ตอนที่ 38 ยุให้รำตำให้รั่ว

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 38 ยุให้รำตำให้รั่ว

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังคำกล่าวของหลี่ซื่อแล้ว สีหน้าก็ยังคงมิดีขึ้น และนางก็หัวเราะออกมาเสียงเย็นยะเยือกออกมา

“หลี่ซื่อ นี่เจ้ามิเห็นข้าอยู่ในสายตายังมิพอ เหตุใดจึงได้แต่งเรื่องโกหกพวกนี้มาหลอกลวงข้าอีกห๊ะ ? ”

หวังซื่อที่เป็นฮูหยินใหญ่ของท่านอารองเองก็ทนดูมิไหว มองหลี่ซื่อด้วยสายตาดูถูกดูแคลน แล้วกล่าวคล้ายจะยิ้มเยาะว่า “ท่านแม่อย่าได้ตำหนิหลี่ซื่อเลยเจ้าค่ะ นางเป็นเพียงแค่อนุเท่านั้น การจัดการเรื่องต่าง ๆ ย่อมมีระเบียบและมารยาทสู้พี่สะใภ้ใหญ่อันมิได้อยู่แล้ว ส่วนอีเอ๋อนั้นอยู่ข้างกายนาง ก็ย่อมได้รับการเลี้ยงดูจากแม่ของนางจึงเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ”

คำกล่าวนี้ของนางคล้ายจะช่วยพูดขอร้องให้กับหลี่ซื่อ แต่ที่จริงนั้นกลับเป็นการโยนความผิดทั้งหมดให้กับหลี่ซื่อแทน

เมื่อกล่าวเช่นนี้ ภายในใจของหวังซื่อย่อมมีแผนการบางอย่างซ่อนอยู่

ท่านโหวคนก่อนนั้นมีบุตรชายทั้งหมด 3 คนและบุตรสาวอีก 1 คน จนเมื่อท่านโหวได้สิ้นไป ตำแหน่งโหวจึงได้ตกเป็นของบุตรชายคนโตอย่างอันอิงเฉิง หวังซื่อที่เป็นถึงภริยาเอกของบุตรชายคนรองย่อมต้องมิพอใจ อีกทั้งนางได้ย้ายกลับบ้านเก่าพร้อมฮูหยินผู้เฒ่าและนายท่านรองอันอิงหาวตั้งนานแล้ว เรื่องในเมืองหลวง นางย่อมมิสามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งได้

  แต่ตอนนี้ในเมื่อนางกลับมาเมืองหลวงแล้ว จวนโหวที่ใหญ่โตเช่นนี้ การจัดการดูแลย่อมต้องมีการไตร่ตรองให้ดี แต่หากฮูหยินใหญ่อันยังมิสิ้น หวังซื่อย่อมมิมีความคิดเยี่ยงนี้ ในสายตาของหวังซื่อนั้น หลี่ซื่อเป็นเพียงแค่อนุ ต่อให้นางจะแต่งงานกับท่านโหวแล้วก็ตามที ในเมื่ออยู่ต่อหน้านางซึ่งเป็นภริยาเอกของนายท่านรอง เยี่ยงไรเสียก็ควรจะต้องให้เกียรตินาง

หวังซื่อที่มีความคิดหวังจะแย่งชิงอำนาจ พูดแค่ประโยคเดียวก็ชี้ให้เห็นถึงข้อเสียของอีกฝ่ายทันที ว่ามิเคารพผู้ อาวุโส กล่าววาจาโกหกหลอกลวง แม้แต่อบรมสั่งสอนลูกสาวตัวเองก็ทำได้มิดี ให้คนเยี่ยงนี้มาดูแลจวน ฮูหยินผู้เฒ่าต้องมิวางใจอย่างแน่นอน หวังซื่อคิดได้เช่นนั้น จึงลอบมองสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า

เป็นจริงดังที่นางคิดเอาไว้ สายตาที่เฉียบคมของฮูหยินผู้เฒ่าทอประกายความนัยบางอย่างออกมา แววตาที่มองหลี่ซื่อเต็มไปด้วยความมิพอใจ “แม้แต่ลูกสาวตัวเองยังอบรมสั่งสอนได้มิดี ผู้ใหญ่ประพฤติมิชอบ ผู้น้อยจึงเลียนแบบในทางมิดีตามไปด้วย”

คำพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้หลี่ซื่อและอันหลิงอีถึงกับใบหน้าถอดสี อันหลิงอีที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก แม้พบหน้าอันหลิงเกอผู้เป็นบุตรีของภริยาเอกก็ยังคงวางท่าเย่อหยิ่งอยู่ตลอด มาตอนนี้กลับถูกรังแกถึงเพียงนี้ ขอบตาจึงแดงก่ำขึ้น จากนั้นน้ำตาเม็ดใหญ่ก็ไหลออกมาทันที

“ไอหยา ฮูหยินผู้เฒ่าพึ่งกลับมาถึงจวน เด็กคนนี้เหตุใดถึงร้องไห้ออกมากันล่ะ”

หวังซื่อกล่าวพร้อมลุกขึ้นและเดินไปหาอันหลิงอีแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองออกมา หวังจะเช็ดน้ำตาให้นาง

“ไปให้พ้น ! ใครต้องการความหวังดีจอมปลอมจากเจ้ากัน ? ”

อันหลิงอีปัดมือของหวังซื่อออก จ้องนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยโทสะและเกลียดชัง

ท่านแม่อุตส่าห์ออกรับผิดแทนนางหมดแล้ว ถ้ามิใช่เพราะผู้หญิงคนนี้พูดสอดขึ้นมา ท่านย่าจะกล่าวตำหนินางได้เยี่ยงไร ?

อีกทั้งนังตัวแสบอันหลิงเกอยังมาเห็นเรื่องน่าขายหน้าของตนเช่นนี้อีก !

อันหลิงอีบีบมือตัวเองแน่น และยังคงจ้องหน้าหวังซื่ออย่างเกลียดชังมิสะทกสะท้าน

“เจ้าช่างมิรู้จักเด็กมิรู้จักผู้ใหญ่ ! ”

ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธขึ้ง ชี้มือขึ้นด้วยความสั่นเทา

“หลี่ซื่อ ! เจ้าอบรมสั่งสอนลูกเจ้าเยี่ยงนี้รึ ? กล้าเถียงผู้ใหญ่เยี่ยงนี้ช่างไร้มารยาทสิ้นดี ! ”

อันอิงเฉิงจากเดิมมีใบหน้าปิติยินดีก็เคร่งขรึมลงทันที ท่านแม่พึ่งจะเดินทางมาเป็นพันลี้มาจากบ้านเก่า คงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมามากแล้ว หลี่ซื่อและอันหลิงอีมิเห็นอกเห็นใจท่านแม่ก็แล้วไป แต่นี่ยังจะมาทำให้ท่านแม่ต้องกลัดกลุ้มอีก ช่างมิรู้กาลเทศะเสียจริง เมื่อเขาคิดถึงคำกล่าวของฮูหยินผู้เฒ่าและหวังซื่อขึ้นมา อีเอ๋อปกติจากที่เคยเป็นเด็กดี น่ารัก และเชื่อฟังแต่วันนี้กลับแปลกไป ต้องเป็นเพราะหลี่ซื่ออบรมลูกได้มิดีเป็นแน่ เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น ใบหน้าของอันอิงเฉิงก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แล้วกล่าวตำหนิอี้เหนียงรองดังลั่นออกมา

“หลี่ซื่อ ! เจ้ากล้าเถียงท่านแม่ ทำให้ท่านแม่มิพอใจ ตั้งแต่วันนี้ไปข้าขอกักบริเวณเจ้าเป็นเวลา 3 วัน ไปได้แล้ว”

เขามิให้หลี่ซื่อได้มีโอกาสแม้แต่จะกล่าวสิ่งใด โดยโบกมือไล่ให้ออกไปอย่างเย็นชาทันทีราวกับมิอยากเห็นหน้านาง หลี่ซื่อหันไปมองอันอิงเฉิงอย่างตกตะลึงงัน นางถูกฮูหยินผู้เฒ่าและหวังซื่อต่อว่าถึงเพียงนี้ อันอิงเฉิงนอกจากมิช่วยนางกล่าวแก้ตัวแล้ว อีกทั้งยังสั่งให้กักบริเวณตนเองอีก นี่ยังใช่ท่านโหวที่รักตนมากมายผู้นั้นอยู่หรือไม่ ?

นางอ้าปากขึ้น กำลังจะอธิบายแก้ต่างให้ตัวเอง

“ท่านโหว ข้า…”

“กลับไปกักตัวซะ”

อันอิงเฉิงมีสีหน้าบึ้งตึง ความรำคาญที่ฉายชัดในดวงตานั้นทำให้หลี่ซื่อถึงกับตกตะลึงงันไปอีกครา

มีคำกล่าวว่าเป็นสามีภรรยาเพียงวันเดียวความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้นลึกล้ำ แต่นี่คือผู้ชายที่นางอยู่เคียงข้างมาหลายปี ในขณะที่นางถูกฮูหยินผู้เฒ่ากลั่นแกล้ง เขากลับทำกับนางได้ถึงเพียงนี้ มิได้นึกถึงความรักที่ผ่านมาแม้แต่น้อย ช่างเป็นคนที่เลือดเย็นยิ่งนัก ริมฝีปากนางสั่นเทาอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็พยักหน้าที่ขาวซีดลง

“เจ้าค่ะ ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยจะกลับไปกักบริเวณเดี๋ยวนี้ขอท่านแม่ได้โปรดอย่าโมโหเลยนะเจ้าคะ”

อันหลิงอีจ้องมองมารดาของตนที่ยอมถอยออกไปอย่างพ่ายแพ้ ด้วยแววตาที่คาดมิถึงและมองค้างอยู่อย่างนั้น หลี่ซื่อมองกลับมาด้วยสายตาที่รู้กันเพียงแค่สองคนแม่ลูก อันหลิงอีขบริมฝีปากแน่น จากนั้นจึงคุกเข่าลงด้านหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า

“ท่านย่าเจ้าคะ ขอได้โปรดยกโทษให้ท่านแม่ของข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ”

คราบน้ำตาบนใบหน้าของนางยังมิแห้งดี ใบหน้าที่มีเสน่ห์เย้ายวนเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

“เรื่องกำไลนั้นอีเอ๋อเป็นคนผิดเอง ขอท่านย่าได้โปรดยกโทษให้ท่านแม่สักครั้ง เว้นโทษกักบริเวณให้ท่านแม่เถอะนะเจ้าคะ”

เมื่อเห็นสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของแม่ลูกเยี่ยงนี้ กลับยิ่งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก แต่อันหลิงอีกลับเดินเข่ามาข้างหน้า

“เรื่องวันนี้ความผิดทุกอย่างล้วนเป็นเพราะอีเอ๋อเอง หากท่านย่าต้องการลงโทษก็ลงโทษอีเอ๋อแทนเถิดนะเจ้าคะ อีเอ๋อยอมรับโทษแทนท่านแม่เจ้าเองเจ้าค่ะ”

เมื่อมองเห็นว่านางมีท่าทางกตัญญูและกล้าหาญอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน ทำให้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าอ่อนลง แม้อันหลิงอีจะหลอกลวงนาง แต่ก็ใช่ว่าจะมิมีอันใดดีเลยสักอย่าง ที่สำคัญยังรู้จักที่จะปกป้องมารดาของตน นับว่ายังเป็นคนที่รู้จักกตัญญูรู้คุณอยู่บ้าง

“ช่างเถิด วันนี้เป็นวันแรกที่ข้ากลับจวน เป็นวันดีที่ครอบครัวของเราได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้หลี่ซื่อสักครั้งก็แล้วกัน”

จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็โบกมือไปมา

“เจ้าก็ลุกขึ้นเถอะ มิต้องคุกเข่าที่พื้นแล้ว”

“ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ ”

อันหลิงอีรีบลุกขึ้นยืน ใบหน้าหัวเราะไปร้องไห้ไป มองแล้วดูไร้เดียงสาและมิมีอุบายอันใด

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลี่ซื่อก็กลับได้ไปนั่งยังที่ของตัวเอง แต่ยังคงมองไปทางหวังซื่ออย่างมีความนัยซ่อนอยู่

หวังซื่อมองมาทางนางแล้วยิ้มออกมา ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกมิดีขึ้นมา เป็นเหตุให้หลี่ซื่อคิดอันใดบางอย่างออก แต่หวังซื่อกลับเอ่ยออกมาเสียก่อน

“ท่านแม่เจ้าคะ  เรื่องในวันนี้ถึงแม้จะบอกว่าผ่านไปแล้ว แต่ข้ายังมีอีกเรื่องที่อยากให้ท่านตัดสินใจเจ้าค่ะ”

“เมื่อครู่หลี่ซื่อได้บอกแล้วว่า กำไลปะการังแดงนั้นนางเป็นคนนำออกมาจากห้องเก็บสมบัติเอง แต่เยี่ยงไรเสีย ของสิ่งนั้นก็เป็นของพี่สะใภ้ใหญ่อัน หลี่ซื่อยักย้ายเองเยี่ยงนี้เกรงว่าคงจะมิดีกระมัง ? ”

หวังซื่อใช้คำว่า ‘ยักย้าย’ แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังก็เข้าใจได้ว่ามิต่างจากการยึดไว้เป็นของตัวเอง

ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วเข้าหากัน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมิพอใจทันทีว่า “หลี่ซื่อ ไหนเจ้าลองบอกมาสิ เหตุใดจึงได้ยึดของของสะใภ้ใหญ่อันมาเป็นของตน ? ”

หลี่ซื่อเกลียดหวังซื่อที่ยุ่งมิเข้าเรื่อง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องฝืนยิ้มเอาไว้

“เดิมที่ข้ามิทราบว่าของสิ่งนั้นเป็นของฮูหยินใหญ่อัน เพียงแค่บังเอิญหยิบมาให้อีเอ๋อเพียงเท่านั้น จึงได้ทำให้เกิดเรื่องครั้งนี้ขึ้นเจ้าค่ะ”