บทที่ 79 ตรงไปตรงมา

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

อวี้ถังแอบลิงโลดอยู่ในใจ

นางคาดไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะพูดเก่งเช่นนี้ นางปั้นเรื่องถึงขนาดตัวเองยังไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำ นึกไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะไม่เอ่ยถามอันใด กลับบอกสิ่งที่นางอยากรู้อย่างหมดเปลือก

คาดว่าตอนแรก แม้เขาจะเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นนักต้มตุ๋นที่โรงรับจำนำ ทว่ายามที่เขาพบว่านางอ้างนามของสกุลเผยมาข่มขู่หลู่ซิ่น ก็ทำเพียงตักเตือนนางอย่างไม่จริงจังเท่านั้น ที่เรือนเก่าสกุลอวี้ ยามที่นางถูกอันธพาลพวกนั้นไล่ตาม เขาช่วยเหลือนาง พอเห็นคนของสกุลอวี้เข้ามา ก็จากไปโดยไม่กล่าวอันใด จะเห็นได้ว่าคนผู้นี้เย็นชาแค่เพียงภายนอก ที่จริงแล้วยังคงยินดีจะช่วยเหลือผู้คน

แต่อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองสามารถเข้าใจเผยเยี่ยนได้

เขาเป็นตัวแทนของสกุลเผย มีตำแหน่งฐานะไม่ธรรมดา หากเป็นมิตรกับคนไปทั่ว ไม่สงวนท่าที ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกรูกันมาขอความช่วยเหลือจากเขาหรอกหรือ? เขาต้องช่วยหรือไม่ช่วยเล่า? บางคนก็รู้จักสำนึกบุญคุณ ได้รับความช่วยเหลือจากสกุลเผยย่อมจดจำไว้ในใจ เหมือนดั่งสกุลอวี้ แต่คนส่วนมากเมื่อเห็นเขาตอบรับคำของ่ายๆ ก็คิดว่า คงไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง หากสำเร็จก็สมใจ ไม่สำเร็จกลับจะกลายเป็นความแค้นเคือง

ชาติก่อน นางพบเห็นเรื่องเช่นนี้มามาก

เผยเยี่ยนจึงจำเป็นต้องมีวิธีปกป้องตัวเองอยู่บ้าง

ก่อนหน้านี้อวี้ถังยังคิดว่าเผยเยี่ยนปฏิบัติกับชาวบ้านที่นับถือเขาอย่างเย่อหยิ่งเกินไป ยามนี้ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว

นางรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยละล่ำละลัก “เข้าใจแล้ว ข้าจะจำไว้”

เผยเยี่ยนเห็นดวงตาที่สุกสกาวของนางมองมายังตน ใบหน้านั้นคล้ายกับจะเรืองแสงได้ เขารู้สึกราวกับเห็นลูกหมาสีขาวตัวเล็กที่มารดาเลี้ยงไว้ข้างกาย ทุกครั้งที่มันเห็นเขาก็มักจะมองอย่างเชื่อใจและคาดหวังเช่นนี้…เผยเยี่ยนอดเบะปากไม่ได้

ได้ยินอวี้เหวินพูดเรื่องพวกนั้น นางไม่ใช่คนหลักแหลมมากหรอกรึ? ไฉนเขาพูดอะไรนางก็เชื่ออย่างนั้น? คาดว่าเป็นเพราะแววตานี้ของนาง อวี้เหวินจึงปฏิเสธไม่ลง ไม่แปลกใจที่ปล่อยให้นางวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกไปทั่วเช่นนี้

เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว คิดว่าตัวเองต้องช่วยอวี้เหวินดูแลควบคุมเด็กสาวผู้นี้เสียหน่อยแล้ว

เขาเอ่ย “สกุลพวกเจ้าวางแผนจะร่วมหุ้นกับกลุ่มเรือของนายท่านอู๋? ตัดสินใจว่าจะลงทุนกับกลุ่มเรือไหนหรือยัง? คิดจะลงเงินเท่าใด? หรือคิดจะลงเงินเป็นสินค้า?”

อวี้ถังได้ฟัง แทบจะคุกเข่าคำนับให้เผยเยี่ยนแล้ว

นี่เป็นข่าวที่นางพยายามสืบเสาะหลายวิธี แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลใดกลับมา ฟังจากคำพูดของเผยเยี่ยน ก็รู้ว่าเขาย่อมคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี

โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ไม่อาจทิ้งไปเฉยๆ ได้!

อวี้ถังคิดมากมายขนาดนั้นไม่ไหว เอ่ยออกไปทันที “ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะร่วมหุ้นกับนายท่านอู๋ แค่รับรู้ว่ามีกิจการเช่นนี้อยู่ ท่านอาจจะไม่รู้ สกุลพวกเราทำกิจการเครื่องลงรัก ไม่เข้าใจเกี่ยวกับการค้าทางทะเลแม้แต่น้อย ท่านพี่ข้ากล่าวว่า ต้องไปสืบข่าวคราวให้ดีๆ เสียก่อน” จากนั้นนางก็เอ่ยอย่างมีไหวพริบ “ไม่ทราบเช่นกันว่าท่านพี่ของข้าสืบข่าวอะไรได้บ้าง? เมืองหังโจว นอกจากเถ้าแก่รองถง พวกเราก็ไม่รู้จักใครอีกแล้ว”

อยากถามเขาก็ถามมา ยังจะหาเหตุผลมากมายอีก!

เผยเยี่ยนชำเลืองมองอวี้ถังไปที

สัมผัสได้ถึงท่าทีไม่สบอารมณ์อยู่รางๆ

อวี้ถังพลันกระจ่างในใจ นึกถึงบทสนทนาของทั้งสองคนเมื่อครู่ทันที

หรือเผยเยี่ยนชอบคนตรงไปตรงมา?

นี่อาจเป็นไปได้!

ทุกวันเขาต้องติดต่อกับคนมากมาย เวลาเป็นเงินเป็นทอง หากทุกคนเอาแต่ ‘อ้อมค้อม’ อยู่เบื้องหน้าเขา เขาคงจะคาดเดาใจคนพวกนั้นจนผมร่วงหัวล้านเป็นแน่

นึกมาถึงตรงนี้ อวี้ถังก็อดเงยหน้ามองบนศีรษะเผยเยี่ยนไม่ได้

เผยเยี่ยนผมดกหนาดำสนิท ทั้งรากผมยังตั้งโด่ราวกับไม่เชื่อฟัง จะเห็นได้ว่าเส้นผมทั้งหยาบทั้งแข็ง ได้ยินพวกแม่บ้านซุบซิบนินทา คนเช่นนี้มักจะอารมณ์ไม่ค่อยดี จากประสบการณ์ของนาง คนที่อารมณ์ไม่ค่อยดี กลับใจกว้างมีเมตตามาก

ความคิดพวกนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัวอวี้ถังเพียงชั่วครู่เท่านั้น นางเอ่ยปากตามสัญชาตญาณ “หากนายท่านสามไม่รีบกลับ ข้าอยากขอนายท่านสามช่วยเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ทางหังโจว ท่านมีกลุ่มเรือหรือสกุลพ่อค้าใดแนะนำบ้างหรือไม่?”

ร่วมลงทุนการค้าทางทะเล ก็แบ่งได้หลากหลายวิธี บางคนก็นำเงินไปหากลุ่มเรือโดยตรง บางคนก็ร่วมหุ้นกับร้านค้าใหญ่ๆ ร้านค้าที่ร่วมลงทุนพวกนี้ มักอาศัยวิธีใช้สินค้าในการแลกเปลี่ยน

สีหน้าบูดบึ้งของเผยเยี่ยนเบาบางลง

แน่นอนว่าเขาไม่อยากเสียเวลาเพราะเรื่องเล็กน้อยพวกนี้

อวี้ถังสามารถขอร้องอย่างตรงไปตรงมา ย่อมดีที่สุด

เขาเอ่ย “ร้านค้าในเมืองหังโจวพวกนั้น ลำพองว่าตนเองอยู่ในเมืองอันดับหนึ่งของเจียงหนาน หยิ่งทะนงเป็นที่สุด ต่างก็อาศัยการได้เงินจากท้องพระคลังเป็นดั่งเกียรติยศ การค้าทางทะเลไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญอันใด ทำได้อย่างอิสระ หากสกุลพวกเจ้าตั้งใจจะทำกินทางด้านนี้ ต้องไปเมืองซูโจว ที่นั่นมีคนทำการค้าเช่นนี้คณานับ ร้านค้าที่ค่อนข้างใหญ่พวกนั้น ไม่ว่าจะร้านผ้าไหมทั่วสารทิศ ร้านเครื่องเทศอันดับหนึ่ง ร้านเครื่องเคลือบลายครามจิ่งเต๋อล้วนมีการไปมาหาสู่กับกลุ่มเรือของหนิงปัว แต่เรื่องหลักๆ ข้าก็ไม่กระจ่างชัดนัก หากเจ้าอยากถามเรื่องกลุ่มเรือที่ออกทะเลช่วงนี้ อีกสักพักก็ให้พี่ชายเจ้าไปถามเผยหม่านเอาเถิด”

นี่นับว่ามาไม่เสียเที่ยวโดยแท้!

หากไม่ใช่ว่ามิถูกกาลเทศะ นางก็คงโขกศีรษะให้เผยเยี่ยนไปแล้ว

“เข้าใจแล้ว!” อวี้ถังคิดว่าเผยเยี่ยนช่วยเหลือนางมากถึงเพียงนี้ จึงพยักหน้ากระดิกหางประหนึ่งลูกหมา หวังอยากตอบแทนอะไรให้เผยเยี่ยนได้บ้าง ตัวเองถึงจะรู้สึกสบายใจ

เผยเยี่ยนเห็นนางตั้งใจฟัง ในใจก็รู้สึกดีไม่น้อย ยังกำชับนางไม่กี่คำ “ข้าจะไปเกริ่นกับเผยหม่านไว้ ถึงเวลานั้นพวกเจ้าเข้าไปหาเขาตรงๆ ก็เพียงพอแล้ว” จากนั้นก็ขึ้นเกี้ยวที่มารอรับกลับจวนไป

เถ้าแก่ใหญ่ถงตามเข้ามาอย่างเป็นห่วง “เมื่อครู่เจ้าคุยอะไรกับนายท่านสามไปบ้าง? ข้าเห็นสีหน้าเขาดูไม่เลวเลย!”

อวี้ถังเอ่ยชมเผยเยี่ยนทันที เล่าข่าวคราวที่สืบถามจากเผยเยี่ยนให้เถ้าแก่ใหญ่ถงฟัง

เถ้าแก่ใหญ่ถงเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง

เผยเยี่ยนไม่ใช่คนพูดเก่ง เขาปฏิบัติตัวเช่นนี้กับคุณหนูอวี้ เห็นได้ว่านับถืออวี้เหวินอยู่ไม่น้อย ทั้งให้ความสำคัญกับสกุลอวี้เช่นกัน

“เช่นนั้นก็ดี!” เถ้าแก่ใหญ่ถงกลัวว่าอวี้ถังจะไม่รู้จักหนักเบา เอ่ยเตือนนาง “ยามที่นายท่านสามยังเด็กก็ติดตามท่านผู้เฒ่าไปทั่ว อายุน้อยก็สอบได้ตำแหน่งซู่จี๋ซื่อ สายตาความรู้ย่อมไม่ธรรมดา ในเมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เจ้าก็อย่าลืมบอกกล่าวพี่ชาย ให้เขารีบไปหาพ่อบ้านใหญ่ล่ะ”

“ข้าไม่ลืมแน่นอน!” อวี้ถังเอ่ยขอบคุณกับเถ้าแก่ใหญ่ถงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับบ้านด้วยอารมณ์ดียิ่ง

อวี้หย่วนทราบว่าอวี้ถังพบเจอกับเผยเยี่ยน ขอให้เขาแนะนำเส้นทางทำกินให้สกุลตน ภายใต้ความดีใจก็อดกังวลอยู่บ้างไม่ได้ ปลุกใจตัวเองอยู่ค่อนวัน เวลานี้จึงไปพบเผยหม่าน

เผยหม่านถูกเผยเยี่ยนกำชับมาแล้ว ย่อมบอกอย่างหมดเปลือก ไม่หวงแม้แต่น้อย ให้อวี้หย่วนเข้าใจแวดวงพ่อค้าทางซูโจวและหังโจวอย่างคร่าวๆ ครอบคลุมไปจนถึงกระทั่งกลุ่มเรือทางฝูเจี้ยนและกว่างโจว

หลังจากเขากลับบ้านก็อดถอนหายใจกับอวี้ถังไม่ได้ “เมื่อก่อนข้ายังรู้สึกไม่พอใจ คิดว่าเหตุใดคนอื่นเขาทำกิจการรุ่งเรืองใหญ่โตได้ สกุลพวกเรากลับทำไม่ได้? ยามนี้มองดู สกุลพวกเราห่างชั้นกับสกุลใหญ่พวกนั้นถึงหลายหมื่นลี้ ข้าก็ไม่ตั้งเป้าหมายไว้สูงอะไรมาก ชีวิตนี้แค่สามารถให้พวกลูกหลานเจ้าได้ร่ำเรียนหนังสือ ขยับกิจการไปยังหังโจว ให้พวกหลานๆ เจ้ายืนบนไหล่ข้าก้าวขึ้นไปอีกขั้น ชั่วชีวิตนี้ของข้าก็นับว่าสมใจปรารถนาแล้ว”

ลูกวัวที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่กลัวเสือ[1]

อาจารย์ที่มากประสบการณ์ล้วนขี้ขลาดตาขาว

อวี้ถังกระตุกยิ้ม เอ่ยถามอวี้หย่วน “ท่านพี่ เช่นนั้นพวกเราควรจะร่วมหุ้นกับนายท่านอู๋หรือไม่?”

อวี้หย่วนเอ่ย “นอกจากพวกเราไม่ร่วมหุ้นแล้ว ก็ยังต้องบอกกล่าวกับนายท่านอู๋ด้วย” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็กดเสียงเบา “ตามที่ได้ยินมา ครั้งนี้กลุ่มเรือทางหนิงปัว เพื่อแข่งขันกับร้านผ้าไหมทั่วสารทิศของซูโจว จึงจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากความหมายของพ่อบ้านใหญ่คือต้องระมัดระวังให้ดี”

ร้านผ้าไหมทั่วสารทิศ? ชื่อนี้ยามที่เผยเยี่ยนเอ่ยขึ้นมา อวี้ถังก็รู้สึกคุ้นหู

นางครุ่นคิดอย่างละเอียด “ร้านผ้าไหมทุกสารทิศไม่ใช่ร้านที่ค้าขายให้ราชวงศ์หรอกหรือเจ้าคะ?”

สกุลพวกเขามีร้านสาขาย่อยมากมาย ร้านสาขาย่อยในเมืองหังโจวก็ตั้งอยู่ด้านข้างโรงจำนำสกุลเผย อวี้ถังคุ้นตาอยู่บ้าง

ชาติก่อน กลุ่มเรือของสกุลพวกเขาเป็นกลุ่มเรือที่ดีที่สุดของเจียงหนานมาโดยตลอด จวบจนสกุลเจียงโผล่ขึ้นมา สกุลพวกเขาจึงตกอับพ่ายแพ้ ก่อนหน้านี้ ร้านรวงที่แข่งขันกับสกุลพวกเขาล้วนไม่มีจุดจบดีแต่อย่างใด

“สกุลนั้นน่ะหรือ” อวี้หย่วนก็คลับคล้ายคลับคลาอยู่บ้าง เขาเอ่ยทั้งพยักหน้า “ร้านผ้าไหมทั่วสารทิศเป็นหนึ่งในร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดของซูโจว ร้านของเขาจัดตั้งกลุ่มเรือมาหลายครั้งแล้ว ล้วนแต่กลับมาอย่างปลอดภัย หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้พ่อค้ารายเก่าพากันอิจฉาตาร้อน ยามนี้จึงได้รวมตัวกันก่อตั้งกลุ่มเรือครั้งนี้ขึ้นมา”

“เช่นนั้นก็ควรบอกกล่าวกับนายท่านอู๋เสียหน่อย” อวี้ถังเอ่ยอย่างตึงเครียด “นายท่านอู๋มีน้ำใจต่อสกุลพวกเราไม่น้อย ออกหน้าช่วยเหลือหลายครั้งหลายคราว พวกเราไม่อาจนิ่งดูดายมองเขาเสียเงินไปเปล่าๆ ได้”

อวี้หย่วนก็คิดเช่นนี้ เขาออกจากสกุลอวี้ไปหานายท่านอู๋

นายท่านอู๋ถูกหลานชายของเขาตะล่อมจนใจอ่อนแล้ว ไม่ใช่ว่าอวี้หย่วนพูดคำสองคำก็สามารถเกลี้ยกล่อมได้ แต่ในนามของเผยเยี่ยน ยังคงทำให้เขาตัดสินใจระมัดระวัง เดิมตั้งใจจะลงทุนห้าพันตำลึงก็เปลี่ยนเป็นหนึ่งพันตำลึง

หลานชายของเขาหัวเสียไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดกลุ่มเรือเดินทางไปแต่ไม่หวนกลับ หลานชายคนนี้ของเขาสิ้นเนื้อประดาตัว หลังจากนั้นก็ตกอับลืมตาอ้าปากไม่ได้ พาให้เขารู้สึกเยียบเย็นอยู่ในใจ นับแต่นั้นนายท่านอู๋ก็เชื่อฟังคำพูดปฏิบัติตามเผยเยี่ยน กลายเป็นผู้สนับสนุนที่ภักดีต่อเผยเยี่ยนมากที่สุดในเมืองหลินอัน นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างคาดไม่ถึง

ด้านอวี้หย่วน เดินทางไปเมืองซูโจวเพื่อสืบเสาะเรื่องการค้าทางทะเล ดูว่าสกุลอวี้มีโอกาสจะร่วมหุ้นบ้างหรือไม่ ส่วนอวี้ถังส่งคนไปสืบข่าวสกุลเผิงในฝูเจี้ยน นางปะติดปะต่อกับเรื่องราวที่นางรู้จากชาติก่อนอีกครั้ง คิดว่าเบื้องหลังของสกุลหลี่ เป็นไปได้ว่าจะเป็นสกุลเผิง

นี่ทำให้อวี้ถังนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา

เพราะหลี่ตวนแต่งงานกับกู้ซี หลังจากให้กำเนิดลูกชาย คนสกุลหลินก็คิดว่าหลานชายคนนี้ของตัวเองมีฐานะค่อนข้างโดดเด่น มีครั้งหนึ่งถึงกระทั่งอยากให้ลูกชายคนโตของหลี่ตวนเกี่ยวดองกับลูกสาวภรรยาเอกของสกุลเผิง กู้ซีคิดว่าเด็กอายุยังน้อย มองไม่ออกว่าเก่งกาจหรือไร้ความสามารถ ไม่ใช่โอกาสดีที่จะเชื่อมสัมพันธ์ ทั้งยังโน้มน้าวคนสกุลหลิน “สกุลเผิงและสกุลเผยดื่มชากาเดียวกันไม่ได้ พวกเราทำเช่นนี้ เกรงว่าสกุลเผยจะไม่ยินดี ไม่อย่างนั้น ข้าหาโอกาสไปเยี่ยมเยือนท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเสียหน่อย ดูว่าสกุลเผยมีท่าทีอย่างไรค่อยว่ากันดีหรือไม่?”

ภายหลังเรื่องที่เหมือนไม่จบนี้ก็จบลงไป

ไม่รู้ว่าเพราะกู้ซีใช้ข้ออ้างเรื่องนี้มาทำลายความคิดของคนสกุลหลิน? หรือว่าสกุลเผยไม่พึงพอใจต่อเรื่องนี้จริงๆ?

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจผิดพลาด

สกุลเผิงและสกุลเผยไม่ลงรอยกัน

ไม่ถูกกันตั้งแต่ยามนี้? หรือภายหลังเกิดเรื่องอะไรแตกหักกัน อวี้ถังกลับไม่ทราบ

วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปถามเผยเยี่ยนตรงๆ

แต่เผยเยี่ยนจะบอกนางรึ?

อวี้ถังสองจิตสองใจอยู่บ้าง

นึกถึงเรื่องพวกนั้นในชาติก่อนอีกครั้ง

ชาติที่แล้ว ตั้งแต่แรกนางก็คิดว่าภายหลังตัวเองคงต้องแก่ตายในสกุลหลี่มิใช่หรือ? แต่นางไม่ยอมแพ้ ไม่เต็มใจ พยายามต่อสู้ช่วงชิง คิดอุบายวางแผน ดังนั้นนางจึงสามารถเดินออกจากสกุลหลี่ได้อย่างสง่าผ่าเผย?

ไม่ว่าเรื่องอะไร หากเอาแต่คิดกลับไปกลับมาไม่ลองลงมือ ย่อมไม่สำเร็จทั้งนั้น!

ครั้งนี้อวี้ถังยังคงแปลงกายสวมชุดบ่าว ไปขอเข้าพบเผยเยี่ยนเช่นเคย

————————–

[1]ลูกวัวที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่กลัวเสือ อุปมาว่า คนหนุ่มสาวไม่มีความกังวลมากมาย มักกล้าคิดกล้าทำ