บทที่ 74: เวลานับถอยหลังสู่จุดสิ้นสุดของสถานะ ผู้เฝ้ามอง

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 74: เวลานับถอยหลังสู่จุดสิ้นสุดของสถานะ ผู้เฝ้ามอง

ณ ถนน โล้ค 42

โรเอลและนอร่ากำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง ที่เด็ก ๆ ในโบสถ์มักจะใช้รับประทานอาหารร่วมกัน โดยที่ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย

พวกเขาเพิ่งได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับองค์ชายแห่งอาณาจักรนี้ เวต เซไซต์

องค์ชายเวตถือกำเนิดขึ้น เป็นหนึ่งในฝาแฝดของราชวงศ์เซไซต์ พร้อมกับพรสวรรค์อันเหลือเชื่อตั้งแต่แรกเกิด สติปัญญาของเขาทำให้เวตเข้าใจถึงความรู้ใหม่ ๆ ได้อย่างง่ายดาย และในด้านพลังเหนือธรรมชาติของเขาเองก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน แม้จะเป็นตามมาตรฐานของตระกูลเซไซต์ที่เปี่ยมไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ก็ตาม

หากทุกอย่างดำเนินไปตามโครงเรื่องปกติของนวนิยายแนวแฟนตาซี เวต เซไซต์น่าจะได้โลดแล่นเดินไปตามเส้นทางแห่งความสำเร็จ นำจักรวรรดิเซนต์เมซิทไปสู่ชัยชนะต่อจักรวรรดิออสทีน ขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลก หรือไม่ เวตก็อาจจะสามารถตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันชั่วร้ายโดยเนื้อแท้ของมนุษย์ และตกอยู่ในความเลวทรามเช่นเดียวกับที่เขียนไว้ในประวัติศาสตร์

แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

12 ปีแรกในชีวิตขององค์ชายเวตเต็มไปด้วยความสำเร็จและความสุข ทุกอย่างราบรื่นราวกับว่ามันจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะถึงจุดสิ้นสุดในชีวิตของเขา ทว่าทุกอย่างกลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมเมื่อเขาอายุได้สิบสามปี

ทั้งหมดนี้เกิดจากแม่ของเวตและวิกตอเรีย ราชินีแมรี่

แมรี่เกิดมาในตระกูลของไวเคานต์ทั่วไปในดินแดนทะเลใต้ เธอได้พบรักกับองค์ชายไรอันในระหว่างงานเลี้ยงฉลองวันเกิดปีที่สิบหกของเขา ซึ่งทั้งสองก็ได้ตกหลุมรักกันอย่างลึกซึ้ง โดยองค์ชายไรอันนั้นสามารถเอาชนะความขัดแย้งทั้งหมด แต่งงานกับแมรี่และให้กำเนิดลูกแฝดด้วยกัน

ฝาแฝดที่ว่านั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเวตและวิกตอเรีย

ด้วยความที่แมรี่มาจากภูมิหลังอันต่ำต้อย เธอจึงมีความเห็นอกเห็นใจเป็นพิเศษต่อความทุกข์ทรมานที่ประชาชนทั่วไปต้องเผชิญ

เธอรักเด็ก มีบุคลิกอันอ่อนโยนและมักจะใช้เวลาว่างไปเยี่ยมเยียนสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ บริจาคทรัพย์สินต่าง ๆ ให้กับโบสถ์ขนาดเล็ก อีกทั้งบางครั้งแมรี่ก็ได้ไปสอนบทเรียนให้กับประชาชนอีกด้วย

มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่แมรี่จะกลายเป็นที่รักของชาวเมือง

ทว่าแม้ว่าราชินีจะนิสัยดีแค่ไหน แต่เธอก็ปกปิดความลับที่ไม่สามารถบอกใครได้เอาไว้อยู่ ว่าแท้จริงแล้วเธอนั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ และมีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดที่ไม่ได้เป็นหนึ่งในสามคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลัก ทำให้เธอถือว่าเป็นคนนอกรีต

แต่ความลับดังกล่าวก็ได้ถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนโดยบังเอิญ เมื่อเวตและวิกตอเรียอายุได้สิบสามปี

การที่ราชินีของผู้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราช แท้จริงแล้วเป็นคนนอกรีต… นั้นทำให้ชนชั้นเบื้องบนของจักรวรรดิเซนต์เมซิทสั่นคลอนอย่างรุนแรง ทฤษฎีสมคบคิดทุกประเภทถูกยกขึ้นมา เพียงชั่วพริบตา ราชินีแมรี่ก็กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจอันดับหนึ่งของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างและราชสำนัก

พระสังฆราชไรอันเองก็ได้ถูกดึงเข้าไปข้องเกี่ยวท่ามกลางพายุนี้ ราชินีแมรี่ได้กลายเป็นจุดด่างพร้อยของราชวงศ์ แม้ว่าจะไม่มีใครรู้แน่ชัดเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นภายในราชสำนัก

แต่ความโกลาหลนี้ได้จบลงด้วยการที่ราชินีแมรี่ถูกลบหายไปจากสายตาของสาธารณชน เธอถูกเนรเทศไปยังโบสถ์เล็ก ๆ ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เพื่อใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ

นับแต่นั้นมา แม้ว่าแมรี่จะยังอาศัยอยู่ภายในเมืองเดียวกันกับฝาแฝดทั้งสอง แต่พวกเขาก็ต้องถูกแยกออกจากกัน โดยไม่มีโอกาสได้พบกันอีกเลย

ทั้งหมดนี้อาจเปลี่ยนไปเมื่อเวตได้ขึ้นสู่บัลลังก์ ทว่ามันก็สายไป

เมื่อเวตอายุ 15 ปี ได้เกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ พระราชวังที่ได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างดีนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ เนื่องจากมาตรการป้องกัน​อันรวดเร็ว ทว่าโบสถ์ที่ราชินีแมรี่อาศัยอยู่นั้นเป็นหนึ่งในพื้นที่การแพร่ระบาด ท้ายที่สุด ในเดือนมีนาคมปี 824 ของยุคที่สาม ราชินีแมรี่ก็เสียชีวิตลงด้วยโรคระบาด

หญิงสาวผู้ใจดี ผู้เป็นที่รักของราษฎรได้จากไปโดยที่ไม่มีใครได้รับรู้ ไม่มีทั้งความโศกเศร้าการไว้อาลัยและงานพิธีศพ ราวกับว่าเธอไม่เคยมีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้

เหตุการณ์นี้สร้างบาดแผลใหญ่ในใจให้กับองค์ชายเวต

ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเด็กชายอายุ 15 ปี ที่จู่ ๆ ต้องมารับรู้ว่าแม่ของตนได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่เขากลับไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าของเธอด้วยซ้ำ ทุกอย่างถูกฝังกลบไว้ในความรู้สึกในส่วนลึกสุดของก้นบึ้งหัวใจเขา เวตนั้นไม่เคยอนุญาตให้ใครได้รู้ความคิดในใจของเขา ภาพที่ทุกคนเห็นมีเพียงองค์ชายผู้ขยันหมั่นเพียรในการศึกษาและการฝึกอบรมอย่างมุมานะ

เมื่อเทียบกับวิกตอเรียผู้ใช้เวลาทั้งวันไปกับความโศกเศร้าเกี่ยวกับการเสียชีวิตของมารดา องค์ชายเวตกลับดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ไม่มีแม้น้ำตาสักหยด

บรรดาขุนนางทั้งหลายที่ร่วมกันกำจัดราชินีแมรี่ออกจากราชสำนักต่างพากันถอนหายใจโล่งอกไปตาม ๆ กันเมื่อได้เห็นท่าทีของเวต พวกเขาต่างยกย่ององค์ชายที่สำรวมและเห็นถึงภาพรวมทั้งหมดด้วยปัญญา

กระนั้น พวกเขาไม่ได้เข้าใจเลยว่ายิ่งคนคนนั้นเงียบงัน​มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น เมื่อสิ่งที่เก็บไว้ในใจทั้งหมดปะทุออกมา เวตนั้นไม่ได้สูญเสียอารมณ์ความรู้สึกไปแต่อย่างใด เขาเพียงแค่เก็บมันเอาไว้ในใจ ค่อย ๆ ลับมีดให้คม นำความโกรธแค้นทั้งหมดไปเป็นแรงจูงใจ แรงจูงใจในการแสวงหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่า เวตใช้เวลาเพิ่มพูนสั่งสมกองกำลังของตนอย่างเงียบ ๆ รอโอกาสที่จะได้ลงมือ

จนกระทั่งในที่สุดโอกาสนั้นก็ได้มาถึงในเวลาสี่ปีต่อมา

เดือนมีนาคมปี 828 เมื่อพระสังฆราชไรอันได้เดินทางออกจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทไปเพื่อเยี่ยมชมจักรวรรดิออสทีน ในที่สุดเวตก็ได้ชักดาบใส่ศัตรูของเขา ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เขาได้กำจัดขุนนางระดับสูงของจักรวรรดิเซนต์เมซิทไปครึ่งหนึ่ง ไม่มีขุนนางคนใดที่เคยดูหมิ่นราชินีแมรี่แล้วสามารถหนีรอดจากโทสะของเขาไปได้ เวตไม่ได้เปิดโอกาสให้กับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับที่พวกเขาไม่เคยให้โอกาสแมรี่ในตอนนั้น

ถ้าทั้งหมดที่เวตทำมีเพียงแค่การฆ่า เขาก็คงไม่ต่างอะไรไปจากฆาตรทั่ว ๆ ไปที่ตามืดบอดจากความแค้น แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ความทะเยอทะยานของเวตไปไกลเกินกว่าการแก้แค้น เขามีอุดมคติและแนวคิดอันยึดมั่น

‘ฝ่ายปฏิวัติ’ นั่นคือชื่อกองกำลังของเวต ซึ่งเต็มไปด้วยเยาวชนเลือดร้อนที่ต้องการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่ต่อต้านการมีอยู่ของพวกนอกรีตในจักรวรรดิเซนต์เมซิท

เพื่อเป้าหมายของเขา เวตนั้นถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตครั้งใหญ่ด้วยการเปลี่ยนคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความเมตตาของตนเป็นอย่างอื่น ทำให้เขากลายเป็นคนนอกรีต นั่นหมายถึงว่า เวตได้หันหลังให้กับการสืบราชบัลลังก์ ทุ่มเท​ทุกอย่างไปกับแผนการในครั้งนี้เขาเทหมดหน้าตักระดับที่ว่าถ้าหากมันล้มเหลว เขาก็หมดสิ้นทุกอย่างเช่นกัน

ความตั้งใจอันแน่วแน่ที่องค์ชายเวตแสดงออกมานั้นได้กระตุ้นเหล่าลัทธินอกรีตที่กำลังลังเลใน จักรวรรดิเซนต์เมซิทให้ลุกขึ้นมาร่วมยืนหยัด พวกเขาเข้าร่วมกองกำลังของเวตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจก็คือ สามในห้าตระกูลขุนนางชนชั้นสูง ได้เลือกที่จะเข้าร่วมกับเวตด้วยเช่นกัน

ต่อจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ ฝ่ายปฏิวัติได้เคลื่อนไหวด้วยความเร็วอันน่ากลัว ทำให้พวกที่อยู่ในฝ่ายอนุรักษ์นิยมต้องเผชิญกับวิกฤติโดยที่พวกเขาไม่ทันจะได้รู้ตัว

วิกตอเรียและพอนเต้ คือป้อมปราการสองด่านสุดท้ายของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ตราบใดที่ฝ่ายปฏิวัติสามารถจับกุมตัวองค์หญิงวิกตอเรียได้ องค์ชายเวตก็จะมีอิทธิพลมากเพียงพอที่จะบังคับให้พระสังฆราชไรอัน ยอมรับในอุดมคติและแนวคิดของฝ่ายปฏิวัติ

เว้นแต่พระสังฆราชไรอันจะยอมตัดขาดการสืบทอดเชื้อสายราชวงศ์​ของตนเอง และส่งต่อบัลลังก์ให้กับผู้ที่ไม่ใช่ตระกูลเซไซต์ นอกจากวิธีนั้นแล้วเขาไม่มีทางเลือกอื่นเลย นอกจากต้องยอมรับข้อเรียกร้องของเวต

หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว โรเอลและนอร่าต่างก็ต้องตกตะลึง เรื่องราวที่พวกเขาได้ยินในตอนนี้แตกต่างไปจากประวัติศาสตร์ที่พวกเขาเคยได้เรียนรู้ลิบลับราวฟ้ากับเหว

โรเอลนั้นไม่ได้เป็นผู้ที่ศรัทธาในโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง เขาจึงเห็นอกเห็นใจและเข้าใจในการกระทำขององค์ชายเวต อย่างน้อย ๆ ก็ในช่วงครึ่งแรกของเรื่องราว จากมุมมองของโรเอลแล้ว เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนใจดีอย่างราชินีแมรี่ต้องมีจุดจบลงเอยเช่นนั้นเพียงเพราะอคติของมนุษย์

ฆ่าพวกมันไปเลย! พวกที่บอกว่าเวตควรจะให้อภัยเหล่าขุนนางพวกนั้น ควรจะลองเสียแม่ของตัวเองในแบบเดียวกันกับเขาบ้างก่อนจะพูดแบบนั้นออกมา!

การแก้แค้นเมื่อเผชิญกับความอยุติธรรม เป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติของมนุษย์ หากไม่นับในเรื่องค่านิยมทางศีลธรรมแล้วล่ะก็ แม้ว่าการกระทำของเวตจะสุดโต่งแค่ไหน แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่เข้าใจในมุมมองขององค์ชายและเห็นอกเห็นใจเขา

สำหรับฝ่ายปฏิวัติขององค์ชายเวต และอุดมคติที่เขากล่าวถึงในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง โรเอลไม่สามารถตัดสินเรื่องนี้ได้จริง ๆ และเด็กชายก็ไม่คิดว่าตนเองมีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้นด้วยเช่นกัน

ไม่เคยมีหนังสือประวัติศาสตร์เล่มไหนที่พูดถึงฝ่ายของเวตแบบนั้น และโรเอลเองก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในยุคนี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเด็กชายจึงไม่เข้าใจสถานการณ์หรือความแตกต่างระหว่างยุคนี้กับยุคของเขาอย่างถ่องแท้

ทว่าจากสิ่งที่ได้ยินมาจากเคราส์ ดูเหมือนว่าแม้อุดมการณ์ที่ได้รับการส่งเสริมโดยคณะปฏิวัติมีความก้าวหน้าอย่างน่าตกใจสำหรับระบอบเทวนิยม แต่ก็ยังเกินกำหนดที่จะกล่าวถึงประเด็นเรื่องนอกรีต

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จักรวรรดิเซนต์เมซิทได้ดึงดูดพวกลัทธินอกรีตให้เข้ามาตั้งรกรากในอาณาจักรมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากความมั่นคงในการดำรงชีวิตของประชาชน ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้น มันจึงไม่ฉลาดเท่าไหร่หากจะมองข้ามพวกเขาไป

การเข้ามาของลัทธินอกรีตเหล่านี้ทำให้เกิดทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีก็คือ พวกลัทธินอกรีตเหล่านี้ล้วนเป็นแรงงานที่สำคัญ ในโลกนี้ที่เขตการปกครองต่าง ๆ ขาดประชากรและแรงงาน การมีแรงงานเพิ่มขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ดี นอกจากนี้พวกลัทธินอกรีตยังมีผู้​เชี่ยวชาญตามสาขาความรู้มากมาย ทำให้พวกเขาเป็นทรัพยากรบุคคลอันล้ำค่าที่อาจนำไปใช้ประโยชน์ได้

ทว่าในอีกแง่หนึ่ง การที่คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของพวกเขาไม่เสถียร ย่อมหมายความว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ในระหว่างการทำงาน ส่งผลให้พวกเขาอาจเสียสติ ตกลงสู่ความเลวทราม และกลายเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิชั่วร้าย เส้นแบ่งระหว่างลัทธินอกรีตธรรมดาและลัทธิชั่วร้ายนั้นยังไม่ชัดเจนนัก มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแยกแยะทั้งสองออกจากกัน

ยิ่งไปกว่านั้นการรักษาความปลอดภัยในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เองก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

เมื่อได้ยินความจริงเบื้องหลังประวัติศาสตร์ โรเอลก็กลายเป็นคนพูดไม่ออกอีกครั้ง แต่คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดกลับไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนอร่า ตั้งแต่อายุยังน้อยเด็กสาวมองจักรพรรดินีวิกตอเรียเป็นแบบอย่างมาตลอด และพยายามที่จะเป็นเหมือนเธอให้ได้ ทว่าตอนนี้สิ่งที่เคราส์พูดออกมานั้นได้ล้มล้างสิ่งที่นอร่าเชื่อมาทั้งชีวิต

แน่นอนว่านอร่าไม่ได้เชื่อคำพูดของเคราส์อย่างสนิทใจ เธอตั้งข้อสงสัยและตั้งคำถามถึงความถูกต้องในคำพูดของเขาอยู่ตลอดเวลา แต่เคราส์ก็มีคำตอบมารองรับเสมอเช่นกัน

“ที่ข้ากระผมรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ ก็เพราะข้าได้ทำงานอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่งของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ และโบสถ์เล็ก ๆ ของเรา คุ้นเคยกับราชินีแมรี่เป็นอย่างดี”

เคราส์กล่าวพลันหวนนึกถึงภาพเงาอันงดงามของแมรี่ด้วยความคิดถึง

“ท่านเป็นคนดีจริง ๆ”

เคราส์พึมพำกับตัวเองราวกับพยายามจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง เมื่อเห็นสิ่งนี้โรเอลก็ฉุกใจครุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตั้งคำถามอีกครั้ง

“นายคิดว่าองค์ชายเวตมีเหตุผลสมควรที่จะล้างแค้นไหม?”

คำถามนี้กระตุ้นการตอบสนองอย่างมากจากเคราส์ สัญชาตญาณแรกของนักพรตนั้นอยากจะโพล่งคำตอบออกไป แต่เขาพยายามระงับตัวเองลงในวินาทีสุดท้าย ปล่อยให้บรรยากาศเงียบงันไปเป็นเวลานานก่อนที่เคราส์จะตอบออกมาอย่างคลุมเครือ

“ข้าพอจะเข้าใจความรู้สึกของฝ่าบาทเวต”

ฝ่าบาทเวต?

โรเอลใช้เวลาไตร่ตรองความหมายเบื้องหลังคำพูดของเคราส์ ก่อนจะชำเลืองมองนอร่าที่หน้าซีดเผือดแล้วจึงตั้งคำถามที่สองตามไป

“แล้วนายคิดว่าแนวคิดและการเคลื่อนไหวขององค์ชายเวต เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องรึเปล่า?”

การตอบสนองของเคราส์ดูมีอารมณ์ร่วมมากกว่าเดิม แต่มันเป็นการตอบสนองอันลังเลไม่แน่นอนเท่าไหร่ เปลือกตาของนักพรตสั่นเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ราวกับว่ามีชุดความคิดของสมมุติฐานและความขัดแย้งเกิดขึ้นในใจของเขา เคราส์ยกมือขึ้นเล็กน้อยด้วยความปั่นป่วน แล้วจึงก็วางลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

“กระผมไม่รู้… ไม่รู้จริง ๆ”

นี่อาจเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันกับคนอื่น ๆ จำนวนมากในยุคนี้เช่นกัน อุดมคติที่แตกต่างกันทั้งสองแบบต่างแสดงถึงเส้นทางที่แตกต่างกันสองทางของจักรวรรดิเซนต์เมซิท และตอนนี้พวกเขาต่างก็กำลังยืนอยู่ตรงทางแยก การตัดสินใจของพวกเขาจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของพวกเขา รวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย มันเป็นการตัดสินใจที่ใหญ่เกินไป มากเสียจนทำให้พวกเขากลัว และไม่สามารถเลือกได้

โรเอลสรุปคำถามของตนด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันไปหานอร่า ดูเธอครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เด็กสาวดูเหมือนจะอยู่ในอารมณ์อันมืดมน เนื่องจากสิ่งที่เคราส์ได้กล่าวออกมาก่อนหน้านี้เป็นอะไรที่สั่นคลอนตัวตนของเธอมากจริง ๆ

ไม่มีอะไรที่โรเอลสามารถทำได้เพื่อแก้ปัญหานี้ แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็สามารถแก้ไขความต้องการทางร่างกายของพวกเขาได้

“มันใกล้ถึงเวลานอนแล้ว ฉันว่าพวกเราพักผ่อนกันก่อนดีกว่า”

“อืม”

เคราส์พาเด็ก ๆ ทั้งสองคนไปที่ห้องนอนแยกกัน หลังจากจัดของให้เข้าที่นิดหน่อย โรเอลก็นอนลงบนเตียงพร้อมถอนหายใจ

มีหลายสิ่งเกิดขึ้นมากมายในวันนี้จนยากที่จะเชื่อว่ามันเพิ่งผ่านไปเพียงแค่ครึ่งวัน แม้จะมี ‘การเสริมพลัง’ ที่เขาได้รับจากระบบ มันก็ยังมากเกินกว่าที่ตัวเขาจะรับไหว

เมื่อนึกถึงระบบ จู่ ๆ โรเอลก็นึกถึงข้อตกลงที่เขาทำไว้กับระบบเกี่ยวกับการกู้ยืม ดังนั้นเขาจึงรีบดูอินเทอร์เฟซของระบบอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่โรเอลเห็น ทำให้ดวงตาของเขาต้องเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

【การฟื้นฟูพลังสายเลือดดั้งเดิมดำเนินการไปแล้ว : 60%】

【เวลานับถอยหลังสู่จุดสิ้นสุดของสถานะ ผู้เฝ้ามอง : 73 ชั่วโมง 55 นาที】

【การประเมินอย่างละเอียด : เฉลี่ย (59)】