ตอนที่ 40 เอาอกเอาใจ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 40 เอาอกเอาใจ

หลี่ซื่อนั้นนับว่าเป็นคนที่ฉลาดมาก นางมองสถานการณ์ได้เฉียบขาด พริบตาเดียวก็ตัดสินใจได้ว่าตนเองต้องเอาใจฮูหยินผู้เฒ่า

หากดูตามฐานะแล้ว จวนนี้เดิมทีควรจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่เป็นคนดูแล ถึงแม้ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะมิได้ใส่ใจเรื่องวุ่นวายพวกนี้แล้ว แต่หากวันใดวันหนึ่งฮูหยินผู้เฒ่ามิพอใจนางขึ้นมา ยึดอำนาจในการดูแลจวนของนางไป แล้วให้หวังซื่อมาแทนที่ หากเป็นเช่นนั้นนางจะต้องย่ำแย่เป็นแน่

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ลิ้มรสชาติอาหารเบื้องหน้าแล้วก็รู้สึกพึงพอใจในรสชาติอาหาร

 พ่อครัวนั้นมิทำให้หลี่ซื่อและฮูหยินผู้เฒ่านั้นต้องผิดหวัง อาหารที่ทำออกมารสชาติ คล้ายกับที่เมื่อก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดปรานเป็นอย่างมาก

“ลำบากเจ้าแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าวางตะเกียบลงแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ถึงแม้สีหน้าจะดูมิได้แสดงอาการอันใดออกมาชัดเจน แต่ก็มองออกว่าอารมณ์ของนางดีขึ้นมิน้อย

เมื่อได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว หลี่ซื่อยิ้มขึ้นมาทันที

“ถึงแม้ข้าจะเป็นเพียงอนุของท่านโหว แต่การกตัญญูต่อท่านแม่ก็เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังหลี่ซื่อกล่าวก็จ้องมองท่าทางแสร้งทำของนางด้วยใบหน้าที่คล้ายกับจะยิ้ม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนออกมาว่า “หากอี๋เหนียงกล่าวก่อนล่วงหน้าว่าท่านได้เตรียมอาหารที่ท่านย่าชอบไว้ให้ เมื่อครู่ท่านย่าก็คงจะมิกริ้วแล้วเจ้าค่ะ ”

“ใช่แล้ว แค่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ท่านแม่พอใจได้แล้ว หลี่ซื่อ เหตุใดเจ้าถึงมิรีบกล่าวก่อนเล่า”

หวังซื่อพูดผสมโรงด้วย สายตามิประสงค์ดีคู่นั้นมองไปยังหลี่ซื่อ

คิดจะใช้วิธีนี้เอาใจฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซื่อ เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน

หลี่ซื่อเมื่อเจอแผนการของอันหลิงเกอผสมโรงกับหวังซื่อที่คอยใส่ไฟ หลี่ซื่อก็ทำอันใดมิได้ นอกจากขบกรามแน่นด้วยความโมโห เดิมทีนางมิได้มีความคิดที่จะเอาใจฮูหยินผู้เฒ่า จึงมิได้ให้พ่อครัวเตรียมอาหารเอาไว้ เพียงแค่พ่อครัวของจวนนั้นฝีมือดี หลายปีมานี้จึงมิได้มีการเปลี่ยนคน เมื่อรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับจวน พ่อครัวก็ต้องเตรียมอาหารที่ฮูหยินผู้เฒ่าชอบทานไว้ให้อยู่แล้ว

นางแค่เพียงใช้โอกาสนี้รับเอาความดีความชอบมาไว้ที่ตนก็เท่านั้น ต่อให้พ่อครัวรู้เข้าก็มิกล้ากล่าวอันใดอยู่แล้ว แต่เมื่อมีอันหลิงเกอที่เข้ามาจุ้นจ้านยังมิพอ ยังมีหวังซื่อที่ต่อกรด้วยมิได้ง่ายผู้นั้นอีก

เมื่อหลี่ซื่อคิดตริตรองเรื่องนี้อย่างถ้วนถี่แล้ว ต่อให้จะแค้นสองคนนี้มากเพียงใด แต่ใบหน้าก็ยังต้องแสร้งยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรออกมา

“เพียงแค่กับข้าวมิกี่อย่าง เทียบกับกวนอิมหยกขาวของเกอเอ๋อแล้ว ข้าจะกล้าเอ่ยออกมาได้เยี่ยงไรว่าเตรียมอาหารโปรดไว้ให้ท่านแม่โดยเฉพาะ”

นางกล่าวก็มีเหตุผล หากเทียบกันหยกขาวเนื้อดีราคาหลายร้อยตำลึง กับอาหารมิกี่อย่างถือว่ามิพอให้กล่าวถึงจริง ๆ

เมื่อได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มิบ่งบอกอารมณ์ว่า “ช่างเถิด หลี่ซื่อมีน้ำใจเช่นนี้ก็ดีแล้ว เรื่องอื่นก็อย่าได้เอามาโต้เถียงกันให้มากนัก”

คำกล่าวของฮูหยินผู้เฒ่าแสดงถึงอำนาจให้หลี่ซื่อได้เห็นแล้วว่าตนเองนั้นมิใช้หญิงชราเลอะเลือนที่จะมารังแกหรือลบหลู่กันได้โดยง่าย แค่รู้ว่าอยู่ในจวนนี้ต้องเคารพและเอาใจนางก็พอแล้ว ภายในสายตาที่ฝ้าฟางของฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยอำนาจ นางสนับสนุนอันหลิงเกอก็เพื่อต้องการถ่วงดุลให้กับจวนนี้ มิให้หลี่ซื่ออยู่ในตำแหน่งสูงนานเกินไปจนหลงลืมว่าควรปฏิบัติตัวเยี่ยงไร

อันหลิงเกอยิ้มออกมาอย่างนอบน้อม แล้วกล่าวอย่างเอาใจว่า “ท่านย่าพูดได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”

หวังซื่อแม้มิพอใจที่เห็นหลี่ซื่อเอาใจฮูหยินผู้เฒ่า แต่ก็มิได้แสดงความมิพอใจออกมาอย่างชัดเจน จึงได้ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเปลี่ยนเรื่องกล่าวเสีย

เมื่อนึกย้อนกลับไปในปีนั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอารอง และท่านอาสาม จากจวนไปนั้น อันอิงเฉิงพึ่งจะได้รับตำแหน่งท่านโหว และตอนนั้นฮูหยินใหญ่อันก็พึ่งคลอดอันหลิงจุนได้มินาน อันหลิงเกอเองก็ยังเป็นเด็กเพียงมิกี่ขวบ

แต่ขณะที่หลี่ซื่อเข้ามายังจวน พวกฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้กลับไปอยู่ที่บ้านเก่าแล้ว ปกติเมื่อกลับไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเก่า อันอิงเฉิงก็มักจะไปเพียงคนเดียว มิเคยพาภรรยาและบุตรตามไปด้วย เช่นนั้นถ้ากล่าวกันตามจริงแล้ว นี่ถือเป็นครั้งแรกที่หลี่ซื่อและอันหลิงอีได้พบกับฮูหยินผู้เฒ่า

หลังจากทานอาหารเสร็จ ทุกคนก็ได้พูดคุยกันอีกมิกี่ประโยค ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้แนะนำทุกคนอย่างมิเป็นทางการ

“เกอเอ๋อ ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก คงจะจำใครมิค่อยได้ เดี๋ยวย่าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักไปทีละคนก็แล้วกัน”

นางค่อย ๆ กล่าวแนะนำให้หลานสาวรู้จักทีละคน เหมือนกับย่าทั่วไปที่มีเมตตาต่อหลาน

“นี่คืออาสะใภ้รอง และอาสะใภ้สาม”

ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นนิ้วไปชี้ที่หวังซื่อและเจิ้งซื่อ

อันหลิงเกอก็ก้าวไปด้านหน้าเพื่อคำนับหวังซื่อและเจิ้งซื่อในทันที

อันหลิงอีที่อยู่ด้านข้างกัดริมฝีปากจนแน่นลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ตามไปด้านหน้าแล้วทำการคำนับ

ถึงแม้ภายนอกฮูหยินผู้เฒ่าจะแนะนำหวังซื่อให้แก่อันหลิงเกอเพียงเท่านั้น หากนางมิเข้าไปคำนับด้วย อาจจะถูกคนครหาเอาก็เป็นได้ เดิมทีท่านย่าก็มิพอใจนางอยู่แล้ว เวลานี้นางควรที่จะระมัดระวังให้มาก

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นอันหลิงอีกระทำเช่นนี้ ใบหน้าของนางก็ดูใจดียิ่งขึ้น และได้แนะนำเหล่าลูกพี่ลูกน้องให้พวกนางต่อ

“นี่คือลูกสาวคนโตของท่านอาสาม เฉ่วเอ๋อ นางอายุน้อยกว่าเจ้า เจ้าก็เรียกนางว่าน้องรองก็แล้วกัน

ส่วนอีเอ๋อให้เรียกว่าพี่หญิงรองก็แล้วกัน แม้เฉ่วเอ๋อจากอายุเท่าเจ้า แต่ก็เกิดก่อนเจ้าตั้งหลายเดือน

และอีกคนหนึ่งคือเหมิงเอ๋อ เป็นบุตรสาวอนุของท่านอารอง อีกทั้งนางอายุยังน้อยกว่าพวกเจ้า

เยี่ยงนั้นก็เรียกนางว่าน้องสี่ก็แล้วกัน”

“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอและอันหลิงอีกล่าวตอบรับออกมาพร้อมกัน

อันหลิงเฉ่วเม้มริมฝีปากอย่างเขินอายเล็กน้อย แล้วยิ้มส่งให้กับทั้งสองคน

ส่วนอันหลิงเหมิงนั้นก็ส่งยิ้มให้ทั้งสองคน แล้วก็ก้มหน้ามองพื้นอย่างเขินอายเช่นกัน

เมื่อแนะนำคนที่เหลือทีละคนจนเสร็จแล้ว จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้เอ่ยขึ้นว่าตัวเองรู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว

หลี่ซื่อจึงได้รีบสั่งให้สาวใช้ไปส่งฮูหยินผู้เฒ่าที่ห้อง จากนั้นนางก็มานั่งเคร่งขรึมอยู่ที่หน้าโต๊ะ ดื่มน้ำจนหมดแก้วแล้ว แต่ไฟที่อยู่ในใจของนางก็ยังมิมีทีท่าจะลดลงแต่อย่างใด

“ท่านแม่ นังอันหลิงเกอตัวดีนั่นทำให้เราต้องอับอายต่อหน้าผู้คนทั้งสองครอบครัวนั่น ข้ายอมมิได้นะเจ้าคะ”

เมื่อนึกถึงสายตาของทุกคนที่มองหน้าตอนอยู่ในห้องโถงแล้ว อันหลิงอีก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก

นางถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก มีคนคอยเอาอกเอาใจมาโดยตลอด

แต่เมื่อกี้นี้สองครอบครัวนั่นทำราวกับได้ดูการแสดงที่น่าสนุกเสียเยี่ยงนั้น ได้มองดูนางคุกเข่าขอร้อง สายตาที่ดูมีความสุขนั่นราวกับจะมองอันหลิงอีได้อย่างทะลุปรุโปร่งไปเสียทุกอย่าง นางรู้สึกทุกข์และอับอายเสียยิ่งกว่าเรื่องที่วัดชิงอวิ๋น หรือเรื่องที่จวนอ๋องอี้นั่นเสียอีก

แม้ในสองคราแรกนางจะขายหน้า แต่นั่นเป็นเพราะถูกคนกลั่นแกล้ง ฮูหยินพวกนั้นกล้าพูดจากล่าวหานาง ก็เพียงแค่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเท่านั้น แต่ในครานี้นางถึงกับต้องคุกเข่าขอร้องท่านย่าต่อหน้าทุกคน นั่นเท่ากับว่าเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของนางจนสิ้น เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ อันหลิงอีจะปล่อยตัวต้นเหตุอย่างอันหลิงเกอไปโดยง่ายได้เยี่ยงไรกัน ?

เมื่อเห็นท่าทีของอันหลิงอี หลี่ซื่อก็ยื่นมือไปลูบหัวของลูกสาวตนเองอย่างสงสาร แล้วกล่าวปลอบโยนออกไปว่า “อีเอ๋อ ขนาดเจ้ายังยอมมิได้ แล้วแม่จะยอมได้เยี่ยงไรกัน ? ”

เมื่อได้คิดตริตรองย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลับพบความร้ายกาจของอันหลิงเกอที่ใช้กลยุทธ์ยืมดาบฆ่าคน เพื่อฉีกหน้านางสองคนแม่ลูก แล้วยังให้หวังซื่อแบ่งอำนาจจากมือของนางไปทันทีที่กลับมาถึงจวนอีกด้วย

ถึงแม้จะมิสามารถสั่นคลอนนางได้ แต่ในสายตาของหลี่ซื่อ นี่ถือเป็นการตบหน้านางอย่างแรง และยังเป็นการบอกผู้คนในจวนให้รับรู้อีกว่า ฮูหยินผู้เฒ่าและครอบครัวท่านอารอง และท่านอาสามกลับมายังจวนแล้ว อำนาจในการดูแลบ้านนี้อาจจะตกอยู่ในกำมือของใครก็ได้

หากตนเองยังมิรีบจัดการหวังซื่อให้ล่าถอยไป เช่นนั้นคนรับใช้ในจวนนี้คงได้เกิดความคิดเป็นอื่นขึ้นเป็นแน่

ในวันนี้หวังซื่อสามารถแบ่งอำนาจของตนไปได้ พรุ่งนี้มิแน่อาจกุมอำนาจทั้งหมดของจวนโหวไว้ก็เป็นได้

เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ นางได้แต่ขบกรามแน่นอย่างโกรธแค้นอันหลิงเกอ แต่ตอนนี้นางต้องรีบจัดการหวังซื่อเสียก่อน เพื่อมิให้จิตใจของคนรับใช้ในจวนไหวเอนไป นั่นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้

อันหลิงที่ยังรู้สึกมิพอใจอยู่ นางจึงเขย่าแขนของหลี่ซื่อแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านต้องแก้แค้นให้ข้านะเจ้าคะ ข้ามิอยากเห็นท่าทางได้ใจของนังอันหลิงเกอต่อหน้าข้าอีกแล้วเจ้าค่ะ”

อันหลิงอีกล่าวพร้อมกับขบกรามแน่น และเผยสีหน้าท่าทางที่ชั่วร้ายออกมา

“อันหลิงเกอเกิดมาก็ได้เป็นบุตรีภริยาเอก ส่วนข้าเป็นบุตรสาวท่านพ่อเช่นกัน เหตุใดต้องมาคอยก้มหัวให้นางด้วย ฝ่าบาททรงพระราชทานสมรสให้ เหตุใดนางเด็กกำพร้าอันหลิงเกอนั่นถึงได้โอกาสเช่นนี้ไปด้วย”

เมื่อได้ฟังคำกล่าวน้อยเนื้อต่ำใจของอันหลิงอี แววตาของหลี่ซื่อก็ทอประกายชั่วร้ายขึ้นมา แล้วลูบไปที่แผ่นหลังของอันหลิงอีเพื่อปลอบโยน

“อีเอ๋อ ลูกวางใจเถอะ รอแม่จัดการหวังซื่อเสร็จแล้ว แม่จะแก้แค้นให้ลูกเอง”