เผยเยี่ยนมองเสื้อผ้าของอวี้ถังแล้วรู้สึกปวดหัว

เขาพูดว่า “เจ้าจะแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาพบข้าไม่ได้หรือ?”

นางแต่งตัวไม่เรียบร้อยรึ?

อวี้ถังก้มหน้าพิจารณาตนเอง มองเสื้อคลุมเนื้อหยาบที่อยู่บนตัวแล้วอดจะเม้มปากหัวเราะไม่ได้ “นายท่านสาม มิใช่เพราะข้าไม่มีทางเลือกหรือ? แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ากลบเกลื่อนไม่มิดแต่ก็ยังต้องดันทุรังทำ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ คนอื่นก็จะเอาไปซุบซิบนินทาได้”

“เจ้าคิดว่าอยู่ในสภาพนี้แล้วจะไม่ถูกนินทาหรือ?” เผยเยี่ยนไม่เข้าใจความคิดของอวี้ถัง “เจ้าทำเช่นนี้ ใครๆ ก็มองออกทันทีว่าหญิงแต่งเป็นชาย”

“ถูกต้องแล้ว!” อวี้ถังหัวเราะพร้อมฉีกยิ้มหวาน “แต่ทุกคนรู้ว่าข้ามีใจปกปิด คนที่มีจิตใจดีงาม ก็จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น คนที่ชอบพูดจาพล่อยๆ ไม่ว่าข้าจะแต่งตัวอย่างไรก็เอาไปพูดเหลวไหลอยู่ดี เทียบกับให้คนที่จิตใจดีงามต้องมาเดือดร้อนเพราะข้า มิสู้ปล่อยให้พวกปากพล่อยเอาไปซุบซิบนินทาได้ตามใจ”

นี่เป็นตรรกะพิศดารอะไรอีกแล้ว!

เผยเยี่ยนรู้สึกปวดหัวหนักกว่าเดิม

เขาเอ่ยว่า “ต่อไปถ้าจะมา แต่งกายให้ถูกต้องเรียบร้อย แล้วนั่งเกี้ยวมาด้วย”

หมายความว่า หากว่านางมาขอพบเผยเยี่ยนอีก เผยเยี่ยนอนุญาตให้นางเข้าพบอย่างนั้นสิ!

อวี้ถังดีใจกับเรื่องไม่คาดฝันนี้มาก สายตาไม่อาจปิดบังความยินดีได้ “คราวหน้าข้าจะทำตามที่นายท่านสามบอกอย่างแน่นอน”

นางมีเรื่องมาขอความช่วยเหลือผู้อื่น ย่อมต้องทำตามกฎของผู้อื่นอยู่แล้ว

เผยเยี่ยนถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร? แล้วบิดาเจ้ารู้หรือไม่?”

อวี้ถังส่งยิ้มสดใสตอบว่า “เป็นข้าที่มีเรื่องต้องการพบท่าน ท่านพ่อยังไม่รู้เรื่อง!” จากนั้นก็เสริมอีกว่า “สาเหตุก็เพราะเรื่องนี้ข้าไม่สะดวกพูดกับท่านพ่อ ถึงได้ตรงมาหาท่านแทน!”

เผยเยี่ยนฟังแล้วค่อนข้างประหลาดใจ “เรื่องอันใดล่ะ?”

อวี้ถังในเมื่อมาถึงประตูใหญ่แล้ว จึงไม่คิดอ้อมค้อมอีก ถามออกไปตรงๆ ทันทีว่า “สกุลเผยกับสกุลเผิงแห่งฝูอันเคยมีบุญคุณความแค้นต่อกันหรือไม่?”

“เหตุใดเจ้าถึงถามเช่นนี้?” เผยเยี่ยนชะงักไป “เพราะเรื่องการค้าทางทะเลรึ? พวกเราสองสกุลแม้พูดไม่ได้ว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่ก็ไม่ถึงกับบาดหมาง หากมีเรื่องใหญ่อันใด ก็สามารถเกื้อกูลกันได้”

หมายความว่า สกุลเผยจะแตกหักกับสกุลเผิงหลังจากนี้รึ?

อวี้ถังใคร่ครวญดูแล้ว จากนั้นก็เล่าเรื่องที่หลู่ซิ่นขายภาพปลอมให้เผยเยี่ยนฟัง แน่นอนว่า นางไม่ได้พูดถึงเรื่องในชาติก่อน บอกเพียงตอนนั้นใจเกิดระแวงสงสัย ถึงได้ตรวจสอบดูด้วยความอยากรู้

เผยเยี่ยนได้ฟัง คิ้วก็เริ่มขมวดมุ่น ยิ่งฟังต่อไปเรื่อยๆ คิ้วก็เริ่มพันกันวุ่นวาย จนสุดท้ายสีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง

เขาเอ่ยว่า “เจ้าจะบอกว่า เจ้าคิดว่าที่สกุลหลี่มุ่งมั่นจะสู่ขอเจ้าให้ได้ เป็นสิ่งที่แปลกพิกล จึงได้ออกไปสืบหาหลักฐาน?”

ตอนที่เผยเยี่ยนพูดประโยคนี้ออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะเพ่งมองอวี้ถังอย่างละเอียด

ส่วนสูงปานกลางแต่ขายาวเรียว มองแล้วจึงดูตัวสูงกว่าความเป็นจริง ผิวพรรณขาวผ่อง ในความเกลี้ยงเกลามีความชุ่มชื้นชมพูระเรื่อ มองแล้วดูมีชีวิตชีวา เปล่งประกายสะดุดตาคน ดวงตาคู่นั้นกลมโตกระจ่างใส เวลามองคนมักทอแสงเจิดจ้า เป็นประกายวิบวับด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำให้นางดูซุกซนขึ้นหลายส่วน แต่คิ้วนางดกดำ สันจมูกตั้งตรง ริมฝีปากเอิบอิ่ม ไม่เหมือนกับเด็กสาวที่เพิ่งผ่านวัยปักปิ่นคนอื่นๆ ที่อย่างไรก็หลงเหลือความไม่ประสาของเด็กอยู่บ้าง แต่นางกลับสง่างามเปิดเผย ในความอ่อนหวานมีเสน่ห์ซุกซ่อน จิตใจกว้างขวาง ทั้งยังดูอยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยเป็น

เด็กสาวเช่นนี้ ย่อมเป็นที่ดึงดูดใจคนอย่างไม่ต้องสงสัย

แล้วเหตุใดนางถึงคิดว่าที่สกุลหลี่มุ่งมั่นสู่ขอนางเป็นสิ่งแปลกพิกลเล่า?

แน่นอนว่า เด็กสาวหลายๆ คนอาจถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องหอ จนไม่รู้ถึงความงดงามของตนเอง แต่เห็นชัดว่าไม่ใช่กับคุณหนูอวี้ผู้นี้

ตอนที่อยู่วัดเจาหมิง นางก็รู้จักใช้ประโยชน์จากข้อดีของตนเอง รู้ว่าจะดึงดูดคนได้เช่นไร โดยเฉพาะความสนใจจากเหล่าชายหนุ่ม

อีกอย่าง เขาคิดว่านางหวีผมทรงมวยตกหลังม้า ประดับด้วยดอกไม้ต่างๆ เป็นการแต่งตัวที่เหมาะสมกับนางมากกว่า กลับกันการหวีผมทรงขดหอยสองข้าง กลับเจือจางความกระด้างกระเดื่องที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ทำให้ความแปลกใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ที่ดึงดูดคนต้องหายไป

อวี้ถังมีหรือจะรู้ว่าบุรุษตรงหน้าจะคิดอะไรมากมาย นางตอบว่า “ถูกต้อง! ข้าไม่ใช่โฉมงามอันดับหนึ่ง บ้านข้าก็ไม่ได้มีตำแหน่งฐานะ เหตุใดจะต้องแต่งกับข้าให้ได้เล่า? ฮูหยินหลี่ยังบอกอีกว่าคุณชายรองสกุลหลี่เคยพบข้าครั้งหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้ายังคิดว่ามีเรื่องบังเอิญแบบนั้นที่ไหนกัน วันหนึ่งข้าได้ยินว่าพวกคุณชายรองสกุลหลี่จะไปแต่งกลอนกันที่วัดเจาหมิง จึงได้ตั้งใจแสร้งไปพบเขา ผลกลายเป็นว่าเขาไม่รู้จักข้าเสียด้วยซ้ำ…”

เหอะ!

เป็นเรื่องเข้าใจผิดอีกแล้ว

เผยเยี่ยนรู้สึกไม่สบายแถวลำคอคล้ายถูกคนบีบเอาไว้

หรือเพราะดอกไม้ของฤดูใบไม้ร่วงเบ่งบานแล้ว ละอองเกสรเล็กๆ ถึงปลิวว่อนในอากาศ?

สกุลหลี่หลายต่อหลายรุ่นชื่นชอบบุปผาต้นไม้ ในลานบ้านจึงปลูกต้นไม้ต่างๆ ไว้สารพัดสายพันธุ์ หากไม่ใช่เขาสั่งคนให้ถอนออกบางส่วน หนี่งปีสี่ฤดูล้วนมีดอกไม้เบ่งบานไม่ขาดแน่ เดินไปทางใดก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ตั้งแต่เช้าจรดค่ำทำเอาไอจามไม่หยุด แทบจะทำให้เขาเป็นบ้าให้ได้เชียว

เขาสำลักไอสองที ในลำคอถึงรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาหน่อย “หมายความว่า วันนั้นที่เจ้าไปวัดเจาหมิง เพราะมีเป้าหมายอย่างนั้นหรือ?”

อวี้ถังพอได้เจอเผยเยี่ยน ก็จะเปลี่ยนเป็นคน ‘ตามองหกถนน หูฟังแปดด้าน[1]’ ในทันที เมื่อได้ยินประโยคนั้นของเผยเยี่ยน ก็กะพริบตาปริบๆ แล้วถามว่า “วันนั้นที่ข้าไปวัดเจาหมิง ท่านก็รู้เรื่อง?”

เขาย่อมรู้เรื่องอยู่แล้ว

เผยเยี่ยนจ้องหน้าอวี้ถัง

เห็นว่าดวงหน้านางมีแต่ความมึนงง สายตาเปล่งประกายออกมาเป็นคำพูด ราวกับกำลังถามเขาว่า ‘หรือท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย’

อยู่ดีๆ เขาพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

ทว่า เขาปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว

เขาใช้ชีวิตอย่างจริงใจเปิดเผย ไม่มีเรื่องใดต้องแอบซ่อนปกปิด วันนั้นที่วัดเจาหมิง ทั้งๆ ที่เห็นคุณหนูสกุลอวี้แล้ว กลับแสร้งทำมองไม่เห็นนาง ทั้งยังยืนดูละครอยู่บนชั้นสองของหอคัมภีร์เป็นนานสองนานอีก

ตอนแรกที่เขาทำเช่นนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องผิด

ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย

แต่บัดนี้จะให้เขายอมรับตรงๆ เขาก็รู้สึกไม่สะดวกใจ บางทีอาจเพราะเขาเริ่มสนิทคุ้นเคยกับคุณหนูอวี้มากขึ้น หากยอมรับอย่างขอไปทีแบบนั้น คงทำให้เขาดูเย็นชาไปหน่อยกระมัง?

เผยเยี่ยนลอบครุ่นคิดในใจ ก่อนจะตอบคำถามออกไปอย่างคลุมเครือ “ตอนนี้เจ้ากำลังสงสัยว่าสกุลเผิงบงการสกุลหลี่ให้มาหลอกเอาแผนที่ทางทะเลจากมือหลู่ซิ่นรึ?” พูดถึงตรงนี้ เขาก็หันไปยิ้มให้อวี้ถัง

มันเป็นรอยยิ้มที่แค่ฉีกริมฝีปากออกจากกันเท่านั้น

คล้ายกับเนื้อยิ้มตาไม่ยิ้มอะไรเทือกนั้น

ทว่าในสายตาของเขากลับมีแสงทอประกาย

เป็นประกายของผู้ที่มองเรื่องราวในใต้หล้าได้อย่างปรุโปร่ง

อวี้ถังตอบไปตามความจริงว่า “หนึ่งคือพวกเราไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องแผนที่หรือไม่ กลัวจะถูกตามสืบจนรู้เรื่อง สองคือกลัวว่าสกุลข้าไร้ซึ่งกำลังจะต้านทาน หากว่าพวกเขาเอาแผนที่ไปรวมกลุ่มกองเรือกับผู้อื่น แล้วใช้แผนที่ปลอมออกทะเลไป เกรงจะทำให้คนมากมายต้องสังเวยชีวิต…สกุลข้าแม้จะมีความแค้นต่อสกุลหลี่ แต่ก็ไม่ควรปล่อยเรื่องผิดๆ ให้ดำเนินไป จะเป็นภัยต่อชีวิตผู้อื่น ทางที่ดีควรกระจายข่าวเรื่องแผนที่ออกไปให้ทั่ว ทำให้มันไร้คุณค่าเสีย เช่นนี้ สกุลหลี่ก็ไม่อาจเกาะเรือลำใหญ่อย่างสกุลเผิงได้แล้ว”

ความฝันที่จะร่ำรวยมั่งคั่งของสกุลหลี่ย่อมแตกสลาย

เช่นนี้ดีกว่ามอบภาพปลอมให้พวกเขาเป็นไหนๆ

 แน่นอนว่า แม้นางอยากจะมอบภาพปลอมให้แก่สกุลหลี่ แต่ก่อนถึงเวลานั้นก็ต้องตามหาผู้เชี่ยวชาญที่จะปลอมภาพให้ได้เสียก่อน

อย่างไรก็ไม่อาจลากอาจารย์เฉียนให้เข้ามาเสี่ยงด้วยได้!

อีกอย่างอาจารย์เฉียนคนก็ไม่อยู่ที่เมืองหังโจวแล้ว

เผยเยี่ยนได้ฟังก็ทำหน้าจริงจังทันที

คนทั่วไปย่อมจะทำแผนที่ซึ่งเป็นภาพปลอมออกมาเพื่อมอบให้สกุลหลี่ แต่สกุลอวี้กลับเลือกเดินเส้นทางตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่

เป็นเพราะสกุลอวี้แสนดีเกินไป? หรือโง่งมเกินไปกันแน่?

เผยเยี่ยนพลันหมดคำจะพูดไปชั่วขณะ

ในใจกลับรู้สึกนับถือความสุจริตเที่ยงธรรมของสกุลอวี้ ทำให้เขามองสกุลอวี้ด้วยสายตาสูงขึ้นกว่าเดิม

อวี้ถังนั้นรู้สึกเหมือนโยนภาระหนักอึ้งที่อยู่บนบ่าทิ้งไป

หากว่าสกุลเผยสามารถมีแผนที่เช่นเดียวกันนี้ได้ ก็จะแย่งชิงความเป็นใหญ่กับสกุลเผิงได้แล้ว

ต่อให้สกุลเผยไม่อยากเข้าร่วมแย่งชิงความเป็นใหญ่กับสกุลเผิง ก็ยังสามารถส่งมอบแผนที่ให้กับศัตรูคู่แข่งของสกุลเผิงได้

หากว่าสกุลเผยก็สนใจภาพผืนนี้เช่นกัน เช่นนั้นย่อมจะประเสริฐยิ่งกว่า

นางก็จะยกภาพผืนนี้ให้สกุลเผยเสีย ทั้งเป็นการตอบแทนบุญคุณของสกุลเผยได้อีกต่างหาก

สรุปก็คือ หากแผนที่ที่อยู่ในมือสกุลหลี่มิได้มีเพียงแผ่นเดียว สกุลของพวกเขาย่อมจะไม่มีความสำคัญใดๆ ต่อสกุลเผิงอีก

ซ้ำสกุลหลี่ยังกล้าร่วมมือกับคนนอกเมืองหลินอันลับหลังสกุลเผย แค่ความเกรี้ยวกราดของสกุลเผย ก็มากพอจะทำให้พวกเขาสำลักตายแล้ว

ทว่านี่ยังไม่ใช่ของขวัญชิ้นใหญ่ที่อวี้ถังตั้งใจจัดให้สกุลหลี่

นางยังมีของขวัญอีกชิ้นที่จะมอบให้พวกเขา

แต่ต้องจัดการเรื่องแผนที่ให้เรียบร้อยก่อน

อวี้ถังเอ่ยขึ้นว่า “นายท่านสาม ข้าจะกลับเรือนไปหยิบแผนที่มาให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย”

เผยเยี่ยนกลับขวางนางไว้ก่อน “เรื่องนี้ไม่รีบร้อน ข้าคิดออกอีกหนึ่งวิธี เจ้าอยากลองฟังหรือไม่?”

————————————————————-

[1]ตามองหกถนน หูฟังแปดด้าน หมายถึง ฉลาดคล่องแคล่ว สามารถสังเกตและวิเคราะห์เหตุการณ์ได้รอบด้าน