ตอนที่ 39 ชิงอำนาจ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 39 ชิงอำนาจ

เมื่อเรื่องราวมาถึงขึ้นนี้แล้ว หวังซื่อจะยอมปล่อยหลี่ซื่อไปอย่างง่ายดายได้เยี่ยงไร นางยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มออกมา พร้อมกับกล่าวว่า “หลี่ซื่อคงจะยุ่งกับการดูแลจวนมากเกินไป จึงได้ละเลยเรื่องเล็กน้อย พวกนี้ไป”

ยุ่งในการดูแลจวนมากเกินไปเยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหวังซื่อ หลี่ซื่อก็เหลือบมองไปที่นาง ในใจก็รู้ได้ในทันทีว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ ทั้งที่วันนี้เป็นวันแรกที่นางและหวังซื่อได้พบหน้ากันเป็นคราแรก เหตุใดหวังซื่อจึงได้คอยจิกกัดนางอยู่ตลอดเวลา ที่แท้ก็อยากได้อำนาจที่อยู่ในมือตนนั่นเอง

หลี่ซื่อมิมีเวลามาส่งสายตาอาฆาตอันใดให้แก่หวังซื่อ นางรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว

 “มิยุ่งเลยเจ้าค่ะ ข้าดูแลจวนโหวนี้มาสิบกว่าปี คุ้นชินไปเสียแล้วเจ้าคะ”

นางกลัวเสียจริงว่าเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาในครานี้ จะยึดอำนาจในการดูแลจวนของนางไปด้วย

ถ้าเป็นเยี่ยงนั้น นางก็ต้องก้มหัวให้แก่นายหญิงรองและนายหญิงสามด้วย รวมไปถึงพวกคนรับใช้ในจวนจะมองนางว่าเยี่ยงไร ? แล้วต่อไปจะยินยอมทำตามคำสั่งของนางอีกหรือไม่ ?

หวังซื่อเมื่อได้เห็นท่าทีของหลี่ซ่อที่รีบกล่าวตอบมาในทันทีราวกับกลัวที่จะเสียอำนาจการดูแลจวนให้แก่ตน เมื่อเป็นเช่นนั้นนางก็ยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตรพร้อมกล่าวว่า “หลี่ซื่อ เจ้าช่างถ่อมตัวเสียจริง ดูแลจวนที่ใหญ่เช่นนี้เพียงผู้เดียวจะมิเหนื่อยได้เยี่ยงไร ตอนนี้ข้าและเจียอี๋กลับมาแล้ว คงพอช่วยอันใดเจ้าได้บ้าง”

เมื่อได้ฟังก็เป็นไปตามที่หลี่ซื่อได้คิดไว้ ในที่สุดนางเผยเป้าหมายของตนออกมาอย่างชัดแจ้ง ขาดแต่เพียงพูดออกตามตรงว่าข้าอยากได้อำนาจดูแลจวนหลังนี้ หลี่ซื่อ เจ้ารีบมอบอำนาจในการดูแลจวนนี้มาให้ข้าเสีย

 ท่าทางของนางเช่นนี้ เป็นเหตุให้หลี่ซื่อโมโหจนแน่นหน้าอกไปหมด แต่ก็มิกล้าปฏิเสธตามตรงต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงหันมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าด้วยท่าทางนอบน้อมแล้วกล่าวว่า “ตัวข้านั้นแล้วแต่ท่านแม่จะเห็นสมควรเจ้าค่ะ”

ถึงแม้จะกล่าวออกไปเยี่ยงนั้น แต่หลี่ซื่อกลับบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นอย่างมิรู้ตัว ฝ่ามือมีเหงื่อออกจนชุ่ม ดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้สนใจเรื่องอำนาจพวกนี้

“หลี่ซื่อ ในเมื่อเจ้าดูแลจวนมาหลายปีแล้ว ก็มิได้มีสิ่งใดที่ผิดพลาดใหญ่โต เช่นนั้นเจ้าก็ดูแลต่อไปเถอะ”

เมื่อหลี่ซื่อได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเยี่ยงนั้น จึงได้ถอนหายใจออกมา อย่างโล่งอก ขณะกำลังจะอ้าปากเพื่อขอบคุณเมตตาของฮูหยินผู้เฒ่า กลับได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า “แต่ว่าเรื่องห้องเก็บสมบัติ เจ้ามิต้องยุ่งอีกแล้ว และพรุ่งนี้ให้เจ้าหาเวลานำกุญแจมาให้สะใภ้รองด้วยก็แล้วกัน”

เมื่อได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเช่นนั้น ดวงตาของหวังซื่อก็ทอประกายยินดีขึ้นมาในทันที ใบหน้าที่อิ่มเอิ่มยิ้มอย่างมีความสุข

“ท่านแม่โปรดวางใจ ข้าจะดูแลห้องเก็บสมบัติอย่างดี จะมิให้เกิดการยักยอกสมบัติขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

แล้วนางก็ได้เอ่ยถึงความผิดพลาดของหลี่ซื่อออกมาอีกครั้ง พร้อมส่งยิ้มอบอุ่นให้กับหลี่ซื่อ

“ตอนนี้หลี่ซื่อก็จะได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง ข้าเองก็มิต้องกังวลว่าตัวเองจะมากินเปล่าอยู่เปล่า มิได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์อันใด”

แต่หลี่ซื่อกลับจ้องมองนางด้วยสายตาเคียดแค้น นี่นางแค่เพียงกล่าวมิกี่ประโยคกลับสามารถแบ่งอำนาจบางส่วนไปจากตนได้ ภายในใจนางโกรธแค้นอย่างมาก อีกทั้งยังต้องมาฟังหวังซื่อทำเป็นพูดราวกับหวังดีกับตนเสียหนักหนา ก็ยิ่งแค้นใจจนแทบจะกระอักเลือดออกมา มิว่านางจะโกรธแค้นเพียงใดนางก็ต้องฝืนยิ้มออกมา ดวงตาที่มองหวังซื่อนั้นเต็มไปด้วยความเยือกเย็น

“เช่นนั้นก็ต้องขอบใจน้องสะใภ้หวังด้วยที่ช่วยแบ่งเบาภาระข้า”

ได้ยินคำว่า ‘น้องสะใภ้’ ใบหน้าได้ใจของหวังซื่อก็แข็งค้างขึ้นในทันที ถูกอนุภรรยาที่ตัวเองดูถูกมาเรียกว่าน้องสะใภ้ สำหรับหวังซื่อ นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างยิ่ง

นางฝืนยิ้มแล้วเอ่ยออกมาว่า  “หลี่ซื่อ เจ้าคงเข้าใจผิดแล้ว คนที่เรียกข้าว่าน้องสะใภ้ได้นั้น มีเพียงพี่สะใภ้ใหญ่อันที่สิ้นไปแล้วเพียงเท่านั้น”

ถึงแม้ตำแหน่งของหลี่ซื่อในจวนนี้จะเทียบเท่ากับฮูหยินใหญ่อัน แต่เยี่ยงไรเสียนางก็มิได้มีฐานะเทียบเท่า ย่อมเรียกหวังซื่อเยี่ยงนั้นมิได้

“ข้าแค่ซึ้งใจที่เจ้ามาช่วยข้า เลยตื้นตันเกินไปจนเรียกผิด ขอเจ้าอย่าได้ถือสาเลยนะ”

ใบหน้าของหลี่ซื่อแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาแอบทอประกายยั่วยุออกมา กล้าแย่งอำนาจในมือของข้าไป หวังซื่อก็จะได้รู้ในเร็ววันนี้ ว่าเรื่องนี้มันมิง่ายอย่างที่นางคิดหรอก ถึงแม้นางจะถูกแย่งอำนาจดูแลห้องเก็บสมบัติในมือไป แต่ยังถือว่ากุมอำนาจส่วนใหญ่เอาไว้อยู่ บวกกับที่นางดูแลจวนนี้มาหลายปี หากหวังซื่ออยากจะชิงอำนาจกับตนนั้น นางจะได้รับรู้ถึงความลำบากอย่างแน่นอน

หวังซื่อคล้ายกับมิเห็นสายตายั่วยุนั้นของหลี่ซื่อ จึงพูดออกมาว่า “ต่อให้เจ้าจะตื้นตันเพียงใดก็มิควรลืมกฏและมารยาทที่ควรมี มิเช่นนั้นคนอื่นจะมองจวนโหวของเราว่าเป็นเยี่ยงไรกัน”

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังที่หวังซื่อกล่าวก็พยักหน้าเห็นด้วยอยู่ด้านข้าง

“สะใภ้หวังกล่าวถูก หลี่ซื่อ แม้เจ้าจะเป็นอนุภรรยาของอิงเฉิง แต่เยี่ยงไรก็มิใช่ภริยาเอก การเรียกภริยาของเจ้ารองว่าน้องสะใภ้นั้นถือเป็นการเหยียดหยามนาง”

ถูกอนุของพี่ใหญ่เรียกว่าน้องสะใภ้ เป็นเรื่องที่น่าอับอายเสียจริง ฮูหยินผู้เฒ่านั้นใช้ชีวิตกับพวกหวังซื่อมาสิบกว่าปี ย่อมมิยอมที่จะให้คนข้างกายได้รับการดูถูกเช่นนี้อยู่แล้ว นางออกปากต่อว่าหลี่ซื่อ อีกฝ่ายย่อมมิกล้าโต้เถียงอันใด ทำได้เพียงทำหน้าสำนึกผิด

“ท่านแม่สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว ต่อไปข้าจะระวังและสำรวมให้มากกว่านี้เจ้าค่ะ”

เดิมทีต้องการที่จะเหยียดหยามหวังซื่อสักหน่อย ใครจะคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับลุกขึ้นมาสนุบสนุนหวังซื่อ คนที่ขายหน้ากลับกลายเป็นตนแทน เป็นเหตุให้หลี่ซื่อรู้สึกมิพอใจอย่างมาก และยิ่งมิชอบพวกฮูหยินผู้เฒ่าที่กลับมาเมืองหลวงยิ่งขึ้นไปอีก แค่เพียงกลับมาวันแรกก็ทำให้นางขายหน้าจนเกือบถูกลงโทษ อำนาจในมือก็ถูกหวังซื่อแย่งเอาไปบางส่วน ราวกับเรื่องที่ผิดพลาดทั้งหมดระเบิดขึ้นมาพร้อมกันในวันเดียวยังไงอย่างนั้น และสาเหตุทั้งหมดก็เกิดจากพระโพธิสัตว์กวนอิมของอันหลิงเกอโดยแท้

เมื่อหลี่ซื่อคิดได้เช่นนั้นก็รู้สึกตกใจขึ้นมา จึงได้หันไปมองทางอันหลิงเกอ เห็นเพียงใบหน้าที่สะอาดสดใสแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนของอันหลิงเกอก็เท่านั้น และกำลังจ้องมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างสำรวม ท่าทางราวกับหลานสาวที่น่ารักและเชื่อฟัง

หรือว่าเรื่องทั้งหมดในวันนี้นังเด็กนี่จะเป็นคนวางแผนเอาไว้ ?

ความสงสัยในใจของหลี่ซื่อเพิ่มมากขึ้น แววตาที่มองไปยังอันหลิงเกอนั้นเต็มไปด้วยเคียดแค้น

อันหลิงเกอราวกับรู้สึกได้ถึงแววตาเคียดแค้นนั้นจึงได้ค่อย ๆ หันหน้าไปมองดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นสบเข้ากับดวงตาของหลี่ซื่อ เป็นเหตุให้ริมฝีปากสีแดงระเรื่อค่อย ๆ ยกขึ้น เป็นรอยยิ้มที่แฝงความนัยที่ลึกล้ำเอาไว้

เมื่อหลี่ซื่อได้เห็น เป็นเหตุให้ความรู้สึกโกรธแค้นประทุขึ้นมาภายในใจ

นังตัวดี ! นังนี่เองที่เป็นคนก่อเรื่องบ้าบอพวกนี้ !

หลี่ซื่อมองความเยาะเย้ยที่อยู่ในสายตาของอันหลิงเกอออก ดวงตาคล้ายกับมีเปลวไฟลุกพรึบขึ้นมาในชั่วพริบตา ทั้งที่นางยังมิทันได้ลงมือกับอันหลิงเกอ นังบ้านี่กลับกล้ามาลงมือกับนางก่อน ก่อนหน้านี้นางพลาดท่าให้กับอันหลิงเกอ นางคิดเพียงว่าตัวเองนั้นประมาท อันหลิงเกอจึงได้โชคดีไป แต่ในตอนนี้เมื่อลองมองนัยน์ตาล้ำลึกที่แฝงความเด็ดเดี่ยวเอาไว้ภายในนั้นแล้ว หลี่ซื่อก็รู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจ และได้กล่าวเตือนตัวเองเอาไว้ภายในใจว่า ต่อไปนี้จะประมาทอันหลิงเกอมิได้เป็นอันขาด !

มิเช่นนั้นครั้งนี้นางเสียอำนาจไป ครั้งหน้ามิแน่นางอาจต้องเสียชีวิตก็เป็นได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลี่ซื่อก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ใบหน้าก็พลันปรากฏรอยยิ้มที่งดงามออกมา

อย่าคิดว่าพวกฮูหยินผู้เฒ่ากลับจวนมาแล้วอันหลิงเกอจะมีคนหนุนหลัง ขอเพียงฮูหยินผู้เฒ่ามิยึดอำนาจในการดูแลจวนกลับไป จวนโหวก็ยังคงอยู่ในความดูแลของนางอยู่

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลี่ซื่อก็เก็บความมิพอใจต่อฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ในใจ แล้วมองดูฮูหยินผู้เฒ่าด้วยท่าทางเป็นห่วง แล้วกล่าวอย่างประจบประแจงว่า “ท่านแม่เดินทางกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อยคงจะหิวกันแล้ว ข้าได้สั่งให้คนทำของโปรดท่านเอาไว้ ท่านลองทานดูนะเจ้าคะว่าถูกปากหรือไม่เจ้าค่ะ”

แม้นางจะมิเข้าใจนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่า แต่ในจวนนี้ย่อมมีคนที่เคยดูแลฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อน ย่อมต้องรู้ถึงความชอบของนางอยู่บ้าง บังเอิญที่ตอนนี้เป็นเวลาอาหารพอดี ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้พยักหน้า

“ให้คนนำอาหารขึ้นโต๊ะเถิด”

นางราวกับนึกถึงความทรงจำหนึ่งขึ้นมาได้ สีหน้าดูอ่อนโยนลงในพริบตา

“ข้ามิได้ชิมอาหารในจวนมาหลายปี มิรู้ว่ารสชาติจะยังเหมือนเดิมอยู่หรือไม่”