สำหรับท่าทางของหนานกงจวิ้นซีเวลานี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ทำเพียงราวเห็นจนชินตา เพราะก่อนหน้านี้ยามเอ่ยถึงว่าที่พระคู่หมั้น เขาจะเป็นเช่นนี้
ทว่า…
“จวิ้นซี เจ้ากับหญิงสาวผู้นั้น คล้ายไม่เจอกันมาหลายปีแล้วมิใช่หรือ!? อย่าลืมว่าหญิงสาวโตขึ้นเปลี่ยนไปสิบแปดแบบ หลายปีมานี้ หญิงสาวผู้นั้นคงเปลี่ยนเป็นสาวงามน่าเอ็นดูไปแล้วก็เป็นได้!”
“ฮึ! อย่างนางนะหรือพ่ะย่ะค่ะ!? ศิษย์พี่ท่านไม่รู้ เด็กเวรนั้นตอนเด็กขี้เหร่มากเพียงใด ยังขี้ตื้อเหมือนกับขนมหนิวผีถังอีกพ่ะย่ะค่ะ ฟันหน้ายังหลอซี่หนึ่ง เวลาพูดมักมีน้ำลายกระเด็นออกมา ท่านไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอชอบเดินตามหลังข้า สะบัดเช่นไรก็ไม่หลุด สุดท้ายยังถูกเหล่าพี่น้องหัวเราะเยาะอีก!”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ หนานกงจวิ้นซีเอ่ยพูดราวไม่มีวันจบ
จนในที่สุด เขาก็หิว
เพราะหลายวันนี้หลบหลีกเหล่าองครักษ์ไม่หยุด กินได้ไม่มาก นอนไม่หลับ ตอนนี้จึงหิวยิ่งนัก
ดังนั้น หนานกงจวิ้นซีจึงไม่เกรงใจ เอ่ยพูดกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า
“ศิษย์พี่ ข้าหิว แหะๆ มีสิ่งใดให้กินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เมื่อเห็นใบหน้าหัวเราะฮิฮะของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงหัวเราะเบาๆ อย่างจนใจอยู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้างว่า
“กระต่ายน้อย เจ้าไม่ได้ยินหรือ? องค์ชายเจ็ดหิวแล้ว เจ้าไปลงมือทำอาหารมาสักหน่อยเถอะ!”
พอเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยจบ ใบหน้าของทั้งสองคนตรงนั้นตกตะลึงอีกครั้ง
ทว่าหลังตกตะลึงเล็กน้อยชั่วขณะ เล่อเหยาเหยารู้อย่างรวดเร็วว่าพญายมตั้งใจให้เธอไถ่โทษ ดังนั้นจึงรีบเอ่ยรับคำ
“ขอรับท่านอ๋อง บ่าวจะรีบไปจัดการ!”
เอ่ยจบเล่อเหยาเหยาก้มหน้าหลบสายตา คิดหมุนตัวออกไปทันที คิดไม่ถึง ทางด้านหนานกงจวิ้นซีหลังได้ยินคำพูดเล่อเหยาเหยา กลับพลันลุกขึ้นจากเตียง คาดไม่ถึงว่าจะขยับตัวมากเกินไป ไม่ระวังกระทบอาการบาดเจ็บที่ระหว่างขา เจ็บจนเขาสูดหายใจเฮือกอย่างรุนแรง
“โอ๊ยๆ เจ็บเหลือเกิน”
“จวิ้นซี บาดเจ็บต้องนอนให้ดี เจ้าลุกขึ้นมาเช่นนี้ หากเกิดผลข้างเคียงจะทำเช่นไร?!”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยพูดประโยคนี้ ด้วยสีหน้าเย็นชาราวน้ำค้างแข็งเช่นเดิม ทว่าหนานกงจวิ้นซีที่ได้ยินประโยคนี้ กลับอดมีสีหน้ามึนงงเล็กน้อยไม่ได้ แววตาปรากฎความอับอายขึ้นมา
เพราะเขายังเป็นบุรุษ! เรื่องพวกนี้ฟังแล้วขัดเขินอึดอัดยิ่งนัก
ทว่าเมื่อสังเกตเห็นว่ายังมีคนอื่นอยู่ หนานกงจวิ้นซีพลันได้สติอย่างรวดเร็ว และนึกถึงเรื่องที่เขายังไม่ได้ทำเมื่อครู่ ก่อนรีบเรียกตัวเล่อเหยาเหยาเอาไว้ จากนั้นเอ่ยพูดอย่างมั่นใจว่า
“เด๋ยวก่อน ข้ายังไม่ได้บอกว่าต้องการกินสิ่งใดเลย!เจ้าจะรีบไปทำสิ่งใด!?”
“เอ้อ”
ได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยายิ้มมุมปาก ทว่ายังหันกลับไปอย่างเชื่อฟัง ก่อนก้มหน้าหลบสายตาราวขันทีขลาดกลัวต่ำต้อย
อีกทั้ง แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของหนานกงจวิ้นซี แต่เล่อเหยาเหยารู้ว่านี้ต้องไม่ใช่เรื่องที่ดี กำลังคิดเรื่องบางอย่างที่สร้างความลำบากให้เธอเป็นแน่
คิดไม่ถึงว่า…
“วันนี้ ข้าอยากกินอาหารที่มีรสทั้งเปรี้ยวทั้งเผ็ดทั้งหวาน จำไว้ว่าต้องเป็นของอร่อย!”
ประโยดสุดท้าย หนานกงจวิ้นซีเน้นย้ำอย่างยิ่ง เพื่อบอกกล่าวถึงรสชาติ
คำพูดนี้มิใช่หมายถึง…
หากเธอทำออกมาไม่อร่อย เขาจะลงโทษเธออย่างหนัก!
เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาขมวดคิ้วงดงามแน่น พลางแอบก่นด่าในใจ ชายใจแคบน่าตายนี้ คอดแก้แค้นเธอหรือ!?
ของใดที่ทั้งเปรี้ยวทั้งเผ็ดทั้งหวาน ของสามสิ่งนี้รวมกเข้าด้วยกันจะยังกินได้หรือ!?
ทว่า เมื่อรู้หนานกงจวิ้นซีตั้งใจสร้างความลำบากในเธอ หากตอนนี้เธอพูดว่าทำไม่ได้ เขาต้องหยิบยกเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ดังนั้น เธอต้องทนให้ได้
ทว่า เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่อยู่ด้านข้างกลับขมวดคิ้วงดงามเล็กน้อย คล้ายกับไม่พอใจกับการที่หนานกงจวิ้นซีสร้างความลำบากให้เล่อเหยาเหยา
ทว่าเขาทราบดี ศิษย์น้องเขาผู้นี้ไม่ใช่คนนิสัยเสีย เพราะเขาถูกเล่อเหยาเหยาเหยียบอย่างรุนแรงที่ตรงนั้น หากเขาไม่ทำให้เล่อเหยาเหยาลำบากดูบ้าง คงคลายความโกรธในใจลงไม่ได้
ดังนั้นตอนนี้ เขาจึงไม่เอ่ยพูดอันใด ปล่อยให้เล่อเหยาเหยาเข้าใจด้วยตนเอง
เล่อเหยาเหยาทราบดีว่าครั้งนี้ ไม่มีผู้ใดช่วยเธอได้แน่ ดังนั้นหลังก้มหน้าเอ่ย ‘ขอรับ’ออกมารีบหมุนตัวจากไปทันที
ระหว่างเดินไปที่ห้องครัว ในใจครุ่นคิดไม่หยุดว่า สุดท้ายมีอาหารชนิดใดที่ทั้งเปรี้ยวเผ็ดหวาน!?
เฮ้อ ช่างเป็นปัญหาที่ยุ่งยากเสียจริง!
อันที่จริงเธอทำอาหารได้ ทว่าไม่ใช่แม่ครัว สหรับเรื่องด้านนี้เธอรู้เพียงเล็กน้อย
ทว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอต้องไปถามรายละเอียดกับคนที่เข้าใจในด้านนี้!
คิดถึงตรงนี้ ดวงตาเล่อเหยาเหยาเป็นประกายขึ้น พลันรีบร้อนตรงไปที่ห้องครัว
“เอ๊ะ พี่ใหญ่หลี่ไม่อยู่หรือ? ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเขา!”
หลังมาถึงห้องครัว เล่อเหยาเหยาไม่พบตัวพ่อครัวหลี่ ดังนั้นจึงเอ่ยถามพี่ใหญ่โจวที่ทำงานกับพ่อครัวหลี่
ได้รับข่าวร้ายว่าเมื่อพ่อครัวหลี่ที่บ้านเกิดเรื่องขึ้น จึงขอลากลับไป
เมื่อได้ยิน คิ้วของเล่อเหยาเหยาพลันขมวดขึ้น ใบหน้าปรากฏความยุ่งยากร้อนใจออกมา
สวรรค์! ทำเช่นไรดี? ที่นี่คนที่เข้าใจเรื่องอาหารที่สุดคือพ่อครัวหลี่ ตอนนี้พ่อครัวหลี่ไม่อยู่ และไม่รู้เมื่อใดถึงจะกลับมา หากวันนี้เขาไม่กลับมาล่ะ! ควรทำเช่นไรดี!?
ขณะที่เล่อเหยาเหยาร้อนรนหงุดหงิด พี่ใหญ่โจวเห็นเช่นนั้น อดเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้ามีเรื่องรีบร้อนใดกับเขาหรือ เฮ้อ เจ้ามาไม่ถูกเวลาเสียแล้ว เมื่อครู่มีคนมาบอกว่าคล้ายภรรยาเขาป่วย เขาจึงรีบร้อนกลับบ้านเพื่อพาภรรยาไปหาหมอ เฮ้อ เจ้าก็รู้ ภรรยาเขาเพิ่งคลอดลูก ร่างกายจึงไม่แข็งแรง ข้าจะบอกให้นะ ความจริงผู้หญิงอยู่ไฟ ต้องบำรุงร่างกายให้ดี มิฉะนั้นจะล้มป่วยได้”
พี่ใหญ่โจวอายุไล่เลี่ยกับพ่อครัวหลี่ ทว่ากลับช่างพูดอย่างยิ่ง เจอผู้ใดสามารถพูดคุยได้ ดังนั้นเล่อเหยาเหยามาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็พูดเจื้อยแจ้วไม่มีหยุด
เดิมทีเล่อเหยาเหยาร้อนใจยิ่งนัก จนทนไม่ไหวที่ยังมีคนเอะอะโวยวายอยู่ข้างหูไม่หยุด หมายจะหมุนตัวกลับไปหาที่ไร้ผู้คนลองขบคิด คิดไม่ถึง ขณะได้ยินคำพูดของพี่ใหญ่โจว ภายในสมองพลันมีความคิดวาบขึ้นมา
“อา มีแล้ว!”
สิ่งที่ทั้งเปรี้ยว เผ็ดและหวาน คือขาหมูตุ๋นมิใช่หรือ!?
คิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาดวงตากระจ่างวูบ คล้ายแสงเทียนพลันถูกจุดขึ้นยามค่ำคืน ทอประกายงดงาม
อีกทั้งใบหน้าเรียวอมทุกข์นั้น ก็พลันยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจ
ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ยิ้มแย้มดุจบุปผานั้น ทำให้พี่ใหญ่โวที่ล้างผักอยู่อดชะงักงันไม่ได้ บนใบหน้าเผยความตกตะลึงออกมาอย่างชัดเจน
กระทั่งเล่อเหยาเหยาเข้าไปตบที่ไหล่ พร้อมเอ่ยถามด้วยใบหน้าวิงวอน
“พี่ใหญ่โจว ตอนนี้พ่อครัวไม่อยู่ ท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”
“ห๊ะ อะ…เรื่องอันใด?!”
เมื่อถูกเล่อเหยาเหยาตบเข้าเช่นนี้ พี่ใหญ่โจวที่ตกละลึงกับรอยยิ้มของเล่อเหยาเหยาพลันได้สติ ทว่ายังคงพูดจาตะกุกตะกักไม่เป็นธรรมชาติ
ทว่า ตอนนี้เล่อเหยาเหยาที่กำลังดีอกดีใจกลับไม่รู้ตัวสักนิด ทั้งยังเอ่ยพูดกับเขาต่อว่า
“ตอนนี้ท่านอ๋องอยากเสวยขาหมูตุ๋น แต่อยากให้ข้าเป็นคนลงมือทำ ทว่าข้าทำคนเดียวไม่ไหว ท่านช่วยติดไฟให้ข้าได้หรือไม่? ท่านอ๋องทรงรีบจะเสวยขอรับ!”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยด้วยใบหน้าร้อนรน ความจริงในใจยังคงหวาดกลัวกับเรื่องไฟไหม้ห้องครัวครั้งที่แล้ว
อันที่จริง ครั้งก่อนเธอเพิ่งติดไฟกลับทำให้ห้องครัวไฟไหม้ จนตนแทบเอาชีวิตไม่รอด
แม้เรื่องนั้นจะร้ายแรงอย่างมาก โชคดีที่ท่านอ๋องทรงไม่ตำหนิ แต่จากเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว ตีเธอให้ตายเธอก็ไม่กล้าติดไฟเอง
ดังนั้นจึงคิดให้คนช่วยติดไฟ ส่วนเธอจะลงมือทำขาหมูตุ๋น
ส่วนพี่ใหญ่โจวเมื่อรู้ว่าที่แท้เล่อเหยาเหยาจะพูดคือเรื่องนี้ รีบตบหน้าอกเอ่ยอย่างใจกว้างงว่า
“แค่นี้หรือ ได้สิ แค่ก่อไฟ เรื่องเล็กน้อย! ทว่าเสี่ยวเหยาจื่อ ข้าถามเจ้าหน่อย สิ่งใดคือขาหมูตุ๋นหรือ!?”
“ห๊า? พี่ใหญ่โจว ท่านทำงานในห้องครัวมาตั้งนาน ไม่รู้ว่าสิ่งใดคือขาหมูตุ๋นหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดพี่ใหญ่โจว ภายในดวงตาเล่อเหยาเหยาตกตะลึงเล็กน้อย
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย นี้มันคือสิ่งใดกัน?”
พี่ใหญ่โจวยิ่นมือลูบท้ายทอย ก่อนเอ่ยพูดตามความจริงอย่างตรงไปตรงมา
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาพลันนึกขึ้นได้ จึงยิ้มที่มุมปาก ก่อนเอ่ยว่า
“ฮ่าๆ ไม่รู้ก็ชางเถอะ เดี๋ยวข้าทำออกมาแล้วท่านก็จะรู้เอง!”
แม้จะเอ่ยพูดเช่นนี้ ทว่าในใจกลับดีใจยิ่งนัก
ฮ่าๆ เมื่อยุคนี้ไม่มีขาหมูตุ๋น ก็แสดงว่าเจ้านั้นก็ไม่เคยกินมาก่อน
ฮึๆ! อยากสร้างความลำบากให้เธอ!? เธอต้องทำให้เขารู้ ว่าเธอเล่อเหยาเหยาไม่ใชคนโง่ และไม่ใช่คนที่รังแกได้ง่ายๆ!
……………………………………….