ตอนที่ 76 ถ่ายทอดต่อเนื่อง

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ตั้งแต่กลับจากโลกมารมา อวิ๋นเจี่ยวและชายชราก็รีบออกตัวกลับสำนักชิงหยางทันที เพราะดูจากนิสัยของอาจารย์ปู่แล้ว พวกนางก็คงไม่กล้าที่จะอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน ไม่ใช่ว่าฐานะของเขาเป็นอย่างไร ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์เสวียนเหมิน ทุกคนต่างยกย่องนับถือเขาอยู่แล้ว แต่นิสัยของเขานี่สิ พวกนางกลัวว่าจะไปทำลายความฝันของลูกศิษย์ทั้งหลายเสียมากกว่า อีกทั้งอาจารย์ปู่ยังเป็นประเภทที่ชอบสัมผัสกับใครเป็นพิเศษด้วย

 

 

ตอนแรกอวิ๋นเจี่ยวคิดว่าเขาอยู่คนเดียวมานาน จนเกิดโรคกลัวการเข้าสังคมอะไรทำนองนี้ แต่ตอนหลังนางถึงได้พบว่ามันไม่ใช่ อวิ๋นเจี่ยวเหลือบมองนกกระดาษส่งสารที่บินมายังสำนักชิงหยางราวกับเกล็ดหิมะ ก่อนจะถอนหายใจยาว

 

 

นี่มันอะไรกัน

 

 

“เจ้าหนู ยันต์ทำความสะอาดในสวนใช้ไม่ได้แล้ว” ชายชราพลางกวาดพลางพูดอย่างเป็นกังวล “ทำยังไงดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สำนักชิงหยางของพวกเราคงจะถูกเจ้านกกระดาษส่งสารพวกนี้ฝังไว้เป็นแน่”

 

 

อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังกระดาษส่งสารที่กองสูงราวหนึ่งเมตรอยู่บนพื้น สายตาตกอยู่ในกระดาษสีชมพูใบหนึ่ง เพียงแค่กวาดตามองก็รู้ทันทีว่าในนั้นเขียนว่าอะไร ข้างหน้าเป็นคำขอเข้าร่วมสำนักชิงหยาง ต่อมาเป็นการแนะนำตัว จากนั้นบางคนตั้งแต่บรรทัดที่ห้าถึงหก บางคนเขียนน้อยก็ตั้งแต่บรรทัดที่สามถึงสี่ ล้วนเขียนถึงเรื่องของความศรัทธา ชื่นชมต่อปรมาจารย์สำนักชิงหยาง คำที่ใช้แต่ละคำนั้นแสนจะไพเราะ แสดงถึงความรักที่ลึกซึ้งมากมาย จนแทบจะสามารถเอาไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว

 

 

เมื่อเขียนชื่นชมเสร็จ ก็ยังมีการบ่งบอกอย่างอ้อมค้อมว่าอยากจะเข้าร่วมสำนัก ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสได้เจอท่านนั้นอีกครั้ง

 

 

อวิ๋นเจี่ยวตอนแรกยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ราชามารมานั้น นางก็ได้เข้าใจในทันที คนที่เขียนจดหมายพวกนี้หากจะบอกว่าต้องการมาศึกษาสู้บอกว่ามาไล่ตามดาราดีกว่า ไม่น่าแปลกใจที่อาจารย์ปู่จะไม่ชอบไปด้านนอก ความสามารถในการดึงดูดแฟนคลับของเขา ไม่เหมือนกับปรมาจารย์แห่งเสวียนเหมิน แต่เหมือนกับปรมาจารย์แห่งความรักมากกว่า? ดูแต่ละคน ไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนตามเขามาทั้งนั้น

 

 

นางนึกถึงราชาปีศาจที่ถูกเหยียบลงบนหิน เฮ้อ ไม่รู้ว่าเขาถูกดึงออกมาแล้วหรือยัง

 

 

“เจ้าหนู คิดวิธีหน่อยสิ!” ชายชราจับมือที่ปวดเมื่อย เขากวาดมาทั้งวันแล้ว แต่กระดาษส่งสารเหล่านี้ก็ยังถูกส่งมาแบบไม่ขาดสาย มือของเขาจะหักอยู่แล้ว

 

 

“เปลี่ยนจากยันต์ทำความสะอาดเป็นยันต์เปลวไฟเถอะ!” อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจก่อนจะพูด

 

 

“ฮะ?” ชายแก่ผงะไป “เผาทิ้งหมดเลยหรือ”

 

 

“อืม” นางพยักหน้า “อย่าลืมเก็บของบริเวณรอบๆ ก่อนนะ อย่าเผาโดนของอย่างอื่น”

 

 

“แต่ว่า..หากมีสารจากสำนักเทียนซือจะทำยังไง” ชายแก่กังวลเล็กน้อย พวกเขาเพิ่งจะได้รับการขึ้นทะเบียน สำนักเทียนซืออาจมีภารกิจส่งมาให้พวกเขาได้ทำ หากเผาทิ้งไปจะทำยังไง

 

 

“ไม่เป็นไร” อวิ๋นเจี่ยวตอบ “ตอนออกจากสำนักเทียนซือ เจ้าสำนักสวีให้ยันต์ส่งสารสำหรับการติดต่อมา”

 

 

อวิ๋นเจี่ยวควักยันต์สีม่วงออกมาใบหนึ่ง สุดท้ายนางก็ไม่ได้ตอบตกลงที่จะเลื่อนขั้นเป็นระดับพระจันทร์ เจ้าสำนักสวีและเหล่าท่านอาวุโสจึงต้องหารือกันอีกครั้ง จึงตกลงกันว่าจะให้นางอยู่ในตำแหน่งเทียนซือเจ็ดดอกไม้ ตำแหน่งต่ำกว่าตอนแรกหนึ่งขั้น จากนั้นพวกเขาก็ได้ให้ยันต์ใบนี้กับนางมา เพื่อที่เวลาสำนักเทียนซือมีปัญหา จะได้ติดต่อนางได้ทุกเมื่อ

 

 

อวิ๋นเจี่ยวจึงตอบตกลง! ถึงแม้เทียนซือระดับเจ็ดดอกไม้จะไม่ได้ตำแหน่งสูงเท่ากับสำนักเทียนซือระดับพระจันทร์ แต่ว่า…มีเงินเดือนนะ!

 

 

สิ่งที่ทำให้คนแปลกใจคือชายชรา เขาทำการทดสอบออกมาได้ดีเกินคาด ถึงแม้ส่วนใหญ่เป็นเพราะอวิ๋นเจี่ยวคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง แต่เขากลับได้เลื่อนขั้นเป็นเทียนซือระดับหนึ่งดอกไม้ เมื่อเทียบเทียนซือระดับห้าเหรียญก่อนหน้านี้ เงินเดือนของเขามากขึ้นเกือบเท่าตัว

 

 

ทั้งสองคนมีความพอใจเป็นอย่างยิ่งกับผลลัพธ์นี้

 

 

“เดี๋ยวข้าบอกกับเจ้าสำนักสวีเองว่าตอนที่สั่งภารกิจให้ใช้ยันต์ส่งสารเอา” อวิ๋นเจี่ยวพูด

 

 

“ได้!” ชายแก่โล่งใจ ก่อนจะรีบโยนไม้กวาดทิ้งไป ในที่สุดก็ไม่ต้องกวาดแล้ว “ข้าไปวาดยันต์เปลวไฟ” พูดจบก็รีบวิ่งไปทางห้องตำรา

 

 

“จริงสิ!” อวิ๋นเจี่ยวนึกอะไรบางอย่างได้รีบพูดเสริมขึ้นมา “อย่าลืมอ่านตำราบนชั้นให้จบนะ พรุ่งนี้มีสอบประจำเดือน”

 

 

ชายชราสะดุดไปทีหนึ่ง เกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น

 

 

เอ็มเอ็มพี!

 

 

ทำไมถึงยังมีอีก ไหนบอกว่าขึ้นทะเบียนแล้วก็ไม่ต้องศึกษาแล้วไง

 

 

“หลายวันนี้อาจารย์ปู่อารมณ์ไม่ดี ดังนั้น…ท่านเข้าใจนะ!”

 

 

“…” เข้าใจอะไรเล่า! เขาไม่อยากจะเข้าใจเลยได้ไหม

 

 

ชายแก่รู้สึกขมขื่นในใจ!

 

 

อวิ๋นเจี่ยวไม่สนใจชายชราที่ห่อเหี่ยวลงไป นางหยิบตำราการสร้างอาวุธขึ้นมาเล่มหนึ่ง ก่อนจะเดินไปทางห้องของตัวเอง นางต้องรีบสร้างอาวุธที่มีลักษณะคล้ายถ้วยออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะไม่ถูกจับได้

 

 

กำลังคิดจะคำนวณอัตราความสำเร็จในการสร้างอาวุธโดยไม่ใช้พลัง ยันต์ส่งสารด้านข้างก็สว่างขึ้นมา ก่อนที่จะมีเสียงชายคุ้นหูดังขึ้นมา “สหายอวิ๋น สบายดีหรือไม่”

 

 

“เจ้าสำนักสวี?” อวิ๋นเจี่ยวตะลึง พวกเขากลับมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ภายในเวลาหนึ่งเดือนนี้ คนที่ติดต่อนางมาส่วนใหญ่จะเป็นท่านอาวุโสเจียว ทุกครั้งเขามักจะถามเกี่ยวกับข่ายพลังต่างๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายุมากสมองหมุนไม่ทันหรือเปล่า อวิ๋นเจี่ยวสอนจนรู้สึกเหนื่อยใจ เมื่อมากครั้งเข้า นางก็แอบเปลี่ยนยันต์ส่งสารจำนวนครั้งที่ท่านอาวุโสเจียวจะติดต่อนางได้

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าสำนักสวีติดต่อนาง “มีอะไรหรือ หรือว่า…สำนักเทียนซือต้องการสั่งการภารกิจ” เทียนซือระดับดอกไม้กับเหรียญทองแดงนั้นแตกต่างกัน เทียนซือเหรียญทองแดงส่วนใหญ่มีความสามารถไม่สูงมาก ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกภารกิจได้ แต่เทียนซือระดับดอกไม้นั้นไม่เหมือนกัน ในทุกปีจะต้องไปทำภารกิจที่ได้รับคำสั่งมา แน่นอนว่าเงินเดือนก็ต้องแตกต่างกัน อวิ๋นเจี่ยวเข้าใจได้

 

 

“ไม่ใช่หรอก” เจ้าสำนักสวีพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายอวิ๋นเพิ่งขึ้นทะเบียน ไม่ต้องรีบหรอก” เขาพูดเสียงทุ้ม ลังเลอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างเกรงใจ “คืออย่างนี้ มีเรื่องหนึ่งต้องการหารือกับสหายอวิ๋น ไม่รู้ว่าพอจะได้หรือไม่”

 

 

“เชิญพูด”

 

 

“สหายอวิ๋นมีวิชาเก่งกาจ อีกทั้งยังเป็นหมอพลังลมปราณ พวกข้าเคยเห็นวิชาข่ายพลังของท่านในครั้งที่แล้ว พบว่าสหายอวิ๋นมีความรู้เรื่องข่ายพลังที่สูญหาย…อย่างมาก” เสียงเขาทุ้มต่ำลง ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอับอาย “สหายอวิ๋นมาจากสำนักชิงหยาง ได้รับการสืบทอดโดยตรง รู้เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ประหลาด พวกข้าต่างก็เคารพท่านสหายอย่างมาก แต่ว่า…”

 

 

เสียงของเขาต่ำลงไปอีก ราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย แต่มากกว่านั้นคือความอับอายในการเปิดปาก สักพักถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดขอร้องอย่างจริงใจ “สหายอวิ๋น ข้าพูดอย่างไม่ปิดบัง ตั้งแต่งูน้ำเมื่อห้าร้อยปีก่อนปั่นป่วนโลกมนุษย์ ทำให้ลูกศิษย์เสวียนเหมินสูญเสียไปกว่าครึ่ง ส่งผลให้วิชาต่างๆ ก็สูญหายไปด้วย ข่ายพลังที่สหายอวิ๋นใช้นั้นส่วนมากล้วนสูญหายไปแล้ว ดังนั้น…”

 

 

“ท่านอยากให้ข้าสอนพวกท่าน?” อวิ๋นเจี่ยวพูดจุดประสงค์ของเขาออกมา

 

 

เจ้าสำนักสวีเสียงทุ้มต่ำกว่าเดิม “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้อาจทำให้ท่านลำบาก…”

 

 

“ได้สิ!”

 

 

“โดยปกติแล้วข่ายพลังล้วนเป็นความลับของสำนัก พวกเขา…ฮะ? อ้า!” เจ้าสำนักสวีเพิ่งนึกได้ว่านางพูดอะไร น้ำเสียงล้วนเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ท่าน…ท่าน…ท่านตกลง?”

 

 

“อืม” อวิ๋นเจี่ยวตอบ “พวกท่านยอมศึกษานั้นเป็นเรื่องที่ดี!” ความรู้นั้นไม่ควรจะมีข้อกำหนด “พวกท่านคิดอยากศึกษาอะไร ศึกษาตั้งแต่วิชาไหน”

 

 

“สหายอวิ๋นช่างมีจิตใจเมตตา” เจ้าสำนักสวีมีความรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เดิมทีคิดว่าจะโดนด่าเสียแล้ว อีกทั้งยังอาจทำให้อีกฝ่ายไม่ติดต่อกับสำนักเทียนซือไปตลอดชีวิตด้วย แต่เพื่อเสวียนเหมินแล้ว เขาจำเป็นต้องเอ่ยปาก ไม่คิดว่านางจะตอบตกลง!

 

 

ซึ้งใจเสียจริง…นี่ช่างเป็นสหายที่วิเศษอะไรเช่นนี้ อยากร้องไห้…

 

 

“ข้าบอกก่อนนะ…ข้าไม่เคยสอนใคร ไม่กล้ารับรองคุณภาพ”

 

 

“สหายอวิ๋นถ่อมตัวเกินไปแล้ว สมแล้วที่เป็นศิษย์ภายใต้เทพเจ้ากว่างจี้ จิตใจโอบอ้อมอารี” เจ้าสำนักสวีชื่นชมเป็นการใหญ่ราวกับคำชมนั้นไม่ต้องเสียเงิน “หากเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ ข้าจะไปแจ้งข่าวกับทุกสำนัก หากได้รับอนุญาตจากเจ้าสำนักชิงหยาง พวกเราก็สามารถหารือเลือกคนได้”

 

 

“เจ้าสำนัก?” อวิ๋นเจี่ยวตะลึง ก่อนจะพูดออกไปว่า “ข้าไม่ใช่เจ้าสำนักชิงหยางนะ”

 

 

“เอ๊ะ?” เจ้าสำนักสวีชะงัก “แต่สหายอวิ๋นบอกว่า สำนักชิงหยางมีแค่ท่านกับสหายไป๋สองคนไม่ใช่หรือ”

 

 

“ใช่ แต่ข้าไม่ใช่เจ้าสำนัก”

 

 

“เช่นนั้นเจ้าสำนักชิงหยางคือ…”

 

 

“ชายชรา…ไป๋อวี้”

 

 

“…”

 

 

ท่านกำลังหลอกข้าแน่ๆ!