ห้าสิบหก

วางแผน

ช่วงนี้แม่ม่ายจ้าวกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก เพราะมารดาของนางมาเยี่ยม

มารดามาขอให้นางแต่งงานอีกครั้ง ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงก็เกลี้ยกล่อมนางไม่หยุดหย่อน เมื่อเกลี้ยกล่อมไม่ได้จึงต้องดุด่า สุดท้ายนางบอกว่า หากลูกสาวไม่ยอมแต่งงานใหม่ นางก็จะอยู่ที่เรือน จะไม่ไปไหน

ทว่าแม่ม่ายจ้าวไม่อยากแต่งงานใหม่

เหตุผลของนางก็คือ แต่งงานใหม่มีประโยชน์อันใด นางเคยออกเรือนมาแล้วครั้งหนึ่ง ทั้งยังมีลูกชายหนึ่งคน จะหาคนดีๆ ที่ไหนมาแต่งกับนางได้ หากที่เรือนสามีมีแม่สามี นางจะต้องแบกรับอารมณ์ของแม่สามีอีก มีอะไรที่ดีกว่าความเป็นอยู่ของนางในตอนนี้เล่า ไม่ว่าจะเป็นเรือนหรือที่นาก็ล้วนเป็นของตน ไม่ต้องคอยปรนนิบัติเอาใจแม่สามี ส่วนบุรุษในหมู่บ้านแห่งนี้ ยังมีผู้ใดบ้างที่ไม่ยอมสยบใต้กระโปรงของนาง กระทั่งยังสามารถเปลี่ยนบุรุษได้ทุกคืน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาให้เงินนางใช้ แล้วจะไม่ดีได้อย่างไร

มารดาของนางได้ยินดังนั้น ก็เดือดดาลจนร่างสั่นเทา ด่าว่านางไร้ยางอาย ทว่าแม่ม่ายจ้าวปล่อยให้มารดาด่าตามใจโดยไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ

สามีคนแรกบิดามารดาเป็นผู้เลือกให้ ถ้าจะมีสามีคนที่สอง นางขอเลือกเอง แม้จะเป็นมารดาแท้ๆ แต่ถ้าแม่ม่ายจ้าวไม่ยอมแต่งงานอีกครั้ง อีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายคงทำได้เพียงบอกว่าหากนางไม่ยอมแต่ง ตนก็จะไม่ยอมกลับ อีกทั้งเมื่อมีมารดาคอยเฝ้าดูอยู่ตรงนี้ ก็จะยับยั้งการกระทำไร้ยางอายของแม่ม่ายจ้าวที่ทำให้มารดาถูกคนอื่นนินทาไปด้วย

ตอนนี้แม่ม่ายเจ้าจนปัญญากับมารดาแล้วจริงๆ

หลังจากสามีของนางตาย แม่ม่ายจ้าวคุ้นชินกับการใช้ชีวิตเช่นนี้ในทุกคืนแล้ว หากไม่มีบุรุษสักคืนสองคืน นางยังสามารถอดทนได้ แต่ถ้าไม่มีบุรุษติดต่อกันหลายๆ คืน นางคงทนไม่ได้

เหมือนกับปลาที่ถูกโยนขึ้นฝั่ง ห่างจากน้ำครู่หนึ่งยังอยู่ได้ แต่ถ้าผ่านไปเป็นเวลานาน ปลาตัวนั้นก็ต้องตายอย่างแน่นอน อีกทั้งช่วงนี้นางกำลังสนิทสนมกับหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือเงินเขาล้วนทำให้นางพึงพอใจเป็นอย่างมาก นางไม่อยากทิ้งบุรุษที่เปรียบดั่งทองผู้นี้ไป หัวหน้าหมู่บ้านกำลังรักกำลังหลงนางอย่างหนัก แทบจะมาหาทุกคืน แต่น่าเสียดายที่มารดาของนางยังอยู่ที่นี่ เขาจะมาหาได้อย่างไร

ในที่สุดทั้งสองคนก็คิดหาหนทางออก

เรือนของแม่ม่ายจ้าวนั้นเป็นเหมือนกับเรือนของเสวี่ยเจียเยว่ คือมีเรือนหลักและเรือนเล็กที่มุงหลังคาด้วยหญ้าอีกสองหลัง เรือนเล็กหลังหนึ่งใช้เป็นเรือนเก็บฟืน อีกหลังใช้เป็นคอกหมู นางกับหัวหน้าหมู่บ้านหารือกันว่า ต่อไปเมื่อเขาปีนข้ามกำแพงมาแล้ว ไม่ต้องตรงเข้าไปที่เรือนหลัก แต่ให้เขาตรงไปที่เรือนเก็บฟืน หลังจากมารดากับลูกชายของนางหลับแล้ว นางก็จะไปหาเขาเอง

ทว่าทำเช่นนี้คิดว่าเทพไม่รู้ผีไม่เห็นอย่างนั้นหรือ…

พวกเขาไม่ได้ระวังเสวี่ยเจียเยว่ที่แอบมองทุกการกระทำอยู่ในมุมมืดด้วยแววตาเย็นชา ตอนที่เธอออกมาเข้าห้องน้ำในยามกลางคืน ทั้งยังได้ยินบทสนทนาของพวกเขา แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับใคร เพียงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น

อากาศเริ่มอบอุ่น พืชนานาชนิดก็แตกหน่อผลิใบ และต้นท้อที่อยู่ในลานเรือนของพวกเขาเริ่มออกดอกงดงามไม่น้อย

เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เตรียมตัวออกไปจากหมู่บ้านซิ่วเฟิง เนื่องจากหิมะตกหนักเมื่อเดือนสิบสองที่ผ่านมา ทำให้เรือนของชาวบ้านถูกหิมะทับถมจนชำรุด แม้ว่าจะผ่านพ้นฤดูหนาวมาแล้ว แต่ถ้าต้องการจะสร้างเรือนใหม่นั้นเป็นเรื่องวุ่นวายและสิ้นเปลืองไม่ใช่น้อย เมื่อรู้ว่าพวกเขาจะออกไปจากหมู่บ้านนี้ ก็มีชาวบ้านอยากจะซื้อเรือนของพวกเขาเอาไว้ วันนี้เสวี่ย-หยวนจิ้งจึงออกไปเจรจาเรื่องนี้กับครอบครัวนั้น เหลือเพียงเสวี่ยเจียเยว่ที่ต้องจัดการกับของที่ต้องการนำติดตัวไปด้วย

ขณะที่จัดของอยู่นั้น เธอได้ยินเสียงคนตะโกนอยู่ในลาน

“มีคนอยู่หรือไม่!”

เมื่อเดินออกไปดูก็พบเสวี่ยเหล่าซานกำลังยืนเอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ ทั้งยังยืดคอสอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณเรือน

ตอนกลางวันชาวบ้านในชนบทจะไม่ปิดประตูเรือนและประตูลาน ไม่อย่างนั้นจะถูกคนอื่นนินทาลับหลังเอาได้ แต่เมื่อตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่เห็นเสวี่ย-เหล่าซานยืนอยู่ในลานเรือนของตน เธอก็คิดว่าควรจะปิดประตูลาน ต่อให้คนนินทาลับหลังก็พร้อมจะยอมรับ

เพราะไม่อยากพบหน้าเสวี่ยเหล่าซาน เสวี่ยเจียเยว่จึงขมวดคิ้ว และเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ

“เจ้ามีเรื่องอันใด”

‘หากไม่มีเรื่องอะไรก็ไสหัวไป ที่นี่ไม่มีใครอยากพบหน้าแก’

เสวี่ยเหล่าซานยังคงทำหน้าทะเล้นเช่นที่เคยทำเป็นประจำ ก่อนจะเดินเข้าใกล้เรือนแล้วเอ่ย “เมื่อครู่นี้พี่ซานเห็นพี่ชายเจ้าเดินไปทางหน้าหมู่บ้าน พอคิดได้ว่าน้องเอ้อร์ยาต้องอยู่คนเดียว เลยอยากจะมาอยู่คุยกับเจ้า”

เสวี่ยเจียเยว่เลิกคิ้ว ที่แท้เสวี่ยเหล่าซานก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยู่ถึงได้มาที่นี่ จริงสิ ครั้งที่แล้วเด็กหนุ่มทำให้เขาตกลงไปในธารน้ำที่เต็มไปด้วยโคลน เรื่องนั้นคงจะติดอยู่ในใจเขาไม่หาย

เธอเหลือบไปเห็นไม้กวาดไม้ไผ่ด้ามใหญ่ที่วางอยู่ข้างกำแพง จึงเดินไปหยิบขึ้นมา มีอาวุธอยู่ในมือสักชิ้นก็ยังดี ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังตั้งใจเดินไปยืนอยู่ใกล้ประตูลาน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะวิ่งออกไปข้างนอกทันที เสวี่ยเหล่า-ซานก็ไม่มีทางทำอะไรเธอได้

จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็พูดกับเสวี่ยเหล่าซาน “พี่ข้าออกไปเจรจาธุระ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาอยู่คุยกับข้า เจ้ารีบกลับไปเถอะ ไม่อย่างนั้นหากพี่ข้ากลับมาแล้วเห็นว่าเจ้ายังอยู่ที่นี่ เขาจะไม่พอใจเอาได้”

ถึงอย่างไรเธอก็จะออกไปจากที่นี่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำตัวนอบน้อมกับเขา หากอยากจะพูดอะไรก็พูดออกไปเลย

ทว่าเสวี่ยเหล่าซานกลับเป็นคนหน้าหนา เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาไม่เพียงไม่มีทีท่าว่าจะไป ยังเดินเข้ามาใกล้ๆ เสวี่ยเจียเยว่จึงยกไม้กวาดขึ้นเล็งไปที่เขาทันที ใบหน้าน่ารักกลายเป็นเคร่งขรึมทันใด

เสวี่ยเหล่าซานไม่เคยหวาดกลัวเสวี่ยเจียเยว่ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบ แต่ในใจของเขากลับหวาดกลัวเสวี่ยหยวนจิ้ง

เขามีอายุมากกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเจ็ดปี แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อได้สบประสานกับนัยน์ตาดำขลับอันเย็นชาคู่นั้น เขาก็มักจะรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาทันที

ยามนี้เขาจึงไม่ได้เดินเข้าไปใกล้เสวี่ยเจียเยว่มากนัก แต่หยุดยืนให้ห่างในระยะหนึ่ง และยังคงยิ้มแย้มราวกับอยากให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ตนอย่างไรอย่างนั้น

จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้น “เมื่อวานข้าพูดกับหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว เรื่องการตายของพ่อแม่เจ้า ที่เป็นเพราะพวกเขากินงูตัวนั้น ทำให้งูตัวอื่นมาแก้แค้นจนตายอะไรนั่น พวกเจ้าหลอกคนอื่นในหมู่บ้านได้ แต่หลอกข้าไม่ได้ ข้าไม่เชื่อว่าพ่อกับแม่เจ้าถูกงูกัดตาย”

เสวี่ยเจียเยว่พลันหัวใจสั่นสะท้าน ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “หือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าพ่อกับแม่ข้าตายเพราะอะไรเล่า”

เสวี่ยเหล่าซานเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนั้นใครจะไปรู้ แต่ปกติพ่อกับแม่เจ้าก็ไม่ได้ดีต่อเจ้ากับพี่ชายอยู่แล้ว พี่ชายเจ้าดูเป็นคนนิ่งขรึม ไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องคนอื่น ข้าจำได้ว่าหลายวันก่อนที่พ่อกับแม่ของเจ้าจะตาย ข้าเดินผ่านประตูลานเรือนนี้ ก็เห็นพ่อเจ้ากำลังใช้ไม้ท่อนใหญ่มากตีเขา ตอนนั้นข้ายืนดูอยู่พักหนึ่ง เฮ้อ… การตีในครั้งนั้น แม้แต่การลงโทษคนในคุกของทางการยังไม่รุนแรงเช่นนี้ พี่ชายเจ้าจะไม่รู้สึกเกลียดชังในใจได้อย่างไร เมื่อพ่อกับแม่ของเจ้าตายอย่างกะทันหัน ก็ยากที่จะคิดว่าเรื่องนี้เป็นความบังเอิญ”

เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้น หัวใจของเธอก็เต้นแรงทันที

มิใช่เพราะเสวี่ยเหล่าซานเอ่ยเช่นนี้เพื่อข่มขู่ ความจริงเธอรู้ว่าเขาเพียงสงสัยเท่านั้น เขาไม่มีหลักฐานจริงๆ เช่นนั้นคงนำออกมานานแล้ว เหตุใดต้องรอจนถึงตอนนี้ถึงได้มาพูดกับเธอ แต่เรื่องที่ทำให้เธอปวดใจก็คือ วันนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งถูกเสวี่ยหย่งฝูตีอย่างรุนแรงจนมีสภาพเช่นนั้น ทว่าตอนที่เธอถาม เขากลับบอกว่าไม่เป็นอะไร เพื่อไม่ให้เธอต้องกังวล

เมื่อเสวี่ยเหล่าซานเห็นเสวี่ยเจียเยว่ไม่พูดไม่จา ก็คิดว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นถูกต้องแล้ว ทำให้เขายิ่งตื่นเต้น

เขายิ้มเผยให้เห็นฟันสีเหลืองที่ไม่รู้ว่าไม่ได้บ้วนปากมานานเท่าไร “ทำไมเล่า ข้าพูดแทงใจดำใช่หรือไม่ เจ้ากลัวว่าข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านหรือไม่”

กลัวผีหัวโตอย่างเขาเช่นนั้นหรือ และไม่ต้องเอ่ยถึงเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา ตอนนี้แม้แต่กระดูกก็คงแตกละเอียดแล้ว ถึงอย่างไรก็ตายไปโดยไม่มีหลักฐาน อาศัยแค่คำพูดไร้สาระของชายผู้นี้ ใครจะเชื่อเล่า

แต่คนเช่นนี้ก็ช่างน่ารำคาญจริงๆ ช่วงนี้เขามักจะมาหาพวกเขาที่เรือน ต่อไปคงจะมาบ่อยขึ้น ถ้าปล่อยให้เขาไปสร้างข่าวลือในหมู่บ้าน บอกว่าเสวี่ย-หยวนจิ้งเป็นคนฆ่าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา เรื่องนี้คงไม่เป็นผลดีกับเธอและเด็กหนุ่มอย่างแน่นอน

ต้องคิดหาวิธีทำให้เขาออกไปจากหมู่บ้านนี้

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ตอบคำถามของเขา แต่เอ่ยถามกลับไป “เจ้าคิดอย่างไร”

เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามเช่นนี้ เสวี่ยเหล่าซานก็คิดว่าอีกฝ่ายหวาดกลัว จึงรีบเอ่ยเจตนารมณ์ของตนด้วยรอยยิ้ม

“น้องเอ้อร์ยา เจ้าก็รู้ว่าพี่ซานพอใจในตัวเจ้า วันที่เดินผ่านประตูลาน ก็ได้ยินคำที่พ่อของเจ้าด่าพี่ชายเจ้า เขาแตะต้องเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ในเมื่อเจ้าถูกพ่อ… ความจริงก็คือพ่อเลี้ยงแตะต้องแล้ว ตอนนี้เจ้าจะมาทำตัวเหมือนหญิงพรหมจรรย์ต่อหน้าพี่ซานไปเพื่ออันใดกัน ให้พี่ซานได้ลิ้มลองเจ้าบ้างเถอะ พี่ซานจะดูแลเจ้าอย่างดี ต่อไปจะทำซาลาเปาไส้เนื้อให้เจ้ากินทุกวัน”

‘ซาลาเปาไส้เนื้อบ้านแกสิ ตอนนี้ฉันอยากจะเอาแกมาทำเป็นซาลาเปาไส้เนื้อเต็มทีแล้ว’

เสวี่ยเจียเยว่สบถด่าในใจ แต่ยังคงแสร้งทำสีหน้าสงสัย ขณะเดียวกันก็คิดว่าควรจะทำอย่างไรดี

เธอไม่สามารถปล่อยให้เสวี่ยเหล่าซานเอาเปรียบได้ และหัวหน้าหมู่บ้านผู้นั้น วันที่เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาตาย เขาก็เค้นถามเสวี่ยหยวนจิ้งกับเธอไม่หยุด ต่อหน้าคนอื่นทำตัวน่าเกรงขาม แต่ลับหลังกลับแอบคบชู้นอกใจภรรยาของตน ช่างหน้าไม่อายจริงๆ

เสวี่ยเจียเยว่คิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หาทางออกได้

เธอแสร้งทำท่าทางเขินอาย “พี่ซาน ท่านอย่าพูดเช่นนี้ ซาลาเปาไส้เนื้ออะไรกัน นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ ข้ารู้ว่าพี่ซานเป็นคนดี แต่ท่านก็รู้ว่าตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ที่เรือนคนเดียว พี่ชายข้าก็อยู่ด้วย ท่านมาที่นี่เกรงว่าจะไม่สะดวก”

เสวี่ยเหล่าซานมีความหวังขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายแวววาว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปเรือนข้าดีหรือไม่ ข้าอยู่คนเดียว สะดวกกว่าเรือนเจ้ามาก”