บทที่ 53 ข้าคัดลอกบทกวีเพื่อการค้า ไม่ใช่อวดรู้อย่างสามหาว

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

“ทำอย่างไรดี พวกเราสามคนเสียไปสามสิบตำลึงเงินกับการประชุมชา ต่อให้หาสาวใช้ที่นี่มาหลับนอนด้วย เราสามคนก็ยังต้องเสียอีกตั้งหลายตำลึง” อารองสวี่ร้อนรน ความรู้สึกย้อนกลับไปช่วงก่อนปลดแอก[1] คิ้วขมวดกันเป็นปม มองไปทางลูกชาย

“ฉือจิ้ว รีบคิดหาวิธีเร็ว”

‘นี่คือปัญหาเรื่องเงินเหรอ นี่คือปัญหาที่ข่าวอะไรก็ล้วงออกมาไม่ได้ต่างหาก…’ สองพี่น้องบ่นอย่างบ้าคลั่งในใจ

สวี่ซินเหนียนมองพ่อของเขาแล้วกล่าว “ข้าจะมีวิธีอะไรได้ เดิมทีก็ลองเสี่ยงโชคดู ข้าจึงมากับพี่ใหญ่ หรือท่านพ่อไม่รู้ตัวเองเลยหรือ”

น้ำเสียงของเขาเคร่งเครียดเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในใจของเขาก็ร้อนรนเช่นกัน

นี่มันเข้าเนื้อ[2]ข้าชัดๆ…ตำลึงเงินเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญคือข่าวยังไม่ได้สืบ…เมื่อเห็นคุณชายจ้าวที่ถูกสาวใช้นำทางไป จู่ๆ สวี่ชีอันก็นึกถึงสมญานามของคณิกาฝูเซียง ‘เป็นเลิศในกู่ฉินและบทกวี’

เขาขอพู่กันหมึกกับหมึกและกระดาษเซวียนจื่อจากสาวใช้ที่เสิร์ฟเหล้าให้แขกดื่มทันที

เขาจัดการพื้นที่บนโต๊ะ และดึงสวี่ซินเหนียนมา “ฉือจิ้ว เจ้าเขียนแทนข้าที”

สวี่ซินเหนียนไม่ลังเล เขานั่งตัวตรงอย่างรู้ใจ มือจับพู่กันหมึก

สวี่ชีอันพูดอย่างรวดเร็ว เขาท่องว่า “ดอกไม้หอมกรุ่นปลิวไปตามลม งดงามปกคลุมทิวทัศน์ของสวนเล็กๆ”

สวี่ซินเหนียนกวัดแกว่งพู่กันหมึกราวกันบินได้ และเขียนอักษรอันงดงามออกมา

สวี่ชีอันยังคงท่องต่อไป “เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์”

สวี่ซินเหนียนไม่ได้เขียนต่อ เขาตกตะลึงราวกับกลายเป็นหิน และพึมพำสองประโยคสุดท้ายออกมาซ้ำๆ

“รีบเขียนเร็ว!” สวี่ชีอันสะกิดเขา

สวี่เอ้อร์หลางราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน เขาเขียนเสร็จอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าบึ้งตึง

สวี่ชีอันดึงกระดาษเซวียนจื่อไป เขาเรียกสาวใช้แล้วพูดว่า “เจ้าช่วยมอบบทกวีบทนี้ให้กับแม่นางฝูเซียงที ไปจัดการทันที และบอกนางว่าคนแซ่หยางรออยู่ที่นี่”

สาวใช้ไม่ค่อยเต็มใจ แต่หลังจากสวี่ชีอันยัดเศษเงินให้นาง นางก็วิ่งเหยาะๆ ออกไปทันที

ในห้องนอนใหญ่ ฉากกั้นสี่พับกั้นอ่างน้ำไว้ ไอน้ำคละคลุ้งระเหยอยู่บนคานหลังคา

ฝูเซียงแช่อยู่ในน้ำร้อนที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบ ผมสีดำม้วนสูง ลำคอขาวเรียวยาว บนไหล่กับหน้าอกมีหยดน้ำเกาะอยู่ สะท้อนแสงอันน่าหลงใหลออกมาใต้แสงเทียน

ผิวของนางเรียบเนียนราวกับขี้ผึ้ง เหมือนกับรูปแกะสลักหยกอย่างมาก

สาวใช้ส่วนตัวคนหนึ่งคอยรับใช้อยู่ข้างๆ อ่างน้ำ นางชื่นชมผิวของฝูเซียงพลางพูดว่า “คุณชายจ้าวรออยู่ที่ห้องน้ำชาข้างๆ แขกที่แวะพักข้างนอกบอกว่า เขาเป็นซิ่วไฉของราชวิทยาลัยหลวง”

“เป็นซิ่วไฉแล้วแปลกอย่างไร” ฝูเซียงยิ้ม นางสาดน้ำเบาๆ และพูดว่า “แต่ด้วยความสามารถของคุณชายจ้าว แม้สอบผ่านจวี่เหรินก็ยังไม่ใช่ปัญหา”

สาวใช้หัวเราะเบาๆ “ข้ารู้ว่าแม่นางชอบคุณชายที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ เช่นโจวลี่ที่น่ารำคาญผู้นั้น เพราะพึ่งพาตำแหน่งทางการของบิดา จึงคุยโวโอ้อวดได้ คุณชายจ้าวคนนั้นเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ หวังว่าแม่นางจะปฏิบัติกับเขาอย่างดี ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเรื่องดีในอนาคต ผู้หญิงก็สามารถทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์ได้เช่นกัน”

“แม้แต่ข้าเจ้าก็หยอกล้อหรือ…” ฝูเซียงใช้นิ้วจิ้มหัวของสาวใช้ และถอนหายใจ “ผู้หญิงอยากมีชื่อเสียงจารึกไว้ในประวัติศาสตร์นั้นยากมาก จะมีปัญญาชนสักกี่คนที่หวังแต่ไม่ร้องขอ”

ประตูห้องนอนใหญ่ถูกเปิดออก สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา ยืนอยู่ในห้องรับแขก และพูดด้วยเสียงที่คมชัด “แม่นาง คนแซ่หยางด้านนอกขอให้สาวใช้ส่งบทกวีบทนี้มาให้เจ้าค่ะ”

ฝูเซียงขมวดคิ้ว สาวใช้รุ่นใหญ่ตำหนิ “นี่เป็นการละเมิดกฎ แม่นางเลือกคุณชายจ้าวแล้ว จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เจ้าได้รับผลประโยชน์จากเขามาใช่หรือไม่”

สาวใช้ตัวน้อยก้มศีรษะ ไม่กล้าตอบกลับ

ฝูเซียงเอ่ยอย่างแผ่วเบา “วางไว้บนโต๊ะเถอะ และออกไปบอกแขกว่า ฝูเซียงขอขอบคุณจากใจ”

สาวใช้ตัวน้อยโล่งใจ และร้อง ‘เฮ้อ’ ออกมา ก่อนจะวางกระดาษเซวียนจื่อไว้บนโต๊ะ และออกไป

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฝูเซียงก็สวมชุดผ้าโปร่งบางเบา จนมองเห็นทรวดทรงอันงดงามได้เล็กน้อย และเดินเท้าเปล่ามานั่งที่โต๊ะ

“เจ้าไปเชิญคุณชายจ้าวเข้ามาเถอะ” ขณะที่พูด สายตาของนางก็จับจ้องไปที่กระดาษเซวียนจื่อบนโต๊ะ และหยิบขึ้นมา

สายตาของนางแข็งค้างทันที และจ้องไปที่กระดาษเซวียนจื่ออย่างโง่เขลา

‘หออิ่งเหมยมอบให้ฝูเซียง’

‘ดอกไม้หอมกรุ่นปลิวไปตามลม งดงามปกคลุมทิวทัศน์ของสวนเล็กๆ’

‘เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’

สาวใช้เดินไปที่ประตู และกำลังจะเปิดประตูไปเชิญคุณชายจ้าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนแหลมสูงของแม่นางดังมาจากข้างหลัง “ช้าก่อน!”

เมื่อหันกลับไปมอง แม่นางกำกระดาษเซวียนจื่อในมือแน่น และตัวสั่นเล็กน้อย สีหน้าแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นั่นเป็นอารมณ์ที่สาวใช้ไม่เคยเห็นบนใบหน้าของนาง

เสียงของแม่นางคณิกาทั้งร้อนรนและแหลมสูง “ผู้ใด ผู้ใดส่งบทกวีบทนี้มา คุณชายที่ไหน เจ้ารีบบอกมาเร็ว!!”

สาวใช้ตกใจ และพูดตะกุกตะกัก “ดูเหมือนว่าจะเป็นคนแซ่หยาง…”

แม่นางคณิกาพุ่งไปที่ประตูห้องอย่างไม่สนใจสิ่งใด

“แม่นาง แม่นาง…สภาพเยี่ยงนี้เจ้าจะออกไปได้อย่างไร ออกไปไม่ได้…” สาวใช้จับนางไว้แน่น

“เจ้าปล่อยข้า ปล่อยข้าเร็ว” ฝูเซียงใบหน้าแดงก่ำ “อย่าปล่อยให้คุณชายคนนั้นจากไป รีบไปตามเขากลับมาเร็ว”

สาวใช้ไม่เข้าใจ เพียงแค่บทกวีบทเดียว ทำให้แม่นางสูญเสียการควบคุมตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความสุภาพเรียบร้อยในอดีต ถูกละเลยไปโดยสมบูรณ์

“แม่นางอย่าได้วู่วาม สาวใช้จะไปในทันที…ไปเชิญคุณชายที่เขียนบทกวีบทนั้นมา”

หลังจากสาวใช้ออกไป แม่นางคณิกาก็นั่งที่โต๊ะในสภาพที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย และมองกระดาษในมืออย่างใจลอย

“เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์…มอบให้ฝูเซียง มอบให้ฝูเซียง…”

ใบหน้าอันงดงามของนางมีน้ำตาไหลออกมา นางฟุบลงกับโต๊ะและร้องไห้

ณ ห้องโถงด้านหน้า แขกส่วนหนึ่งจากไปแล้ว แต่อีกส่วนยังไม่ไปไหน

หลังจากการประชุมชาสิ้นสุดลง แขกที่ไม่ผ่านการคัดเลือกจะมีสองทางเลือก หนึ่งคือไปต่อสถานที่อื่น สองคือหากดื่มต่อไม่ไหวรู้สึกอิดโรย ก็สามารถเลือกนอนกับสาวใช้ของที่นี่ได้

“แม่นางฝูเซียงไม่ซื้อบัญชี[3]ของเจ้า” สวี่ผิงจื้อมองหลานชาย ระหว่างคิ้วเผยความวิตกกังวลออกมา

บทกวีก็ส่งไปแล้ว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำปลอบโยน

เห็นได้ชัดว่าบทกวีของสวี่ชีอันไม่ได้สร้างความประทับใจให้นางคณิกา

สวี่ซินเหนียนหัวเราะเยาะ “แค่ผู้หญิงคนหนึ่งจะเข้าใจแก่นแท้ของบทกวีได้อย่างไร”

สวี่ผิงจื้อมองลูกชาย และถามว่า “บทกวีของหนิงเยี่ยนเมื่อครู่นี้ยอดเยี่ยมมากหรือ”

สวี่เอ้อร์หลางผู้หยิ่งยโสเลื่อมใสในเส้นทางบทกวีของพี่ใหญ่แล้ว เขาถอนหายใจและพูดว่า “ยอดเยี่ยมมาก”

สวี่ต้าหลางก็มึนงงเช่นกัน เขามั่นใจในบทกวีบทนี้มาก

โคลงเจ็ดคำบทนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก โดยเฉพาะสองบาทสุดท้าย ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดของบทเพลงชมดอกบ๊วย

‘เวลานั้นภายใต้ความเหงาและหนาวเหน็บ บทกวีสองบาทกลายเป็นที่รู้จักชั่วนิรันดร์’ สิ่งที่กล่าวถึงก็คือบทกวีสองบาทนี้ บทกวีสองบาทนี้กลายเป็นที่รู้จักไปชั่วนิรันดร์ ช่างเป็นการประเมินค่าที่สูงนัก

‘กลิ่นหอมละมุน’ กับ ‘เงาบางเบา’ กลายเป็นชื่อของบทกวี แสดงให้เห็นสถานะของบทกวีบทนี้ในหมู่นักวรรณกรรมสมัยโบราณ

คนมีชื่อเสียงอย่างโอวหยางซิว[4]และซือหม่ากวง[5] ล้วนประเมินค่าบทกวีสองบาทนี้ไว้สูงมาก

และผู้แต่งโคลงเจ็ดคำบทนี้ ก็ทิ้งชื่อเสียงไว้หลายชั่วอายุคนเช่นกัน…อืม ผู้แต่งคือใครสวี่ชีอันก็ลืมไปแล้ว

เป็นไปไม่ได้ ไม่มีเหตุผลที่นางจะปฏิเสธข้า…หากมอบบทกวีบทนี้ให้นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองของสำนักอวิ๋นลู่ พวกเขาอาจเลี้ยงดูข้าเป็นลูกชายแท้ๆ ได้เลย…สวี่ชีอันคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นางคณิกาที่เลื่องลือว่าเป็นเลิศในกู่ฉินและบทกวีผู้นี้ แท้จริงเป็นเพียงชั้นวางดอกไม้[6]

การโฆษณาอวดอ้างเพื่อชื่อเสียง ก็เป็นเพียงแค่การขายบุคลิกเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนที่ไม่มีวัฒนธรรมอะไร

แต่ตรงนี้มีความขัดแย้ง หากคณิกาฝูเซียงเป็นเพียงแจกันดอกไม้ที่ขายบุคลิก จึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะได้รับการยอมรับจากปัญญาชน

เมื่อเทียบกับการโฆษณาอวดอ้างและขายบุคลิกของศิลปินในชาติก่อน คณิกาในยุคนี้ก็มีการปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน แต่พวกนางมีความสามารถจริงๆ

เหตุผลเรียบง่ายมาก ปัญญาชนในยุคโบราณไม่ได้เหลวไหลเหมือนคนหนุ่มสาวในรุ่นหลัง

ขณะที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด สาวใช้รุ่นใหญ่ที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ฝูเซียงคนนั้นก็สาวเท้าก้าวเล็กๆ ลุกลี้ลุกลนเข้ามา สายตามองค้นหาในฝูงชนอย่างเป็นกังวล หลังจากเห็นสวี่ชีอัน สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายลง และเดินเข้ามาอย่างเนิบนาบ นางโค้งตัว และพูดเสียงหวาน

“คุณชายหยาง เป็นบทกวีที่ท่านแต่งใช่หรือไม่”

คุณชายบ้านสกุลสวี่ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างตกใจ ราวกับได้ปลดเปลื้องภาระ

“ข้าเอง” สวี่ชีอันพยักหน้า

สาวใช้คลี่ยิ้มและให้เกียรติมากขึ้น นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายหญิงของข้าให้มาเชิญท่าน”

สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง และเดินตามหลังสาวใช้ไปที่ห้องนอนใหญ่อีกด้านหนึ่งของห้อง

ฉากนี้กระตุ้นความคิดของแขกที่วางแผนจะค้างที่ ‘หออิ่งเหมย’ และกระซิบกระซาบกัน

“เอ๋ เหตุใดเขาถึงเดินตามเข้าไปได้ล่ะ”

“นี่ นี่มัน…ผิดกฎ เหตุใดถึงเดินเข้าไปสองคน”

“เมื่อสักครู่นี้สาวใช้คนนั้นเหมือนจะพูดถึงบทกวี และข้าบังเอิญเห็นเขาเขียนอะไรบางอย่างกับน้องชายรูปงามผู้นั้น”

ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวแบบเศรษฐีเดินไปตรงหน้าสวี่ซินเหนียนกับสวี่ผิงจื้อ และคำนับ “ท่านทั้งสอง ไม่รู้ว่าแม่นางฝูเซียงมีเจตนาเช่นไร เมื่อสักครู่นี้น้องชายคนนั้นเข้าไปได้อย่างไร พวกเจ้าเขียนบทกวีอะไรกันหรือ”

……………………………………………

[1] ช่วงก่อนปลดแอก เป็นช่วงทศวรรษที่ประเทศจีนยากจนมาก ก่อนจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ (ปลดแอก)

[2] เข้าเนื้อ หมายถึง ขาดทุน เสียเปรียบ

[3] ไม่ซื้อบัญชี เป็นภาษาพูด หมายถึง ไม่ยอมรับ เพิกเฉยต่อข้อเรียกร้อง

[4] โอวหยางซิว เป็นขุนนางและกวีแห่งราชวงศ์ซ่ง ฉายาหนึ่งที่ท่านได้รับคือ ‘เฒ่าขี้เมา’

[5] ซือหม่ากวง เป็นขุนนางที่ได้รับการยกย่องมาก และยังเป็นนักประวัติศาสตร์และนักเขียนแห่งราชวงศ์ซ่ง

[6] ชั้นวางดอกไม้ เป็นคำอุปมาถึงสิ่งที่ดูดีแต่ไร้คุณค่าในทางปฏิบัติ