บทที่ 73: ความจริงเบื้องหลังประวัติศาสตร์

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 73: ความจริงเบื้องหลังประวัติศาสตร์

“ท่านโรเอล ท่านนอร่า แค่ขนมปังเพียงพอรึเปล่าขอรับ? ส่วนนี่แยมที่ข้าซื้อมาจากคนขายของข้างทาง มันเข้ากันได้ดีกับขนมปัง”

“ขอบคุณมากเคราส์ ไม่มาทานด้วยกันเหรอ?”

“ไม่เป็นไรขอรับ ข้าเพิ่งกินไปได้ไม่นานมานี้เอง”

นับตั้งแต่ที่โรเอลและนอร่ามาถึงโบสถ์ นักพรตวัยกลางคนก็เดินไปมาเพื่อดูแลทุกความต้องการของพวกเขาโดยไม่ได้พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขากลัวว่าจะละเลยพวกเขาจนเกินไป

โรเอลรู้สึกได้ถึงความเคารพและชื่นชมจากดวงตาของเคราส์ที่จ้องมองมา ซึ่งทำให้เขารู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก

(แต้มความสนใจ +100!)

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? นี่ดูไม่ออกจริง ๆ เหรอเนี่ย ฉันไม่ใช่ทูตสวรรค์ที่ลงมายังโลกเพื่อชี้ทางรอดให้นายหรอกนะ ทำไมถึงให้แต้มความสนใจกันมากขนาดนี้!?

เด็กชายไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเสน่ห์ก็กลายเป็นภาระได้เช่นกัน ทุกครั้งที่โรเอลเห็นแสงสีเขียวส่องออกมาจากหัวของเคราส์ เขารู้สึกเหมือนกับว่าน้ำหนักบนไหล่ของตนเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ามีความคาดหวังมากมายวางไว้บนนั้น

เดี๋ยวนะ หรือว่านี่จะเป็นเพราะเราหล่อเกินไป?

โรเอลเคี้ยวขนมปังพลางพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม เขารู้สึกว่าการคาดเดาของตนนั้นสมเหตุสมผล ไม่อย่างนั้นแล้วทำไมคนแปลกหน้าคนนี้ถึงได้ปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี อีกทั้งยังเสนอเสบียงอันมีค่าให้กับพวกเขากันล่ะ?

ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์กำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเด็กจากตระกูลชนชั้นสูง แต่มันก็ไม่มีหลักประกันใด ๆ เลยว่าเคราส์จะได้รับรางวัลหากส่งทั้งสองกลับคืนแก่พ่อแม่ของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ที่พ่อแม่ของพวกเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้

“เคราส์ ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้ไหม?”

“ได้เลยขอรับ! อย่าลังเลที่จะถามกระผม!”

ระหว่างที่จิตใจของโรเอลกำลังล่องลอยอยู่ในภวังค์ นอร่าก็หันไปสนทนากับนักพรตที่หลงใหลพวกเขามากเสียจนเกินไป

“กองทัพที่กำลังต่อสู้กันอยู่ คือกองทัพขององค์ชายเวตกับองค์หญิงวิกตอเรียใช่ไหม?” นอร่าถาม

นี่เป็นคำถามที่แปลกมาก หากพิจารณาตามความจริงที่ว่าการต่อสู้ได้ดำเนินมาเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ที่จะไม่รู้เรื่องนี้ ทำให้เคราส์ตกตะลึงไปพักหนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็กลับมาสุขุมดังเดิม

แหงสิ! บุตรศักดิ์สิทธิ์เพิ่งลงมาจากสวรรค์เท่านั้น พวกเขายังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับความโกลาหลนี้ ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาพยายามเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบัน โฮ่ นี่เป็นโอกาสดีสำหรับเราที่จะได้พิสูจน์คุณค่าของตัวเองไม่ใช่หรือ?

“ข้าเข้าใจขอรับ มันไม่แปลกที่ท่านจะสับสนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมือง ให้ข้าได้อธิบายทุกอย่างให้พวกท่านฟังเถอะ”

“นั่นช่วยได้มากเลยล่ะ ขอบใจนะเคราส์”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรขอรับ มันคือสิ่งที่ข้าควรทำขอรับ!”

“…”

ไม่ใช่แค่โรเอลเท่านั้นที่สังเกตเห็นความหลงใหลจนเกินงามของเคราส์ ตอนนี้แม้แต่นอร่าเองก็เริ่มรู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เช่นกัน เธอจึงคิดซะว่ามันเป็นความเมตตาอันชอบธรรมของเขาไปแทน

เคราส์ใช้เวลาไม่กี่นาทีอธิบายข้อมูลต่าง ๆ ด้วยความสามารถทางวิชาการของตน นักพรตอธิบายสถานการณ์รอบ ๆ ของทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียดชัดเจน

การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นเดือนมีนาคม และดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ทั้งเมืองได้ถูกปิดกั้นแยกออกจากส่วนอื่น ๆ ของโลก ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าหรือออกจากเมืองหลวงได้ มันเป็นการต่อสู้ระหว่างฝั่งองค์ชายเวตและตระกูลขุนนางชั้นสูงทั้งสาม กับ ฝั่งองค์หญิงวิกตอเรียและอัศวินผู้พิทักษ์ของจักรวรรดิเซนต์เมซิท

ตระกูลขุนนางชั้นสูงทั้งสาม ได้แก่ ตระกูลเบลฟาสต์ ตระกูลไวส์ และ ตระกูลเอลริก ทว่าตระกูลเบลฟาสต์ และตระกูลไวส์เป็นเพียงแค่ตัวประกอบเท่านั้น แท้จริงแล้วกองกำลังส่วนใหญ่ขององค์ชายเวตนั้นมาจากตระกูลเอลริก

ส่วนทางด้านองค์หญิงวิกตอเรีย เธอได้รับการสนับสนุนจากตระกูลแอสคาร์ด ผู้บังคับบัญชาการกองพันที่สามของภาคีอัศวิน

ทั้งสองฝ่ายได้ตั้งแนวรบขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางถนนกลางเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ยืนเผชิญหน้ากัน ทว่าความ​ยืดเยื้อก็ต้องจบลงเมื่อผู้นำแห่งตระกูลเอลริกได้เข้าโจมตีกองกำลังขององค์หญิงวิกตอเรียโดยกะทันหัน ส่งผลให้การป้องกันและแนวรบของพวกเขาพังทลายลง

จากนั้นเป็นต้นมา การต่อสู้ก็ได้เปลี่ยนจากการปะทะกันเป็นการสังหารหมู่ มียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกวัน เลือดไหลรินเต็มไปทั่วทั้งเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากในกองทัพของทั้งสองฝ่าย แต่ในท้ายที่สุด ฝั่งขององค์ชายเวตก็สามารถทำลายกองกำลังขององค์หญิงวิกตอเรียลงได้สำเร็จ

เมื่อตระหนักได้ว่าสถานการณ์เริ่มหมดหวังสำหรับพวกเขา ผู้นำแห่งตระกูลแอสคาร์ดจึงได้สั่งการให้ล่าถอย เขาพาองค์หญิงวิกตอเรียหนีออกไปที่คฤหาสน์ แล้วร่ายคาถาเวทอันยิ่งใหญ่ขึ้นเหนือบริเวณโดยรอบ ทำให้พื้นที่ทั้งหมดนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ใครก็ตามที่ก้าวเข้าไปในสายหมอกจะถูกเคลื่อนย้ายแบบสุ่มไปรอบ ๆ กลายเป็นสิ่งที่ขัดขวางพันธมิตรขององค์ชายเวตจากชัยชนะ

ปัจจุบันองค์หญิงวิกตอเรียและกองกำลังที่เหลือของเธอได้ซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอก แต่มันก็ไม่ใช่แผนระยะยาว เนื่องจากไม่ช้าก็เร็วคาถาเวทอันยิ่งใหญ่นี้ก็จะต้องสลายลง เมื่อถึงตอนนั้นองค์ชายเวตและพันธมิตรของเขาก็จะบุกเข้ามากวาดล้างพรรคพวกขององค์หญิงวิกตอเรียจนสิ้น

องค์ชายเวตได้สั่งให้ทหารของเขาปิดกั้นพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยหมอกทั้งหมด อีกทั้งยังส่งหน่วยลาดตระเวนเข้าไปสำรวจพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้ที่ติดอยู่ในนี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซ่อนตัวอยู่ในบ้านของตนเอง สวดอ้อนวอนให้ทหารขององค์ชายเวตมองข้ามพวกเขาไป

“เดี๋ยวนะ ทำไมนายถึงได้มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้กัน?”

หลังจากได้ยินเรื่องราวของเคราส์แล้ว โรเอลก็รู้สึกว่านักพรตผู้นี้รู้มากเกินไป นี่เป็นโลกยุคกลางที่พวกเขาอาศัยอยู่ ไม่ใช่ยุคข้อมูลสมัยใหม่ที่มีวิทยุหรือโทรศัพท์มือถือ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่านักพรตธรรมดา ๆ คนเดียวที่อาศัยอยู่ในโบสถ์ อีกทั้งยังเป็นเพียงพลเรือนทั่วไปจะสามารถรวบรวมข้อมูลลับได้มากมายขนาดนี้

เมื่อได้ยินคำถามของโรเอล เคราส์ก็เริ่มพูดตะกุกตะกัก ดวงตาของเขามองไปรอบ ๆ อย่างประหม่าอยู่พักหนึ่ง แต่ด้วยการจ้องมองอย่างสงสัยจากเด็ก ๆ ทั้งสอง ในที่สุดเขาก็ยอมจำนนและสารภาพออกมา

“ข้ากระผมเป็นส่วนหนึ่งในหน่วยขนส่งเสบียงขององค์หญิงวิกตอเรีย แต่ตามคนอื่น ๆ ไม่ทันจึงถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง ข้าจึงได้เก็บเสบียงส่วนของตนเองไว้ แล้วลี้ภัยมาหลบอยู่ภายในโบสถ์แห่งนี้ ขนมปังที่พวกท่านรับประทานกันอยู่คือเสบียงพวกนั้น”

อ่า เขาเป็นหน่วยเสบียงที่ตามเพื่อนไม่ทันนี่เอง…

นอร่าและโรเอลต่างมองดูอาหารในมือโดยไม่พูดอะไร

ตามที่เคราส์บอกเล่า ทันทีที่เขามาถึงที่นี่ คาถาเวทมนตร์อันยิ่งใหญ่ก็ได้ถูกเปิดใช้งานไปแล้ว ทำให้เขาสับสนหลงทาง หากไม่ใช่เพราะความโชคดีของเขาล่ะก็ เคราส์คงไม่สามารถรอดออกมาหลบที่โบสถ์แห่งนี้ได้แน่

ในแง่ของการทหารแล้วเคราส์อาจถูกมองว่าเป็นผู้หนีทัพ ทว่าทั้งโรเอลและนอร่าที่ได้รับเสบียงมาจากเขา ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะวิพากษ์วิจารณ์เคราส์แต่อย่างใด

หลังจากที่อิ่มท้องและได้ดับกระหาย โรเอลรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะถามเคราส์ว่าจุดยืนของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างไร

“หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่านายเคยทำงานในกองทัพขององค์หญิงวิกตอเรียมาก่อน นี่หมายความว่านายจงรักภักดีต่อองค์หญิงวิกตอเรียใช่ไหม?”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ขอรับ”

เคราส์ตอบอย่างคลุมเครือ

คำตอบอันไม่เด็ดขาดของเขาทำให้ทั้งสองคนประหลาดใจ เนื่องจากเคราส์นั้นอยู่ในกองทัพฝ่ายขององค์หญิงวิกตอเรีย เขาน่าจะเต็มไปด้วยมุมมองที่ดูถูกดูแคลน​องค์ชายเวตผู้สมรู้ร่วมคิดกับลัทธิชั่วร้ายไม่ใช่เหรอ?

เมื่อสังเกตเห็นได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ โรเอลจึงหรี่ตาลงแล้วถามต่อไป เขาตัดสินใจมุ่งตรงไปที่ประเด็นหลักในทันที

“องค์ชายเวต ไม่ใช่คนของลัทธิชั่วร้ายอย่างนั้นเหรอ?”

“หา? ไม่มีทางหรอกขอรับ! แม้ว่าเขาจะเป็นพวกลัทธินอกรีต แต่เขาก็ไม่ใช่ลัทธิที่ชั่วร้ายแต่อย่างใด ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครเลือกที่จะติดตามเขาถึงขนาดนี้หรอกขอรับ”

เคราส์ตอบด้วยน้ำเสียงอันสับสน

นอร่าและโรเอลจ้องตากันอย่างตกใจ พวกลัทธินอกรีตและลัทธิชั่วร้ายอาจฟังดูคล้ายกัน แต่พวกเขามีความแตกต่างบางอย่างที่สำคัญมาก

พวกลัทธินอกรีตส่วนใหญ่มักจะใช้ความสามารถของตนอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว ลัทธิโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างจึงเมินเฉยพวกเขา กลับกันแล้วพวกลัทธิชั่วร้ายนั้นพยายามที่จะเผยแพร่ สร้างหายนะทำลายล้างไปทั่วโลกและล้มล้างกฎระเบียบในปัจจุบันให้สิ้น

หากสิ่งที่เคราส์พูดเกี่ยวกับองค์ชายเวตเป็นเรื่องจริง ว่าเขาไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดที่คลั่งไคล้ลัทธิชั่วร้าย นั่นหมายความว่าประวัติศาสตร์ที่โรเอลได้เรียนรู้มานั้นเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ความเข้าใจบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของเด็กชาย ทำให้เขาตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง

โรเอลหยุดนอร่าที่ดูเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมาเอาไว้ ก่อนที่จะหันไปหาเคราส์แล้วถามด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม

“เคราส์ นายช่วยอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุของความขัดแย้งครั้งนี้ให้ละเอียดหน่อยจะได้ไหม?”

“แน่นอนขอรับ”

เคราส์ตอบพร้อมพยักหน้าก่อนที่จะถอนหายใจยาว

“เรื่องนี้ต้องเกริ่นเริ่มจากพระมารดาของทั้งสองพระองค์”