สวี่เอ้อร์หลางเงียบไม่พูดไม่จา สวี่ผิงจื้อจ้องไปที่ชายวัยกลางคน และส่ายหน้า “เพียงแค่การสุ่มคัดลอกบทกวีเท่านั้น ข้าได้ยินคุณชายท่านนั้นพูดว่าลายมือของเขาไม่งาม เขียนไม่เป็นตัวอักษร จึงรบกวนคุณชายท่านนี้ช่วยเขียนแทน”

อารองสวี่ผู้มากประสบการณ์ เขาแสดงท่าทีว่าตัวเองเป็นผู้สังเกตการณ์ และทำตัวห่างเหินจากหลายชายและลูกชาย

ทุกคนมองไปที่สวี่ซินเหนียนทันที สวี่เอ้อร์หลางถอนหายใจ ท่าทางเย็นชาต่อคนแปลกหน้า เขาไม่ใส่ใจที่จะตอบ

ท่าทางเช่นนี้ของเขา ทำให้ชายวัยกลางคนที่ตั้งคำถามรู้สึกโกรธและอาย จึงสะบัดแขนเสื้อกลับไปที่ตำแหน่งเดิม

สวี่ผิงจื้อที่เดิมอยากค้างคืนที่นี่ เหลือบมองลูกชาย และทั้งสองคนก็ออกจากหออิ่งเหมยไปทีละคน

“ไม่เป็นการดีที่จะอยู่ด้านในต่อ หากปล่อยให้คนมองออกว่าพวกเราสามคนมีความเกี่ยวข้องกันคงจะแย่” สวี่ผิงจื้อแนะลูกชาย

“ข้าเข้าใจขอรับ” สวี่ซินเหนียนพยักหน้า หลังจากพูดจบ เขาก็ตัวสั่นท่ามกลางลมหนาว

ในห้องมีถ่านไฟสำหรับทำความร้อน เมื่อออกมา อุณหภูมิที่แตกต่างกันมากจึงทำให้อดหนาวสั่นไม่ได้

สวี่ผิงจื้อมองลูกชาย และพูดว่า “หากค้างคืนที่หออิ่งเหมย สาวใช้เหล่านั้น…แค่หนึ่งตำลึงเงินก็เพียงพอแล้ว”

“ตอนนี้คงทำได้เพียงไปหาสาวอื่นที่ลานอื่น…ทว่าหากไม่ใช่สาวใช้ ราคาขั้นต่ำคือห้าตำลึงเงิน ในที่นี้รวมถึงเงินค่าการประชุมชาด้วย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ สวี่ผิงจื้อก็ชะงักไป เขาเห็นว่าลูกชายไม่ได้ปากร้ายอย่างปกติจึงถามเขาว่าทำไมรู้ดีเช่นนี้

ในเดียวกันที่ประหลาดใจ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

อารองสวี่หยิบแท่งเงินออกมาจากหน้าอก ตำลึงเงินมาตรฐาน หนึ่งแท่งห้าตำลึง

“เอ้อร์หลาง เจ้านำตำลึงเงินนี่ไป”

บ้านสกุลสวี่ล้มละลายเพราะคดีเงินภาษี แม้ว่าจะผ่านไปหนึ่งเดือน และสวี่ผิงจื้อก็ทำเงินได้มากมายผ่านช่องทางสีเทา แต่โดยรวมแล้วก็ยังค่อนข้างขัดสน

อารองสวี่ไม่คิดว่าลูกชายของเขาจะหาห้าตำลึงเงินได้

สวี่ซินเหนียนขยับตัวเล็กน้อย และพูดเสียงเบา “ท่านพ่อ แล้วท่านล่ะ”

อารองสวี่หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนที่อยู่ระดับหลอมจิตพ่อไม่กลัวความหนาวและความร้อน แม้ว่าจะนอนข้างถนนหนึ่งคืน ก็ไม่มีปัญหา แต่ร่างกายของเจ้าไม่น่าทนลมหนาวยามค่ำคืนได้”

สวี่ซินเหนียนสอดมือทั้งสองข้างไว้ในแขนเสื้อ โน้มตัวเล็กน้อย รับลมกลางคืนที่หนาวเย็น และมองห้าตำลึงเงินอย่างใจลอย ครู่หนึ่ง เขาก็พูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง

“ข้าไม่ต้องการ”

อารองสวี่ต้องการให้ลูกชายรับไป

ระหว่างที่ยื้อยุด เสียงแกร๊กก็ดังขึ้น แท่งเงินร่วงลงมาจากหน้าอกของสวี่ซินเหนียน ไม่มากไม่น้อย ห้าตำลึงพอดี

…พ่อลูกสองคนมองตำลึงเงินบนพื้น และตกอยู่ในความเงียบ

อีกด้านหนึ่ง สาวใช้เปิดประตูห้องนอนใหญ่ และส่งสัญญาณให้สวี่ชีอันเข้าไปข้างใน แต่นางไม่ได้ตามเข้าไปด้วย

“คุณชายหยางเชิญเข้ามา!”

ทันทีที่ประตูเลื่อนเปิดออก กลิ่นหอมอบอุ่นก็ปะทะเข้ามา พื้นปูด้วยไหมทอไลเคนราคาแพง ราคาแพงไม่เท่าไหร่ แต่ยังใช้กำลังคนมากอีกด้วย

บนไลเคนปักดอกบัวสีครามหลายดอก และเมฆมงคลหลายก้อน

หญิงสาวเดินอยู่บนนั้น แต่ละย่างก้าวคล้ายมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ ขุนนางเดินอยู่บนนั้น ตรงขึ้นสู่สวรรค์ได้โดยไม่เปลืองแรง

ฉลาดหลักแหลม

ฉากกั้นแบบสามพับที่ลอกเลียนแบบภาพวาดชื่อดัง ‘ภาพฝนกล้วยช่วงต้นฤดูร้อน’ แยกพื้นที่นอนกับห้องโถง หญิงสาววัยแรกแย้มที่สวยสดงดงามคุกเข่าบนโซฟาเล็กด้านหน้าฉากกั้น บนโซฟาเล็กมีกู่ฉินวางอยู่

นางสวมชุดผ้าไหมบาง เผยผิวที่ขาวเนียนราวกับหยกเล็กน้อย และมองมาทางประตูด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองคนสบตากัน นางก้มหน้าเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มเขินอาย

‘ความอ่อนโยนตอนที่ก้มศีรษะคือที่สุด ดุจดอกบัวน้ำที่เขินอายจนไม่อาจทนลมเย็นได้’ …บทกวีบทนี้ผุดขึ้นมาในหัวของสวี่ชีอัน

ตอนละเล่นในวงสุรานางดูสง่างามราวกับหญิงสาวจากครอบครัวขุนนาง ตอนอยู่ข้างโซฟานางมีเสน่ห์เย้ายวนจนไม่อาจเอื้อนเอ่ย

นี่คือพลังเสน่ห์ที่มีเพียงหญิงสาวในสำนักสังคีตเท่านั้นที่จะฝึกได้

สวี่ชีอันมีสองหัว หัวหนึ่งใหญ่[1]

“คุณชายเจ้าคะ” คณิกาพูดด้วยยิ้ม “เหตุใดคุณชายมองข้าน้อยเช่นนั้น”

สวี่ชีอันถอนหายใจ “ข้าได้ยินมาว่าแม่นางฝูเซียงมีพรสวรรค์โดดเด่น เป็นหญิงงามที่หายากในโลก เมื่อก่อนข้าไม่เชื่อ ทว่าตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว แม้บอกว่าแม่นางฝูเซียงเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของโลก ข้าก็เชื่อเช่นกัน”

“คุณชายหยางอย่าหยอกล้อข้าน้อย” ฝูเซียงเม้มปาก และก้มหน้าลงอย่างเขินอาย พร้อมรอยยิ้มแย้มตรงระหว่างคิ้ว เห็นชัดว่าดีใจมาก

ในห้องน้ำชาข้างๆ คุณชายจ้าวดื่มชาที่มีอยู่เต็มหม้อจนหมด กระเพาะปัสสาวะของเขาประท้วงสองครั้งแล้ว ตอนครั้งที่สาม เขาจึงทนไม่ไหวในที่สุด

เขามาเพื่อดื่มชาหรือ

คุณชายจ้าวออกจากห้องน้ำชาอย่างไม่พอใจ เดินไปทางห้องนอนใหญ่ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ตรงประตู

“ข้ารออยู่ที่ห้องน้ำชานานมากแล้ว เหตุใดแม่นางฝูเซียงยังไม่มาพบข้า” คุณชายจ้าวถามสาวใช้

“คุณชายจ้าวโปรดอย่าถือโทษเลย แม่นางเลือกผู้อื่นแล้ว” สาวใช้ตอบกลับ

“!!!” คุณชายจ้าวรู้สึกว่าเหมือนถูกฟ้าผ่าที่หน้าผากหลายครั้ง จากนั้นความโกรธก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาตะโกนเสียงดัง

“เห็นชัดว่าแม่นางฝูเซียงเลือกข้าแล้ว เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจ มอบความบันเทิงให้แก่ผู้อื่น หากเจ้าไม่ให้คำอธิบายแก่ข้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

น้ำเสียงดุดันของเขากับคำพูดที่มุ่งร้ายทำให้สาวใช้กลัวเล็กน้อย และอยากจะตะโกนเรียกเด็กรับใช้ที่อยู่ในลานโดยไม่รู้ตัว

“ผิงเอ้อร์ ในเมื่อคุณชายจ้าวไม่พอใจ เจ้าก็นำบทกวีออกไปให้เขาอ่านดู”

เสียงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบผู้หญิงของแม่นางคณิกาดังมาจากในห้อง

สาวใช้มองคุณชายจ้าวอย่างระมัดระวัง นางเปิดประตูเลื่อนเป็นช่องเล็กๆ พอเพียงแค่คนหนึ่งผ่านเท่านั้น และแวบเข้าไป

ไม่กี่วินาทีต่อมานางก็ออกมา และยื่นกระดาษเซวียนจื่อให้คุณชายจ้าว

คุณชายจ้าวรับไป กวาดตามอง สีหน้าโกรธเกรี้ยวแข็งทื่อทันที จากนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความตกตะลึง ตกใจและไม่อยากเชื่อ…

เขายืนอยู่ที่เดิมนานมาก นิ้วคลายออก กระดาษเซวียนจื่อร่วงลงมาอย่างช้าๆ

แขกที่อยู่ด้านนอกต่างตกใจเมื่อพบว่า คุณชายจ้าวออกมาแล้ว

‘เสร็จแล้วหรือ?!’

สีหน้าของคุณชายจ้าวทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงความผิดปกติ นี่เป็นการถูกไล่ออกมา

“พี่จ้าว ท่านเป็นอะไรไป” ชายหนุ่มที่อายุเท่ากัน และแต่งตัวแบบปัญญาชนก้าวมาข้างหน้าทันที ดูเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใย แต่ความจริงแล้วซุบซิบนินทา

ก่อนหน้านี้สาวใช้ตะโกนเรียกคนแซ่หยางไป ไม่นานนัก คุณชายจ้าวก็ออกมาในสภาพสิ้นหวัง

เห็นชัดว่า เขาถูกตัดหน้ากลางทางแล้วหยิบดอกโบตั๋น[2]ที่อ้วนท้วมไป

คุณชายจ้าวที่สวมชุดคลุมสีเขียว กวาดตามองทุกคนช้าๆ และพึมพำว่า “ข้าแพ้แล้ว แพ้อย่างราบคาบ”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แพ้หรือ เมื่อใดกัน”

“พี่จ้าว คนผู้นั้นเขียนบทกวีใช่หรือไม่ บทกวีใดกันที่ทำให้แม่นางฝูเซียงถึงกับละเมิดกฎได้”

“เจ้ารีบพูดมาเร็ว ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว”

พวกแขกต่างกรูกันเข้ามา

คุณชายจ้าวทำหูทวนลม และเดินออกไปข้างนอกพลางพึมพำว่า “ดอกไม้หอมกรุ่นปลิวไปตามลม…”

ทุกคนตกตะลึง พวกเขารู้ว่าตอนนี้เขากำลังอ่านบทกวีอยู่

“…งดงามปกคลุมทิวทัศน์ของสวนเล็กๆ”

เวลานี้ คุณชายจ้าวเดินไปถึงกลางลานแล้ว พวกแขกก็ตามหลังเขาไปเพื่อฟังอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์…”

พวกแขกไม่ได้ตามไป และอยู่ที่เดิม บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่ง

ไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานาน

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด นักเรียนคนหนึ่งน้ำตาซึม ริมฝีปากสั่น “ทันทีที่บทกวีบทนี้ออกมา ก็รู้สึกละอายใจแก่ผู้คนที่ขับขานบทเพลงชมดอกบ๊วยมาหลายชั่วอายุคน…ทุกคน เสี่ยวเซิงขอลาไปก่อน เสี่ยวเซิงจะไปการประชุมชาที่อื่น และเผยแพร่บทกวีออกไป”

“ข้าน้อยก็ขอลาเช่นกัน เพื่อสร้างชื่อเสียงให้วงการกวีนิพนธ์ของต้าฟ่ง จะขาดข้าได้อย่างไร”

พวกแขกต่างกระจัดกระจายกันไปเข้าร่วมการประชุมชาของที่อื่นอย่างเร่งรีบ หลังจากนั้นก็ป่าวประกาศบทกวีบทนี้ออกไปเพื่อทำให้โลกตะลึง

…………………………………………………………

[1] มีสองหัว หัวหนึ่งใหญ่ พรรณนาถึงสภาพบุคคลที่ถูกครอบงำ

[2] ดอกโบตั๋น เป็นการอุปมา หมายถึง หญิงสาว