บทที่ 69 พายุมาเยือนงานวิวาห์[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 69 พายุมาเยือนงานวิวาห์[รีไรท์]

งานแต่งงานถูกจัดขึ้นที่เมืองหยุนหยาน แน่นอนต้องเป็นโรงแรมเจ็ดดาว ที่โรงแรมหยุนเซียว! ชื่อโรงแรมค่อนข้างพื้น ๆ แต่ว่ามันใหญ่โตมโหฬารมาก มันเป็นกิจการในเครือตระกูลหยุน

ตระกูลหยุนยิ่งใหญ่จนเคยมีข่าวลือว่าชื่อของเมืองหยุนหยานถูกตั้งชื่อตามตระกูลหยุน! แต่มันเริ่มมาจากไหน? ข่าวลือเหล่านี้เริ่มมาจากที่กลุ่มชายดื่มเหล้าเมาเผลอพูดออกมาหลังจากดื่มมากเกินไป

ผู้ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดในแวดวงธุรกิจ ต่างก็รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่ทว่าเรื่องนี้กลับสร้างชื่อเสียงให้ตระกูลหยุน

ตระกูลหยุนตระหนักดีถึงหลักการของการสร้างอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่จะเป็นการดึงดูดแรงลมและจะต้องรักษาภาพพจน์ให้อยู่ในระดับต่ำ แต่แม้ว่าพวกเขาจะมีอำนาจก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งผู้คนได้

ดังนั้นข่าวลือนี้ จึงแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดมันก็กลายเป็นว่าเมืองหยุนหยานนั้นเป็นเหมือนบ้านของตระกูลหยุน!

ตัวอย่างเช่นวันนี้ การแต่งงานระหว่างตระกูลหยุนและตระกูลฮวา งานแต่งงานมีกำหนดเวลาบ่ายโมง ชนชั้นผู้นำทั้งหมดของเมืองหยุนหยานต่างมารวมตัวกันที่โรงแรมหยุนเซียวตั้งแต่เช้าแล้ว

“รถวิวาห์มาถึงแล้ว!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกน

แต่เสียงนี้ทำให้ทุกชีวิตที่เดินในเมืองหยุนหยานหรือคนธรรมดาทั่วๆ ไป ต่างมองดูไปยังรถหรูที่แล่นมาจากที่ไกลๆ

Rolls-Royce Phantom ขับนำเข้ามาหยุดลง

หยุนหนานเฟิงลงจากรถด้วยรูปหล่อเหลา ร่างกายสูงใหญ่ และสถานะครอบครัวสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือเจ้าชายที่สมบูรณ์แบบที่สุดมีเสน่ห์ เป็นที่ใฝ่ฝันของผู้หญิงหลายคน

รูปร่างหน้าตาของเขาไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวย หรือผู้หญิงธรรมดา ก็ไม่สามารถอดทนไม่กรีดร้องได้

การแสดงออกของหยุนหนานเฟิงนั้นไร้ที่ติ หลังจากที่เขาลงจากรถ เขาเดินวนไปด้านหลังของรถและช่วยเปิดประตูรถให้ฮวาชิงหวู่กิริยาที่อ่อนโยนและสง่างาม ทำให้ผู้หญิงสนใจเขาเพิ่มมีจำนวนมากยิ่งขึ้น

การปรากฏตัวของฮวาชิงหวู่ทำให้เกิดความโกลาหล ในสถานการณ์นี้ทุกคนไม่สามารถพรรณนาออกมาได้ เทพธิดาบนโลกมนุษย์ พวกเขาไม่สามารถหาคำที่จะมาบอกถึงความงามของเธอได้แล้วจริงๆ

หน้าประตูของโรงแรมหยุนเซียวมีการจุดประทัดดอกไม้ไฟเสียงดังมาก ใช้เวลาเป็นกว่าครึ่งชั่วโมง ควันและฝุ่นจากประทัดก่อตัวเป็นดอกเห็ดและลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า พรมแดงที่สว่างลาดยาวไปกว่าร้อยเมตร

หยุนหนานเฟิงยื่นท่อนแขนออกเพื่อให้ฮวาชิงหวู่คล้อง ทางด้านฮวาชิงหวู่เองก็คล้องแขนของหยุนหนานเฟิงและเหยียบลงบนพรมแดง

นี่คือฉากที่สวยงามที่สุดในวันนี้

“คุณประหม่า”

หยุนหนานเฟิงแอบขยับแขนเล็กน้อย ฮวาชิงหวู่บีบแขนของเขาจนแทบจะแตกสลายอยู่แล้ว เขารู้สึกประหลาดใจมากว่าทำไมผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอถึงมีแรงมากขนาดนี้

ฮวาชิงหวู่พยายามทำให้ตัวเองผ่อนคลายแล้วพูดขึ้น “ขอบคุณ!”

หยุนหนานเฟิงส่งรอยยิ้มอันอ่อนโยน ในขณะที่เขานึกถึงแขกที่อยู่รอบตัวเขาปากของเขาขยับเล็กน้อย

“ไม่เป็นไร เอาที่ต่างฝ่ายต่างสบายใจเถอะ!” ฮวาชิงหวู่ยิ้มบาง ๆ ไม่พูดอะไรต่อและพยายามเป็นเจ้าสาวชั่วคราวที่ดี

แต่ไม่มีใครเห็นว่าที่ข้อมือของเธอ มีกำไลข้อมือที่มีสีสันสวยงาม ระยิบระยับเหมือนแสงอาทิตย์

เมื่อสาวเท้าผ่านไปตามทางเดิน ทันใดนั้นฮวาชิงหวู่ก็ดวงตาเบิกกว้าง สนามหญ้าด้านหลังโรงแรมหยุนเซียว ที่มีพื้นที่หลายพันตารางเมตร ได้กลายเป็นสถานที่สำหรับจัดงานแต่งงาน

พรมแดงทอดยาว ผู้คนแต่งกายด้วยชุดสีขาวและแขกผู้มีเกียรติก็มารวมตัวกันหมด ทุกอย่างเผยให้เห็นถึงความหรูหราวิจิตร

พิธีกรในงานก็คือคนที่เก่งที่สุดในประเทศจีน เป็นพิธีกรระดับแถวหน้าที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ

“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน เพื่อนๆ ที่รักยินดีต้อนรับสู่วันที่มีแสงแดดและการเฉลิมฉลอง… ” พิธีกรพยายามอย่างหนัก เพื่อปลุกเร้าบรรยากาศของงาน

“คุณหยุนหนานเฟิง คุณจะรับฮวาชิงหวู่ ผู้หญิงที่สง่าและสวยงาม อยู่เคียงข้างเธอไม่ว่าจะยากจนแก่เฒ่า…”

ลูกหลานของตระกูลหยุนอดไม่ได้ที่จะร้องยินดี หยุนหนานเฟิงจับไมโครโฟนในมือของเขาแล้วมองไปรอบ ๆ ก่อนพูดขึ้น

“ผมไม่ต้องการ!”

ทุกคนในงานต่างตกตะลึง!

พิธีกรเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาคิดว่าเขาได้ยินมันผิดไป หน้าที่ของเขาคือทำให้ฉากนั้นอบอุ่นและสร้างบรรยากาศ เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่อาย

“ไม่ต้องกังวลครับ คุณหยุนแค่ล้อเล่นเท่านั้น”

“โอ๊ะ!” ทุกคนต่างคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก

หยุนหนานเฟิงมองไปที่ฝูงชนด้วยรอยยิ้มและทั้งหลายอย่างอ่อนโยน เขายกไมโครโฟนขึ้นและพูดด้วยเสียงดัง “ผมไม่ได้ล้อเล่น คุณได้ยินถูกแล้ว ผมจะพูดอีกครั้งผมไม่ต้องการแต่งงาน!”

หลังจากนั้นเขาหันมามองที่ฮวาชิงหวู่และถามขึ้น “เธออยากที่จะแต่งงานกับฉันไหม?”

ทันใดนั้นฮวาชิงหวู่ก็หัวเราะเบา ๆ เธอเหมือนดอกไม้นับร้อยบานสะพรั่ง เธอพอจะเข้าใจตัวตนของหยุนหนานเฟิงแล้วเธอพูดเสียงดัง “การแต่งงานภายใต้การข่มขู่ แน่นอนว่า ฉันไม่ต้องการ!”

ฉากเหตุการณ์นี้ เงียบสงบเป็นเวลา 3 วินาที

“ปัง!”

รอยยิ้มของคนในตระกูลหยุนและตระกูลฮวาแข็งทื่อ

“หยุนหนานเฟิงแกรู้ไหมว่าแกกำลังทำอะไรอยู่?” ต่อจากนั้น ผู้นำตระกูลหยุนที่นั่งอยู่ก็ลุกยืนขึ้นและทุบโต๊ะด้วยความโกรธ

หยุนนานเฟิงมองเขาด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ “คุณถาม หยุนหนานเฟิง งั้นก็ให้เขาเป็นคนตอบเองละกัน”

หยุนหนานเฟิง ดึงรีโมทคอนโทรลขนาดเล็กออกมากดและหน้าจอขนาดใหญ่ก็ติดอยู่ข้างหลังเขา สิ่งที่ควรได้เห็นบนหน้าจอ ควรจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับงานแต่งงาน แต่ในเวลานี้มันแสดงฉากที่อึดอัดมาก

มันเป็นภาพแสดงห้องมืดห้องหนึ่ง เมื่อมีคนอยากรู้อยากเห็น ประตูห้องก็เปิดออกและมีแสงสว่างอยู่ในนั้น เมื่อแสงตกลงบนร่างภายในห้องมืด แขกทุกคนต่างอุทาน

ทุกคนต่างเห็นได้ว่า มันเป็นร่างมนุษย์ที่เปลือยกายในความมืด เหมือนชั้นของผิวหนังที่แขวนอยู่บนชั้นวางของโครงกระดูก ซึ่งทำให้ผู้คนหลั่งเหงื่อออกมา

ในเวลานี้ระหว่างแขกที่ได้รับเชิญมีเด็กสาวน่ารักคนหนึ่งที่มีใบหน้ากลมโตตาโตและเหมือนดารานักแสดงจ้าวลี่อิง แต่เธอไม่สามารถยับยั้งเสียงกรีดร้องที่รุนแรงได้ ใบหน้าที่สวยงามของเธอขาวเหมือนกระดาษและร่างกายของเธอสั่นอย่างรุนแรง ที่นั่งข้าง ๆ หญิงสาวเป็นชายแก่ที่มีจิตใจดีและมีผมสีขาว นอกจากนี้ยังมีชายหญิงสวยคู่หนึ่ง

“ถังถัง!” ชายชรากระวนกระวาย เขากอดเด็กสาวไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วลูบหลังเธอ เขาปลอบเธอด้วย “ไม่มีอะไรไม่ต้องกลัวปู่อยู่นี่…”

ชายหญิงสองคนมองหน้ากันและปลอบโยนหญิงสาวอย่างรวดเร็ว

อารมณ์ของหญิงสาวค่อย ๆ ผ่อนคลายลง แต่ร่างกายของเธอยังคงสั่นอย่างรุนแรงและเธอก็พูดว่า “เขา…เขานี่แหละ ที่จับหนูไป…”

“อะไรนะ?” ดวงตาของชายชราเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมคลื่นพลังหลั่งไหลออกมาจากตัวเขา ใบหน้าของชายหญิงทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอย่างรุนแรง!

แขกที่อยู่บริเวณนั้นออกห่างจากชายชราโดยไม่รู้ตัว ไม่มีใครกล้าท้าทายชายชราคนนี้ได้ พยัคฆ์ซูแห่งตระกูลซู ชื่อนั้นพื้น ๆ แต่ชีวิตของชายชราเป็นตำนาน แม้แต่เด็ก 3 ขวบในเมืองหยุนหยานก็สามารถเล่าเรื่องเก่าของเขาสองหรือสามเรื่องได้

ชายชราคนนี้ครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องเลื่อมใส เคยเข้าร่วมสงครามเพื่อชาติมาหลายครั้ง เขามีฉายาว่า จิตวิญญาณแห่งกองทัพโดยหัวหน้าหมายเลข 1 ของรัฐบาล

แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ในสถานะกึ่งเกษียณ แต่เขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตมาในกองทัพมีลูกน้องเป็นทหารมากมายทั่วแผ่นดิน แม้ว่าตระกูลหยุนจะมีบทบาทสำคัญในเมืองหยุนหยาน แต่ก็ไม่กล้ายั่วยุชายชราท่านนี้

“ไอ้ชาติหมา ถ้าวันนี้แกไม่อธิบายให้ฉันฟัง ต่อให้ต้องสู้ด้วยร่างกายที่แก่ชรานี้ ฉันก็จะทำให้ตระกูลหยุนมอดไหม้!”

ชายชราเตะเก้าอี้เป็นชิ้น ๆ ก่อนจะคำรามออกมาอย่างโกรธแค้นจนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ชายชรามีหลานเพียงคนเดียวก็คือ ซูถัง ซึ่งเป็นเด็กดีมาโดยตลอดและได้รับการดูแลดั่งไข่ในหิน

แต่ซูถังหายตัวไปเมื่อ 2-3 วันก่อนทำให้ชายชราร้อนใจ ออกคำสั่งให้บุตรชายของตระกูลซูกลับมาให้หมด ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตามแม้แต่ลูกชายคนสุดท้องของชายชราที่อยู่ในทีมลับของประเทศก็ต้องรีบกลับมาหลังจากได้รับโทรศัพท์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าชายชรารักหลานสาวมากขนาดไหน

ในที่สุดแม้แต่หัวหน้าหมายเลข 1 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศก็ยังตื่นตระหนก ส่งกองกำลังทั้งหมดเพื่อออกค้นหา

แต่มันก็ไม่เป็นผล ในช่วงเวลานั้น ชายชราไม่ได้กินไม่ได้นอนเขาก็ผ่ายผอมลงอย่างมาก เมื่อชายชรารู้สึกท้อแท้ซูถังก็กลับมาที่บ้าน แต่เธอลืมสิ้นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเธอเกิดความกลัวอย่างสุดขีด เธอจำได้เพียงมีคนช่วยชีวิตเธอเอาไว้

ชายชราโกรธมาก บังอาจมีคนคิดทำร้ายหลานสาวของเขา แต่ซูถังก็ลืมสิ้นทุกอย่าง เขาทำได้เพียงระบายความโกรธเกรี้ยวของเขาลงกับลูกชายหลาย ๆ คนเท่านั้น ลูกชายเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บังคับบัญชาขั้นสูง ต่างก็ถูกดุด่าจนเสียคนไปตาม ๆ กัน

นึกไม่ถึงว่าซูถังจะจำได้ตอนนี้ เมื่อเห็นว่าหลานของเขาหวาดกลัวเช่นนี้ ชายชราก็คิดทันทีว่าจะระดมพลทั้งหมดกวาดล้างตระกูลหยุน

ชายหญิงที่อยู่ถัดจากเขาสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น โดยเฉพาะผู้ชาย พวกเขาจ้องมองไปที่หยุนหนานเฟิง อย่างโกรธแค้น

เขาอยากที่จะฆ่าทุกคนที่ลักพาตัวซูถังไป ทุกวันนี้เขาถูกชายชราเฆี่ยนตีและดุด่าจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว แขกหลายคนเริ่มรู้สึกเป็นกังวล เพราะกลัวชายชราที่กำลังโกรธเกรี้ยว

หลายคนภาวนาขออย่าได้นำพวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย

“คุณปู่ซูไม่ต้องกังวล ฉันจะให้คำอธิบายกับท่าน โปรดดูจบก่อน” ท่าทีของหยุนหนานเฟิงไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งแรกเริ่มจนถึงตอนนี้

หยุนหนานเฟิงกดรีโมทควบคุมจากระยะไกล และหน้าจอก็เริ่มฉายอีกครั้ง