พลังบริเวณรอบด้านยิ่งมากขึ้น ดูท่าทางเหล่ามารกำลังจะถูกทับลงไปในพื้นดินอยู่แล้ว อวิ๋นเจี่ยวถึงได้ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง โบกมือไปมาให้กับท้องฟ้าและตะโกนออกมาว่า
“อาจารย์ปู่ ข้าอยู่ทางนี้!”
พลังกลางอากาศถึงได้ชะงักไป ร่างในแสงสีขาวนั้นหายวาบ ก่อนที่ร่างอันคุ้นเคยนั้นจะมาปรากฏขึ้นต่อหน้าอวิ๋นเจี่ยวในทันที
เขากวาดตามองคนตรงหน้า พบว่านางไม่ได้บาดเจ็บ สีหน้าถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย แต่นาทีถัดมา คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น ก่อนจะแฝงไปด้วยความโกรธ ความลังเล ความห่วง และความไม่รู้จะทำยังไง จ้องนางเป็นเวลานานไม่ละสายตาไปไหน
“…” นี่คือ…คิดจะใช้สายตาฆ่านางให้ตายเหรอ
เยี่ยยวนไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไรกับศิษย์หลานตัวน้อยนี้? นางถูกลักพาตัวไปจากใต้ตาเขา ศิษย์ของเขามีมากมาย แต่ไม่เคยมีใครที่ต้องทำให้เขาเป็นห่วงเช่นนี้ อีกทั้งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าต้องแก้ไขนิสัยไม่ดีของลูกศิษย์คนนี้อย่างไร ศิษย์ในอดีตนั้นโง่เกินไป ทำให้เขาไม่ใส่ใจที่จะใช้เวลาสอนและปล่อยให้พวกเขาเติบโตด้วยตนเอง แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร เห็นได้ชัดว่าศิษย์หลานคนนี้แตกต่างออกไป
เขาเพียงแค่ละสายตาไปประเดี๋ยวเดียว นางก็ถูกลักพาตัวมายังโลกมารแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่รอบตัวก็ถูกพลังมารสีเขียวล้อมเอาไว้อย่างจางๆ นั่นเกิดจากการอยู่ร่วมกับมารเป็นเวลานาน
เขาอารมณ์เสียเล็กน้อย มีความรู้สึกเหมือนกะหล่ำปลีที่ตนเองปลูกกำลังจะถูกหมูแย่งไปอย่างนั้น อีกทั้งยังมีช่วงเวลาหนึ่งที่เขาหาหมูตัวนั้นไม่เจอ ดังนั้นสีหน้าของเขายิ่งดำทะมึน ราวกับท้องฟ้าก่อนจะเกิดพายุ
อวิ๋นเจี่ยวถูกเขาจ้องจนขนลุก เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงจ้องมองนางอย่างนั้น?
“อา…อาจารย์ปู่” นางส่งเสียงเรียกอย่างเป็นการลองเชิง หรือว่าหิวมากจนรู้สึกหงุดหงิด? แต่ไป๋อวี้ไม่ได้บอกเหรอว่า เขากินแต่ควันธูปมาหลายพันปีแล้ว? ถ้านางไม่อยู่ เขาจะไม่สามารถกินอันนั้นแทนไปก่อน?
เยี่ยยวนจ้องที่นางอยู่นานก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ทำไมเจ้าไม่เรียกข้า”
“ฮะ?” อวิ๋นเจี่ยวผงะไปสักพัก ถึงได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางหยิบยันต์อัญเชิญออกมาจากกระเป๋า หลังจากเรื่องของเทพอสูรครั้งก่อน ยันต์ใบนั้นถูกใช้จนหมด อาจารย์ปู่จึงมอบอีกใบให้ แต่เมื่อมาถึงที่นี่ นางก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการรักษาและลืมมันไปเลย ดังนั้นนางจึงอธิบายว่า “อาจารย์ปู่ ข้าแค่ออกมาเพื่อรักษาคน และไม่มีอะไรเกิดขึ้น…” ไม่จำเป็นต้องเชิญท่าน
“ไม่เป็นไร?” เยี่ยยวนพ่นลมอย่างเย็นชา สีหน้าไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ “ดูมือขวาช่วงสามนิ้วสิ”
อวิ๋นเจี่ยวตกตะลึง ก่อนจะค่อยๆ ม้วนแขนเสื้อมือขวาขึ้นดู จากนั้นนางเห็นรอยสีเขียวเล็กๆ ที่แขนขวา ราวกับรอยสัก มันติดอยู่ข้างบน และยังสามารถมองเห็นพลังมารที่ยังไม่สลายไปได้
“นี่อะไร?” อวิ๋นเจี่ยวตกใจ แขนของนางมีสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ตราประทับ” เยี่ยยวนขมวดคิ้วลึกขึ้น ยิ่งพูดยิ่งโกรธ “ตราประทับร่วมเป็นร่วมตายของเผ่ามาร!” ไม่รู้ว่าหมูตัวไหนทิ้งมันไว้?
อวิ๋นเจี่ยวผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจทันทีว่าใครทิ้งเอาไว้ เมื่อกี้ราชามารจับแขนนางและลากนางขึ้นมาบนยอดเขานี้ ที่แท้เขาก็ทิ้งรอยนี้เอาไว้ในตอนนั้น? ราชามารมุ่งมั่นในการจ่ายค่ารักษาเสียจริง
“นี่…เอาออกได้ไหม”
ความโกรธของเยี่ยยวนลดลงไปเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นว่าศิษย์ตัวน้อยไม่ชอบหมูตัวนั้น เขาก็สบายใจ
“ยื่นมือออกมา” เขาผายมือออกแล้วพูด
อวิ๋นเจี่ยวก้าวไปข้างหน้า และวางมือของนางไว้ในฝ่ามือของเขา เยี่ยยวนจับมือนางไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วท่องคาถาด้วยอีกมือ ทันใดนั้นพลังเทพก็ก่อกำเนิดขึ้นมาไหลไปตามแขนของนาง
นางรู้สึกได้เพียงความคันที่แขน เหมือนกับมีพลังอะไรบางอย่างถูกดึงออกมาจากด้านใน แต่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ลายเส้นสีเขียวบนแขนของนางเริ่มหายไปอย่างช้าๆ อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ขอบคุณท่านอาจารย์ปู่”
“อืม” เยี่ยยวนพยักหน้า ครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูดกำชับขึ้น “วันหลังอย่าหลงเชื่อคำของเดรัจฉาน” ศิษย์หลานเรียนรู้ได้เร็วเกินไป หากเรียนเรื่องไม่ดีเข้าจะทำอย่างไร
อวิ๋นเจี่ยวกำลังจะอธิบาย ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา “เจ้าคิดจะทำอะไรราชินีของข้า ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”
เมื่อนางหันกลับไป เห็นเพียงแต่ราชามารที่จมดินเมื่อกี้นี้กำลังถืออาวุธแล้วพุ่งตรงมา ไม่รู้ว่าเขาลุกขึ้นจากดินตั้งแต่เมื่อไหร่ สีหน้าของเขาโกรธเคืองและจ้องเขม็งมาที่อาจารย์ปู่ของนาง
อวิ๋นเจี่ยวได้สติกลับมา นางยืนใกล้ชิดกับอาจารย์ปู่มากเกินไป อีกทั้งอีกฝ่ายยังจับแขนของนางไว้ข้างหนึ่ง มองจากด้านหลังเหมือนกับว่าเยี่ยยวนกำลังกอดนางเอาไว้ในอ้อมอก
“เดี๋ยว ท่านรา…” อวิ๋นเจี่ยวรีบเอ่ยปาก อย่าหาที่ตายนะ
ราชามารไม่ได้สนใจนาง เขาราวกับถูกความโกรธเข้าครอบงำ อาวุธในมือมีไฟลุกโชนขึ้นมาทันที ก่อนจะด่าทอออกมา “โจรชั่ว ตายเสียเถอะ!”
“อาจารย์ปู่…” ใจของอวิ๋นเจี่ยวหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เงยหน้ามองคนตรงหน้า เห็นเพียงสีหน้าของอีกฝ่ายดำทะมึนลงอย่างรวดเร็ว
แย่แล้ว ไม่ทันแล้ว ดูท่านางคงทำได้เพียงมอบบทเพลงส่งท้ายให้กับราชามารเท่านั้น
ทันใดนั้นพลังที่มาพร้อมอำนาจปรากฏขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งยังมีมากกว่าในตอนแรก ทำให้ฟ้าและดินสั่นไหวไปพักหนึ่ง สายตาของเยี่ยยวนเย็นราวกับน้ำแข็ง ราชามารที่กำลังจะโจมตีเข้ามายืนไม่อยู่ เกือบจะถูกตีลงไปอีกรอบ
อาจเป็นเพราะมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า คราวนี้เขาสามารถต้านพลังเอาไว้ได้ เขายกดาบในมือขึ้นแล้วฟันตรงไปทางด้านนี้
เยี่ยยวนหันหน้าไปในที่สุด สีหน้าของเขาดำอย่างกับก้นหม้อ ดวงตาคมของเขามองไปยังคนที่ลอยอยู่กลางอากาศ ทั้งใบหน้าของเขาเขียนว่า ที่แท้เจ้าก็คือหมูตัวนั้น!
เมื่อเห็นดาบที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงของราชามารกำลังจะพุ่งตรงมาทางนี้ “ขโมยชั่ว เจ้า…” เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็บังเอิญปะทะเข้ากับหน้าของเยี่ยยวนที่หันมาพอดี ทันใดนั้นเขาก็ตัวแข็งทื่อไป
ในเวลานั้น ดวงตาที่โกรธจัดของเขาก็เปิดออกอย่างสุดโต่ง ราวกับว่าเขาได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เขามองตรงไปที่เยี่ยยวนอย่างไม่กะพริบตา แม้แต่เปลวเพลิงที่ลุกโชนนั้นก็ดับลงไป คำพูดที่กำลังจะหลุดออกมาก็ขัดอยู่ในคอ
“เจ้า…เจ้า…เจ้า…” ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะคิดได้ว่าเขาจะพูดอะไร “เจ้า…เจ้า…เป็นแม่หญิงบ้านไหน เจ้าชื่ออะไร เจ้าอายุเท่าไหร่ แต่งงานหรือยัง เจ้าอยากแต่งงานกับข้าหรือไม่ เป็นราชินีเลยนะ!”
“…” อะไรเนี่ย?
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปสามร้อยหกสิบองศาในทันที ความโกรธของเขาหายไป ดวงตาเต็มไปด้วยความหลงใหล มุมปากของเขายิ้มกว้าง และใบหน้าของเขา…เหมือนคนบ้า
งาม…งามเสียจริง รู้สึกเหมือนหัวใจจะวาย
สีหน้าของเยี่ยยวนดำเหมือนหมึก
“ข้าคือ…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ พลังที่มากขึ้นกว่าเดิมสิบเท่าก็ถูกกดเข้าหาเขาอย่างไม่ลดละ เห็นเพียงแต่หัวของอีกฝ่ายนั้นปักลงในซอกหินราวกับต้นหญ้า
อาจารย์ปู่ที่สูงส่งและเย็นชาอยู่เสมอ แม้กระทั่งขโมยซุปไก่ก็ยังไม่ลืมที่จะรักษาภาพพจน์ของตัวเองนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาละทิ้งภาพลักษณ์ของตนเองโดยสิ้นเชิง เขาเหยียบอยู่บนหัวของราชามาร ไม่ได้ใช้แม้กระทั่งคาถา แต่ใช้เตะแล้วเตะอีกให้อีกฝ่ายจมลงไปในพื้น ยอดเขาก้องกังวานไปด้วยเสียงกระแทกเท้าของคนบางคน พร้อมกับเสียงของประโยคที่ถูกถามออกมาอย่างเย็นชา
“เจ้าพูดอีกครั้ง เจ้าอยากแต่งกับใคร?!”
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ในฐานะผู้ชมเพียงคนเดียวในที่เกิดเหตุการณ์เกี้ยวพาราสีอันล้มเหลวนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกเขียวบนหัวขึ้นมา