ทุกคนเพิ่งจะได้โล่งอกโล่งใจยกใหญ่ตอนเจอถ้ำไว้พัก ทว่าชั่วพริบตาก็ต้องเคร่งเครียดใหม่อีกครั้ง

“พวกเราควรหาที่ซ่อนอื่นไหม” มีคนกระซิบ “ถ้ามีตัวอะไรไม่รู้พุ่งออกมาจากป่าทำไง”

“ไม่ต้องไปไหนแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ขนาดพวกสัตว์ยังอยากมาหลบภัยที่นี่เลย แต่โดนพวกเราจองที่ไปก่อนแล้ว แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วละว่าที่นี่น่าจะปลอดภัยพอควร”

“พวกมันกำลังหนีอะไรอยู่กันแน่” หลิวปู้มีคำถาม

สูเสี่ยนฉู่ หันไปมอง ณ ผืนป่านอกถ้ำ “พวกนั้นน่าจะพยายามหนีออกจากป่าอยู่ หรือจะให้เจาะจงกว่านั้นก็คือป่ายามค่ำคืน”

เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “ฉันก็คิดงั้น พวกสัตว์มีสัญชาตญาณรับรู้อันตรายดีกว่ามนุษย์ พวกนายสังเกตไหม ตอนที่พวกเราผ่านหุบเขา มีโครงกระดูกมนุษย์หลายโครงเลย แต่ว่าตั้งแต่เข้าป่ามา เรายังไม่เห็นซากกระดูกของสัตว์สักกะตัว แบบนี้ไม่ปกติแล้ว”

“ตราบที่เป็นสิ่งมีชีวิต ย่อมต้องมีเกิดมีตาย การที่พวกเราจะไม่เห็นเศษซากโครงกระดูกสัตว์สักชิ้นเลยเป็นไปไม่ได้” เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ “ฉันโยนเศษเนื้อกับกระดูกป่าไว้ที่ป่าทางทิศใต้ของหุบเขา พอไปดูอีกทีตอนเช้า พวกมันก็หายเกลี้ยงไปหมด ร่องรอยถูกขนย้ายก็ไม่มี แค่อยู่ๆ ก็หายไปแบบศพของสูเซี่ย ซากร่างหายไปแบบนี้มีลักษณะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือตอนหายไปต่างอยู่ในป่ากันทั้งสิ้น”

“อืม” สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า “แถมพวกสัตว์ป่ายังแสดงท่าทีว่ากลัวตัวป่ามากอย่างเห็นได้ชัด ไม่ชอบมาพากลจริงๆ ด้วย”

พงพณาเขมือบร่าง…

คนอื่นๆ หันไปมองป่า เริ่มคิดแล้วว่าบางทีพืชพันธุ์ต้นไม้เองก็คงเกิดการวิวัฒนาการไม่ต่างกับพวกสัตว์

สูเสี่ยนฉู่พูดปลอบ “แต่เอาจริงๆ แบบนี้ก็ไม่เลว ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่ารูปแบบเป็นยังไง จะได้รับมือได้ถูก”

ความกลัวที่ไม่รู้กลายเป็นความกลัวที่รู้ ทั้งเข้าใจลักษณะกลไก ความกลัวย่อมลดทอนลงไป

คิดได้เช่นนี้ ความรู้สึกหวาดกลัวก่อนหน้าก็คลายลงไปบ้าง หวังเหลยยิ้ม พลางว่า “แสดงว่าเราต้องหาจุดเหมาะตั้งแคมป์ก่อนที่ฟ้าจะมืดเอาสินะ”

เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ระวังฟ้ามืดไม่พอ ตอนฟ้าสว่างเองก็ต้องระมัดระวังด้วย พวกเราไม่รู้หรอกว่าพืชพันธุ์สัตว์ป่ามันวิวัฒน์จนสามารถกินคนได้กลางวันแสกๆ หรือเปล่า”

“งั้นพวกเราจะเดินทางตรงที่โล่งตามสันเขาเอา!” สูเสี่ยนฉู่ตัดสินใจได้แล้ว

ทุกคนกลับไปเคี้ยวรากสนกันต่อ ก่อนจะมีคนโพล่งถาม “เริ่นเสี่ยวซู่ นายรู้ได้ไงว่ารากสนกินได้”

“ฉันไม่ได้เป็นคนพบว่ามันกินได้ แต่มีคนในเมืองเล่าให้ฟัง” เริ่นเสี่ยวสู่พูดนิ่ง มือเติมฟืนเข้ากองไฟ

หลิวปู้อยากจะคลายความตึงเครียดกับเริ่นเสี่ยวซู่ จึงรีบกล่าวสรรเสริญ “พวกคนในเมืองรู้เรื่องแดนรกร้างเยอะมากเลย เป็นขุมปัญญาของมวลมนุษย์อย่างแท้จริง!”

หลิวปู้ไม่รู้จะกล่าวสรรเสริญเริ่นเสี่ยวซู่อย่างไร เลยพูดชื่นชมออกไปมั่วซั่ว

ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่กลับไม่เห็นพ้องกับคำกล่าวของเขา เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหลิวปู้ แล้วว่า “ไม่ใช่ปัญญาเลิศเลอ ถ้ามีอาหารดีๆ กิน ใครมันจะไปกินรากสน ชาวเมืองรู้ว่ารากสนกินได้กันมานานแล้ว ตอนที่ได้ยินครั้งแรก ก็คิดไปถึงว่าเมื่อก่อนต้องมีคนตายมากมายขนาดไหนเพราะขาดอาหาร”

ในยุคที่ผู้อพยพอาจจะรอดไปไม่ถึงวันพรุ่ง ทุกอย่างที่ทำล้วนเพื่อเอาชีวิตรอด

หลิวปู้แค่อยากพูดเลียเริ่นเสี่ยวซู่สักหน่อย แต่กลายเป็นว่าทำให้ตัวเองขายหน้ากว่าเดิมไปเสียฉิบ

ลั่วซินอวี่พยายามคลายสถานการณ์ “พวกสัตว์ป่าตัวใหญ่ขึ้น แล้วทำไมมนุษย์ถึงตัวไม่ใหญ่ขึ้นด้วยล่ะ พวกเรากลับวิวัฒนาการจนมีผู้มีพลังพิเศษอย่างสูเสี่ยนฉู่แทน”

“มนุษย์อาจจะกำลังวิวัฒนาการไปอีกทางก็ได้” สูเสี่ยนฉู่ว่า “จากโบราณกาลยันปัจจุบัน มนุษย์พัฒนาด้านสมองอยู่ตลอด”

เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ฉันเคยได้ยินคำอธิบายหนึ่งมา เมื่อปีก่อน หลังจากหนีหมาป่ามาได้ฉันก็เกิดคำถามอยู่ข้อหนึ่ง เลยไปถามคุณจางที่โรงเรียน เขาบอกฉันว่า ‘ในธรรมชาติมีสิ่งมีชีวิตบางจำพวกที่สามารถพัฒนากล้ามเนื้อขึ้นมาได้แม้ไม่ได้ใช้มันออกกำลังใด ในอดีตมีสิ่งมีชีวิตสปีชีส์หนึ่งเรียกว่าชิมแปนซี พวกมันถูกจับขังไว้โดยมนุษย์ ต่อให้พวกมันกินและก็นอนทุกวัน กลับยังมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่ามนุษย์อยู่ดี ส่วนมนุษย์นั้น ถ้าให้กินกับนอนอย่างเดียว กล้ามเนื้อคงเหลวไปแล้ว’ ”

หยางเสียวจิ่นเอ่ย “คุณจางที่สอนที่โรงเรียนของนายไม่ใช่คนธรรมดา”

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ว่าหยางเสียวจิ่นตัดสินด้วยเกณฑ์อะไร และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าคุณจางไม่ใช่คนธรรมดาจริงหรือเปล่า เพียงรู้ว่าเขาเป็นคนดี

เขาพูดต่อ “คุณจางบอกว่า ยีนในร่างกายมนุษย์จำกัดการพัฒนาของกล้ามเนื้อ และยีนนั้นก็ทำให้มนุษย์ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เขายังบอกด้วยว่านี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสติปัญญา”

ทุกคนคิดตามไป ก็ตกอยู่ในภวังค์ คนที่มาจากชนชั้นสูงชอบออกกำลังกายลดน้ำหนัก จนตอนนี้แทบเป็นกระแสนิยมไปแล้ว กิจกรรมนี้เริ่มเป็นที่นิยมเมื่อสองปีก่อน

ขนาดหลิวปู้เองยังเคยไปเข้าร่วมกิจกรรมออกกำลังกายกับพวกชนชั้นสูงเลย เขาเลยรู้ดีว่าจะสร้างกล้ามเนื้อผ่านทางการออกกำลังกายนั้นยากขนาดไหน

ทว่าวินาทีต่อมา หยางเสียวจิ่นก็ราดน้ำเย็นใส่เริ่นเสี่ยวซู่ “ฉันเคยเห็นผู้มีพลังพิเศษที่พัฒนาด้านร่างกายอยู่นะ แบบนั้นนายจะอธิบายยังไง”

เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ เขาคิดครู่หนึ่งก่อนจะว่า “บรรพบุรุษเขาเป็นญาติกับสัตว์ป่าเปล่า?”

หยางเสียวจิ่น “…”

สูเสี่ยนฉู่ “…”

หลิวปู้ “…”

จู่ๆ ลั่วซินอวี่ก็ร่วมวงสนทนาด้วย “คุณจางประจำโรงเรียนของนายดูเก่งกาจไม่เบา เขาต้องรอบรู้มากเลยใช่ไหม”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วตอบ “เขาก็รอบรู้พอตัวนะ แต่พอเจอคำถามที่ตอบไม่ได้ระหว่างสอน ก็ชอบพูดมั่วซั่วไปเรื่อย”

“ยามว่างเขาชอบอ่านหนังสือเกลาปัญญาให้เฉียบแหลมหรือเปล่า ในป้อมก็มีคนแบบนั้นเหมือนกัน” ลั่วซินอวี่เอ่ย “พวกเขาฉลาดมากเชียวแหละ”

“ไม่นะ” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ปกติเขาว่างเมื่อไรก็ปลูกผักที่ลานของโรงเรียนน่ะ”

ลั่วซินอวี่พูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ทำไมหลายๆ อย่างในเมืองถึงต่างไปจากที่เธอคิดได้ขนาดนี้

ถึงกระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกว่าจางจิ่งหลินเป็นแบบนี้ถือว่าดีไม่น้อย อ่านตำรา แต่ไม่ดีแต่ท่องคัมภีร์ มากปัญญา แต่ยังใช้แรงงานขุดดินเป็น

ทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงโซ่ลากพื้นดังมาจากในป่า

ยามโซ่กระทบพสุธา บังเกิดเป็นเสียงแหลมบาดหูดังมาให้ได้ยิน แหล่งกำเนิดเสียงนี้ดุจกำลังคืบคลานตามพื้น ลาดตระเวนในอาณาเขตตน

พวกเริ่นเสี่ยวซู่สันหลังชาวาบ ดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้ จะมีสิ่งชีวิตเดินทอดน่องในป่าในอย่างไร หรือว่าการอนุมานการณ์ของพวกเขาก่อนหน้าล้วนผิดหมด

พวกสัตว์ป่าไม่ได้คิดหนีผืนป่าตัวป่าอะไรหรอก!