ห้าสิบเจ็ด

ดาบคืนสนอง

เสวี่ยเจียเยว่สบถด่าในใจ ทว่าแสร้งทำสีหน้าลำบากใจ “ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านก็รู้ว่าพี่ชายข้าจับตาดูอย่างเข้มงวดเพียงใด ข้าออกไปง่ายๆ ไม่ได้เจ้าค่ะ”

“เช่นนี้ก็ไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ได้ เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่” เสวี่ยเหล่าซานเริ่มร้อนใจ “หรือจะให้ข้าทำได้แค่มอง แต่แตะต้องไม่ได้”

ท่าทางกระวนกระวายเช่นนี้ช่างน่าโดนตบสักครั้ง

เสวี่ยเจียเยว่ไม่อ้ำอึ้งอีกต่อไป เธอชี้ไปด้านหลังแล้วเอ่ยกระซิบ “พี่ซาน ท่านเห็นเรือนเล็กสองหลังในลานเรือนของแม่ม่ายจ้าวหรือไม่”

เรือนเล็กที่มุงหลังคาด้วยหญ้าสองหลังในลานเรือนของแม่ม่ายจ้าวนั้น อยู่ใกล้กับเรือนเล็กสองหลังในลานเรือนของเสวี่ยเจียเยว่ โดยมีกำแพงสองชั้นกั้นไว้ ระหว่างกำแพงทั้งสองก็เป็นซอกเล็กๆ ซึ่งดีต่อการเจริญเติบโตของต้นพุทราป่า

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “เรือนสองหลังของแม่ม่ายจ้าว ฝั่งซ้ายเป็นเรือนเก็บฟืน โดยปกติแล้วจะไม่ลงกลอน ตอนกลางคืนก็ไม่มีใครเดินผ่านไปผ่านมา เมื่อตกดึกพวกแม่ม่ายจ้าวก็คงหลับกันแล้ว ท่านจงแอบปีนข้ามกำแพงเข้าไปรอในเรือนเก็บฟืนของนาง ข้าจะรอพี่ชายหลับก่อน ค่อยปีนต้นพุทราข้ามกำแพงไปหาท่าน พอถึงตอนนั้นไม่เพียงคนเท่านั้นที่ไม่รู้ แม้แต่ผีก็ยังไม่เห็น แล้วจะมีใครรู้เล่า แต่ข้าเป็นคนขี้อาย ท่านรออยู่ในเรือนเก็บฟืน อย่าได้ส่งเสียงออกมาเด็ดขาด แม้ว่าจะเห็นข้าเปิดประตูเข้าไป ท่านก็อย่าได้ส่งเสียง ไม่อย่างนั้นข้าจะโกรธท่านแล้วจะไม่ทำดีกับท่านอีกต่อไป”

ขณะนี้สมองของเสวี่ยเหล่าซานเหมือนกับแมลงทับทอง ไหนเลยจะคิดเรื่องอื่นได้ อีกทั้งเขายังไม่ใช่คนฉลาดเป็นทุนเดิม เมื่อได้ยินเสวี่ยเจียเยว่พูดเช่นนั้น เขาก็ไม่สงสัยแม้แต่น้อย เพียงคิดว่าอีกฝ่ายกลัวคำขู่ของตนเมื่อครู่นี้ จึงยอมโอนอ่อนผ่อนตามตอบรับทันที

เสวี่ยเจียเยว่ดีใจยิ่งนักเมื่อเห็นเขาติดกับ กระนั้นก็ต้องเอ่ยต่อ “ตอนนี้ท่านกลับไปก่อนเถิด ระวังอย่าให้ใครเห็นพิรุธ ท่านจงจำไว้ว่าตอนค่ำต้องมาเร็วๆ หน่อย พอถึงตอนนั้นอย่าได้เอ่ยอะไรออกมา”

เสวี่ยเหล่าซานดีใจจนระบายยิ้มออกมา “น้องเอ้อร์ยา คืนนี้รอพี่ซานนะ พอถึงตอนนั้นพี่ซานจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี”

เมื่อเขากล่าวจบก็เดินออกจากประตูลานไปด้วยรอยยิ้ม

ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเดินกลับมาพอดี เสวี่ย-เหล่าซานรู้สึกราวกับถูกบีบคอแน่นก็ไม่ปาน กระทั่งยิ้มก็ยังยิ้มไม่ออก ลำคอของเขาหดลงทันที ไม่แม้แต่จะกล้ามองเด็กหนุ่ม เพียงรีบก้มหน้าเดินจากไป

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเสวี่ยเหล่าซานเดินออกมาจากลานเรือน ก็เป็นห่วงเสวี่ยเจียเยว่ยิ่งนัก เขาจึงรีบเข้าประตูลาน และพบว่าอีกฝ่ายกำลังถือไม้กวาดอยู่

“เยว่เอ๋อร์” เขาเรียกออกมา

แม้ว่าเด็กหนุ่มจะตั้งชื่อให้เสวี่ยเจียเยว่นานแล้ว ทว่าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวายังมีชีวิตอยู่ ตอนที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา เขาจึงเรียกแม่นางน้อยว่าเอ้อร์ยา และเรียก ‘เยว่เอ๋อร์’ ในวันที่เขาทำร้ายเสวี่ยหย่งฝูจนหมดสติ แต่ตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแล้ว เขาจึงเรียกเช่นนี้ได้อย่างเปิดเผย

เสวี่ยเจียเยว่หันไปทันที เมื่อพบว่าเป็นเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอก็โยนไม้กวาดในมือทิ้งไป ก่อนจะเรียกเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้วหรือ”

เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้า จากนั้นก็ชี้ไปยังทางที่เสวี่ยเหล่าซานเดินไป แล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม “เขามาทำอะไร ได้รังแกเจ้าหรือไม่”

ภาพเสวี่ยหย่งฝูกดร่างของเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้พร้อมกับกระชากเสื้อยังคงติดตาเขาตลอดมา เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก และเสวี่ยเหล่าซานคิดอย่างไรกับเสวี่ยเจียเยว่นั้นเขารู้ดี เมื่อจู่ๆ เห็นชายหนุ่มเดินออกไปจากลานเรือน อีกทั้งคิดว่าเสวี่ยเจียเยว่อยู่คนเดียว เขาก็อดเดือดดาลไม่ได้

คนเห็นแก่ตัวเช่นนี้ ไม่ควรได้รับโทษเพียงตกลงไปในโคลนเน่าเหม็นเท่านั้น แต่ควรตกลงไปแล้วศีรษะกระแทกพื้นจนเลือดอาบ หรือไม่ก็ตายไปเลยยิ่งดี

เสวี่ยเจียเยว่เห็นสีหน้าของเขาเคร่งขรึมเย็นชา และไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ เพราะจู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าสายตาของเขาคล้ายกับคมดาบ ทั้งยังสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่รุนแรง

เธอตกใจเป็นอย่างมาก จึงรีบจับมือเด็กหนุ่มเอาไว้พลางเอ่ย “ไม่เป็นอะไรท่านพี่ เขาไม่ได้รังแกข้า”

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นแม่นางน้อยหน้าถอดสี ก็รู้ว่าตนกำลังทำให้อีกฝ่ายตกใจ จึงรีบหลุบตาลงปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ขณะที่มองเสวี่ยเจียเยว่อีกครั้ง แววตาของเขาก็นิ่งสงบลงไม่น้อย

เสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากบอกเรื่องเมื่อครู่ เพราะกังวลว่าหากเสวี่ยหยวนจิ้งรู้เรื่องแล้วจะไปทำร้ายเสวี่ยเหล่าซาน แต่พวกเขาจะได้ไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ในไม่ช้า เธอจึงไม่อยากก่อเรื่องวุ่นวายอะไร และยิ่งไม่อยากให้เด็กหนุ่มกังวลใจเพราะเรื่องของเธอ

เธออยากจะโกหกไปก่อน ทว่าในขณะที่อ้าปากนั้น ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของเสวี่ยหยวนจิ้งดังขึ้น

“เยว่เอ๋อร์ เจ้าก็รู้ หากเจ้าโกหกก็มิอาจรอดพ้นสายตาของข้าได้”

เสวี่ยเจียเยว่มองใบหน้าอันหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของเขา จึงรู้ว่านั่นคือเรื่องจริง เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนฉลาดมาก

หลังจากถอนหายใจแล้ว เธอก็บอกเรื่องที่ตนเอ่ยกับเสวี่ยเหล่าซานเมื่อครู่นี้

ขณะที่เธอเล่านั้น ดวงตาของเสวี่ยหยวนจิ้งค่อยๆ ทะมึนลง จนเป็นเหมือนคมมีดที่สะท้อนแสงวาววับยามดึงออกจากฝัก ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวมากยิ่งขึ้น

หากเขารู้ว่าเธอกล้านัดพบกับเสวี่ยเหล่าซานตอนกลางคืนเป็นการส่วนตัว เกรงว่าในใจของเสวี่ยหยวนจิ้งคงอยากฆ่าชายคนนั้น และฆ่าเธอไปด้วยโดยไม่ต้องสงสัย

เสวี่ยเจียเยว่รีบจับมือเด็กหนุ่มเอาไว้ “ท่านพี่ ท่านฟังข้านะ คืนนี้ข้ามีเหตุผลที่ต้องนัดเสวี่ยเหล่าซานไปที่เรือนเก็บฟืนของแม่ม่ายจ้าว”

จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องที่ตนได้ยินมาเมื่อหลายวันก่อนให้เขาฟัง “แม่ของแม่ม่ายจ้าวมาที่เรือนของนางเมื่อหลายวันก่อน และเป็นเพราะว่าแม่ของนางอยู่ที่เรือนตลอด ตอนที่นางกับหัวหน้าหมู่บ้านนัดพบกันจึงไม่สะดวก ทั้งสองคนตกลงกันว่า ตอนที่เขาปีนข้ามกำแพงไป ให้ไปรอนางที่เรือนเก็บฟืน คืนนี้เขาก็คงมา แต่เรือนของเขากินข้าวเย็นช้า ทั้งยังต้องรอภรรยาหลับก่อนถึงจะแอบออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงต้องมาช่วงดึกๆ ส่วนแม่ม่ายจ้าวก็ต้องคุยกับแม่นาง และกล่อมลูกชายนอนทุกคืน

“อีกอย่าง… นางรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะมาเมื่อไร จึงต้องไปที่เรือนเก็บฟืนดึกขึ้น เมื่อครู่นี้ข้าตั้งใจให้เสวี่ยเหล่าซานไปรอที่เรือนเก็บฟืนก่อน และกำชับเขาว่าห้ามส่งเสียงตอนที่มีคนเข้าไป หวังให้เขายั่วโทสะหัวหน้าหมู่บ้าน ยืมมือสั่งสอนเขาเสียหน่อย ดีหรือไม่ ที่สำคัญ… หัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ใช่คนดีอะไร หากเรื่องนี้วุ่นวายขึ้นมา ก็ทำให้เขาเสียหน้าได้ นี่ไม่เท่ากับการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรือ”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่พูดไม่จา เพียงมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยแววตาที่ไม่อาจคาดเดา

ประการแรก… เขาประหลาดใจกับคำว่า ‘ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว’ ของเสวี่ยเจียเยว่

ประการที่สองคือ… “คำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านกับแม่ม่ายจ้าว เจ้าได้ยินมากี่มากน้อย”

เสวี่ยเจียเยว่ยกมือซ้ายขึ้นมาลูบแขนขวาโดยไม่รู้ตัว และมองซ้ายแลขวา “เอ่อ… เรื่องนี้ อันที่จริงก็ไม่มากเท่าไร แค่ข้านอนไม่หลับก็เลยออกไปเดินเล่น แล้วได้ยินมาโดยบังเอิญ”

แน่นอนว่าคำพูดน่าบัดสีนั้นเธอเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เหมาะจะเล่าให้เสวี่ยหยวนจิ้งฟัง

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เอ่ยถามต่อ เพียงกัดฟันเบาๆ แล้วพูดออกมา “ช่างน่าเวทนา”

เขาย่อมหมายถึงเสวี่ยเหล่าซาน เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าเขาคิดถึงสภาพน่าเวทนาของชายคนนั้นอย่างไร

ทว่าเธอไม่ได้เอ่ยถามต่อ แต่พูดเรื่องอื่นขึ้นมา “ท่านพี่เจรจาเรื่องขายเรือนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ครอบครัวนั้นเขายอมซื้อหรือไม่ แล้วพวกเขาให้ราคาเท่าไรเจ้าคะ”

ทั้งสองคนพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในเรือน

มุมหนึ่งของเรือนนั้น ดอกท้อตูมสีชมพูมีขนาดเท่าผลพุทรา อีกไม่นานก็จะบานเต็มต้นอย่างแน่นอน

ตั้งแต่เสวี่ยเหล่าซานได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยนัดให้ไปพบกันที่เรือนเก็บฟืนของแม่ม่ายจ้าว หัวใจของเขาก็เหมือนมีแมวน้อยอยู่ในนั้น ซึ่งคอยเอาอุ้งตีนมาเกาเขาก็ไม่ปาน เพียงแค่คิดก็รู้สึกคันในหัวใจ จนเขาแทบอดทนรอฟ้ามืดไม่ไหวแล้ว

เขากินข้าวเย็นพอเป็นพิธี เมื่อเห็นแสงตะเกียงของเรือนชาวบ้านค่อยๆ ดับลงทีละดวง เขาก็เร่งรีบไปที่เรือนของแม่ม่ายจ้าว โดยอาศัยแสงสลัวๆ จากพระจันทร์เสี้ยวที่ลอยขึ้นมาท่ามกลางผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้ม

จากนั้นเขาเห็นเรือนของแม่ม่ายจ้าวมืดลง เมื่อเงี่ยหูฟังก็พบว่าในเรือนไร้เสียงการเคลื่อนไหว พวกเขาคงนอนหลับกันหมดแล้ว เสวี่ยเหล่าซานจึงปีนข้ามกำแพงที่ทำจากโคลนแห้งอย่างเบามือ

กำแพงไม่สูงมาก แม้ว่ารูปร่างของเขาจะไม่สูงเท่าไร ก็สามารถปีนข้ามไปได้

เมื่อสองเท้าถึงพื้น เสวี่ยเหล่าซานก็ย่องเข้าไปที่เรือนเก็บฟืน

ประตูเรือนเก็บฟืนไม่ได้ลงกลอนจริงๆ เพียงแค่ปิดเอาไว้เท่านั้น เสวี่ย-เหล่าซานจึงผลักประตูเข้าไปอย่างระวัง ก่อนจะมองไปทั่วเรือนโดยอาศัยแสงจันทร์และแสงดาวสลัวๆ เห็นฟางกับฟืนกองอยู่ด้านในเป็นจำนวนมาก

เขาปิดประตูอย่างเบามือแล้วเข้าไปนั่งลงบนกองฟาง คอยเงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอก

ยามค่ำคืนในชนบทนั้นเงียบสงัดเป็นอย่างมาก บางครั้งบางคราก็ได้ยินเสียงหมาป่าหอน หรือเสียงนกฮูกดังมาจากป่าเขา แทรกด้วยเสียงลมพัด เสียงยอดไม้เสียดสีกัน และเสียงหญ้าบนหลังคา

ทว่ายังไม่ได้ยินเสียงคนเดินมา

เสวี่ยเหล่าซานรอครู่ใหญ่ แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังไม่มา จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นหลอกเขาหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง พรุ่งนี้เขาจะป่าวประกาศไปทั่วหมู่บ้านว่า เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาไม่ได้ถูกงูกัดตาย แต่เป็นเพราะเสวี่ย-หยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ฆ่าพวกเขา แม้ว่าเขาจะไม่มีหลักฐานอันใด แต่ใครได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ต้องสงสัยกันบ้าง

เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะต้องทำให้เสวี่ยเจียเยว่ได้เห็นดี!

เขากำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าย่องมาทางนี้

หัวใจของเสวี่ยเหล่าซานเต้นรัวเร็วทันที เขากลั้นหายใจมองไปที่ประตูเรือนเก็บฟืน

เป็นจริงดังคาด ไม่นานก็เห็นประตูถูกผลักเข้ามา ก่อนคนผู้นั้นจะย่องเข้ามาเบาๆ แต่เป็นเพราะในเรือนมีเพียงแสงสลัว เสวี่ยเหล่าซานจึงเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัด

เขาคิดว่าเป็นเสวี่ยเจียเยว่โดยที่ไม่สงสัยแม้แต่น้อย และโผเข้าไปกอดทันที