้มยิ้ม ราวกับมีแสงสว่างอยู่ในดวงตาคู่นั้น ทำให้เขาไม่กล้ามองตรงๆ เมื่อเริ่มโตขึ้น ใบหน้าที่งดงามนั้นคงตรึงใจคนมองยิ่งขึ้น และจะทำให้บุรุษปรารถนาในตัวแม่นางผู้นี้ไม่น้อย
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด เสวี่ยหยวนจิ้งคิดในใจว่า ต่อไปเขาจะปกป้องเสวี่ยเจียเยว่ให้ดีที่สุด จะไม่ให้อีกฝ่ายแต่งงานกับใครตามอำเภอใจ สามีของแม่นางผู้นี้ เขาจะต้องได้เห็นกับตาของตัวเอง และพิจารณาหลายๆ อย่างเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าบุรุษผู้นั้นเป็นคนดี ถึงจะยอมให้เสวี่ยเจียเยว่แต่งงานไป เขาต้องรับผิดชอบในฐานะพี่ชายอย่างถึงที่สุด
เมื่อทั้งสองคนกลับมาถึงเรือน เสวี่ยหยวนจิ้งก็แกะเชือกมัดฟืนออก และหยิบเป็ดป่าสามตัวนั้นออกมา ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็หยิบผักออกมาจากตะกร้าหวาย แล้วกองไว้บนพื้นทีละกำ
แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาว แต่ก็ต้องจัดการกับเป็ดป่าสักหน่อย เมื่อเธอ
ต้มน้ำหม้อใหญ่แล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่ยอมให้เธอทำเป็ดสามตัวนั้น แต่เขาจะเป็นคนทำเองทั้งหมด
เป็ดป่าหนึ่งตัวจะใช้เป็นอาหารในตอนเย็น ส่วนอีกสองตัวก็ใช้เกลือหมักทิ้งไว้ รอตอนที่อากาศดีค่อยนำไปตากแดด
เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ ทั้งสองคนก็พูดคุยกันครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นไปนอนบนเตียงของตน
ชีวิตในแต่ละวันผ่านไปอย่างเรียบง่ายและอบอุ่นไม่ใช่น้อยจนเวลาล่วงเลยมาถึงเดือนสิบสองโดยไม่รู้ตัว
เพราะในหมู่บ้านมีคนที่ไม่ได้เรียนในสำนักศึกษาอยู่มาก และคนที่จะเขียนตัวอักษรได้ดีก็มีไม่มากเช่นกัน เมื่อถึงเดือนสิบสองชาวบ้านจึงเตรียมกระดาษสีแดงมาขอให้เสวี่ยหยวนจิ้งเขียนคำกลอนมงคลให้พวกเขา หลังจากเขียนคำกลอนเสร็จแล้ว พวกเขาก็มอบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นค่าเหนื่อยของเสวี่ยหยวนจิ้ง
มีทั้งไข่ไก่ ผลไม้ป่าแห้ง สุราที่หมักจากข้าว ถั่วเขียว ผักตากแห้ง ไป๋ถังเกา[33]ทอด แม้ว่าของเหล่านี้จะไม่มีราคามากนัก แต่ก็ทำให้ชีวิตของเสวี่ย-เจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งดีขึ้นเป็นอย่างมาก และเป็นปีที่ดีปีหนึ่งเลยก็ว่าได้
เพราะวันที่สิบเก้าเดือนสิบสองเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ[34] ดังนั้นอากาศทั้งเดือนจึงอบอุ่น และเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งก็เริ่มเตรียมตัวออกจากหมู่บ้านไร่นาของครอบครัวนั้น พวกเขาขายให้แก่ชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันไปแล้ว
ที่นาดินดีหนึ่งหมู่[35] สามารถขายได้สิบกว่าตำลึง แต่หมู่บ้านซิ่วเฟิงอยู่ห่างไกลความเจริญ ดังนั้นแม้จะเป็นที่นาดินดีเพียงใด ก็ขายได้ไม่ถึงราคานั้นอยู่ดี พวกเขาจึงขายที่นาสองหมู่ได้เงินมาเพียงสิบห้าตำลึง
วัวหนึ่งตัวกับหมูอีกสองตัวล้วนขายออกไปหมดแล้ว ซึ่งได้เงินประมาณห้าตำลึง เมื่อรวมกับเงินแปดตำลึงที่หาเจอในห้องเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาวันนั้น และเงินจากการขายของเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นที่พอจะขายได้ในเรือน ตอนนี้พวกเขาก็มีเงินอยู่กับตัวราวสามสิบตำลึง
ความจริงแล้วเงินจำนวนนี้ถือว่ามากพอ แต่เมื่อนึกถึงคนสองคนต้องออกไปเช่าที่พักในอำเภอรวมทั้งในเมือง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องใช้ในอนาคต ไหนจะต้องหาวิธีให้เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าเรียนในสำนักศึกษาดีๆ สักแห่ง เงินจำนวนนี้ก็ยังห่างไกลจากคำว่าพอใช้มากนัก
ทว่าเมื่อถึงเวลาก็มักจะมีทางออกเสมอ สถานที่ที่มีคนมาก โอกาสที่จะได้พบทางออกก็มีมากเช่นกัน ไม่อย่างนั้นหากอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ต่อไป เสวี่ยเจียเยว่เกรงว่าการเรียนของเสวี่ยหยวนจิ้งจะล่าช้าไปอีก
ถึงอย่างไรเขาจะต้องได้เป็นขุนนางในอนาคต เธอไม่เชื่อว่าทั้งสองจะอดตายเมื่อออกไปสู่โลกภายนอก
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที
หลังจากเก็บเงินทั้งหมดใส่ไว้ในถุงผ้าและวางไว้ใต้หมอนเรียบร้อยแล้ว เธอก็ลุกจากเตียงเพื่อไปเข้าห้องน้ำ
ขณะที่เดินมาถึงลานเรือน ก็เห็นคนกำลังปีนกำแพงเรือนแม่ม่ายจ้าว
ตั้งแต่รู้เรื่องของนาง และได้เห็นหัวหน้าหมู่บ้านปีนกำแพงเรือนของแม่ม่ายจ้าวกับตาตัวเอง เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกชินกับเรื่องนี้ไปเสียแล้ว
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนผู้นั้นเห็น เธอจึงย่องไปซ่อนในมุมมืดไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก ขณะเดียวกันสายตาก็จับจ้องไปทางนั้น ภายใต้แสงจันทร์และแสงดาว ก็เห็นว่าคนผู้นั้นคือหัวหน้าหมู่บ้าน
จนกระทั่งหัวหน้าหมู่บ้านเข้าไปในเรือนเล็กของแม่ม่ายจ้าวแล้ว เสวี่ย-เจียเยว่ถึงได้ออกมาจากที่ซ่อน หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จ เธอก็รีบวิ่งเข้าไปนอนบนเตียงของตน
อีกไม่นานจะได้ออกไปจากหมู่บ้านซิ่วเฟิงแล้ว เรื่องนี้เธอจะถือเสียว่าไม่เคยเห็น ไม่อย่างนั้นหากเดือดร้อนมาถึงตัวคงไม่ใช่เรื่องดี
[33] คือปาท่องโก๋
[34] ปฏิทินจันทรคติในแต่ละปีนั้น ฤดูกาลต่างๆ จะไม่ตรงกัน เดือนสิบสองในที่นี้คือช่วงระหว่างปลายเดือนมกราคมจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิ
[35] หมู่ (ไร่จีน) 1 หมู่ เท่ากับ 166.5 ตารางวา