ตอนที่ 61 วิ่งหนี

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ทันใดนั้น ฝานฉีก็สังเกตเห็นปัญหานี้แล้วเช่นเดียวกัน

 

 

เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วถามโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรองขอรับ พวกเรา…พวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ”

 

 

แม้นไม่ได้เกลียดชังหรือเคืองแค้นกัน แต่ทว่าถึงกับวิ่งมาวางเพลิงในจวนของผู้อื่น ทั้งยังเป็นญาติที่เกี่ยวดองกันอีก หากว่าถูกจับได้ล่ะก็ ต้องจบเห่เป็นแน่!

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

 

 

ตามแผนเดิมของนาง พอพวกนางลอบวางเพลิงอย่างเงียบ ๆ เสร็จแล้วก็จะกลับออกไปอย่า งเงียบๆ เช่นเดิม ไม่ว่าผีสางหรือเทวดาก็ไม่อาจรู้ไม่อาจเห็น จากนั้นก็รอให้พวกผู้ใหญ่ของตระกูลเฉิงค้นพบปัญหาของจวนห้า แล้วจัดการกับจวนห้าเท่านั้น…

 

 

แต่ทว่าตอนนี้ พวกนางกลับถูกล้อมอยู่ตรงนี้!

 

 

นางถามฝานฉีว่า “พวกเรากลับไปโดยใช้เส้นทางอื่นได้หรือไม่”

 

 

จวนห้านั้น นับครั้งแล้วนางก็มาไม่ถึงสองครั้ง ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณแถวนี้เลยสักนิด

 

 

ฝานฉีจะร่ำไห้เสียให้ได้

 

 

เขาเพิ่งมาอยู่ที่ซอยจิ่วหรูได้ไม่กี่วัน ไหนเลยจะกล้าวิ่งเล่นไปทั่วตามที่ต้องการ หากว่าไม่ใช่เพราะคำสั่งของโจวเสาจิ่น อีกทั้งจวนห้ายังเป็นจวนที่หละหลวมที่สุดในบรรดาจวนของตระกูลเฉิง พวกป้าบ่าวรับใช้ก็ไม่ได้เฝ้ายามเข้มงวดมากนัก ไม่เช่นนั้นต่อให้เขาต้องกินหัวใจของหมีหรือตับของเสือ เขาก็ไม่กล้ามาเหยียบย่างจวนห้าตามใจชอบเป็นแน่!

 

 

หากว่าเหมือนกับจวนหลักและจวนรอง เขาก็คงจะเดินวนเวียนไปมาอยู่ข้างนอกเท่านั้น ก่อนหน้าที่จะสนิทสนมกับพวกป้าบ่าวรับใช้ของจวนหลักกับจวนรอง ก็ไม่กล้าแม้แต่จะมาย่างกรายตามใจชอบ

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นเอ่ยปากถามขึ้นแล้ว เขาก็ไม่อาจกล่าวว่าไม่ทราบได้เลย!

 

 

“คุณหนูรองขอรับ” เสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “พวกเราสามารถกลับจากทางฝั่งใต้ได้เท่านั้นขอรับ มีถนนอยู่เส้นหนึ่งที่นำไปสู่เรือนหมู่ฝั่งตะวันตก…”

 

 

ในซอยจิ่วหรูนั้นมีเรือนหมู่อยู่สองหลัง หลังหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ใกล้กับจวนห้า อีกหลังหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก ใกล้กับจวนสาม เป็นที่อยู่อาศัยของพวกบ่าวรับใช้ ทว่าเรือนหมู่ทางฝั่งตะวันตกกับเรือนหมู่ทางฝั่งตะวันออกนั้นแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาผู้คนในสังคมต่างยกให้ฝั่งวันออกเป็นที่เคารพยกย่อง ยิ่งไปกว่านั้นสำนักศึกษาของตระกูลเฉิงก็เป็นสถานที่แผ้วถางออกมาจากเรือนหมู่ฝั่งตะวันออก จึงติดกับเรือนหมู่ทางฝั่งตะวันออก ผู้ที่สามารถอาศัยอยู่ในเรือนหมู่ทางฝั่งตะวันออกนั้นถ้าไม่ใช่พ่อบ้านใหญ่ผู้รับผิดชอบกิจการงานต่างๆ ที่มีหน้ามีตา ก็เป็นผู้ที่ดูแลเรื่องการเงินและข้าทาสบริวาร แต่เรือนหมู่ทางฝั่งตะวันตกกลับสลับซับซ้อนยิ่งนัก บรรดาหมัวมัวที่น่าเชื่อถือกับบ่าวของแต่ละจวนที่รับใช้มาหลายชั่วคนทว่าสุดท้ายกลับไม่สามารถโงหัวขึ้นมาจากการเป็นเพียงบ่าวเล็ก ๆ รวมถึงบ่าวที่เป็นคนขับรม้าและดูแลรถม้าอยู่ข้างกายของพวกคุณชาย…ร้อยพ่อพันแม่ปะปนกันไป เหมือนเป็นเรือนใหญ่ที่สลับซับซ้อนเรือนหนึ่ง

 

 

“ไม่ได้นะ!” เสียงคำพูดของฝานฉียังไม่ทันสิ้นไป ฝานหลิวซื่อก็กล่าวแทรกขึ้นทันที “จะนำทางคุณหนูรองไปที่ลานชั้นนอกได้อย่างไร บ่าวที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืนของลานชั้นนอกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นยามเฝ้าลาน พวกเขาเข้มงวดกวดขันยิ่งกว่าในลานชั้นในของพวกเราเสียอีก! ยิ่งไปกว่านั้นหากจะไปเรือนหมู่ทางฝั่งตะวันตกก็ต้องทะลุผ่านจวนห้า ถ้าเกิดว่าถูกคนจับได้จะทำอย่างไร ต่อให้พวกเราไปถึงเรือนหมู่ทางฝั่งตะวันตกได้อย่างปลอดภัยราบรื่น ทว่าเรือนหมู่ทางฝั่งตะวันตกนั้นล้วนแต่มีคนหลากหลายประเภท เพียงแค่พวกเราปรากฏให้เห็นครู่เดียว ในวันรุ่งขึ้นคนทั้งซอยจิ่วหรูก็จะรู้กันหมดแล้ว เวลาสามยามครึ่งค่อนคืนเช่นนี้ หากพวกเราหุนหันวิ่งไปที่นั่น มิหนำซ้ำจวนห้ายังเกิดไฟไหม้อีก…เจ้าจะให้พวกเราอธิบายกับเหล่าผู้นำตระกูลของตระกูลเฉิงว่าอย่างไร”

 

 

หลาย ๆ ตระกูลเนื่องจากเหตุไฟไหม้ ทรัพย์สินที่ดินมรดกก็มอดไหม้สูญสิ้นไป จนสิ้นเนื้อประดาตัว

 

 

ดังนั้นตระกูลต่าง ๆ ที่ใหญ่โตและร่ำรวยจึงจัดเตรียมโอ่งน้ำขนาดใหญ่โอ่งหนึ่งเอาไว้ใต้ชายคา เพื่อใช้ดับเพลิง

 

 

“แล้ว…จะทำอย่างไรดี” ฝานฉีถาม

 

 

สายตาของทุกคนตกอยู่บนตัวของโจวเสาจิ่น

 

 

โจวเสาจิ่นเหงื่อชุ่มฝ่ามือ ในเมื่อนางเป็นคนที่ก่อเรื่องนี้ขึ้นมา ในยามวิกฤตเช่นนี้นางก็ไม่อาจผลักภาระทิ้งไปได้…

 

 

นางกล่าวอย่างลังเลว่า “หรือไม่ เราคิดหาวิธีไปที่ห้องศึกษาจิ้งอันแทน?”

 

 

สวนดอกไม้เล็กชั้นในของจวนห้ากับสวนดอกไม้ชั้นในของจวนตระกูลเฉิงกั้นกางด้วยน้ำที่หันเข้าหากัน ตรงกลางมีสะพานแผ่นหินอันคดเคี้ยวเชื่อมต่อถึงกัน

 

 

เพียงแค่ไปถึงห้องศึกษาจิ้งอันได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเดินไปทางใด นางก็สามารถหลบบ่าวเฝ้าเวรยามตอนกลางคืนและพาทุกคนกลับไปถึงเรือนหว่านเซียงได้

 

 

สายตาของทุกคนต่างมองไปบนผิวน้ำของทะเลสาบอันมืดมิดนั้น

 

 

สะพานอันคดเคี้ยวมองเห็นได้อย่างรางๆ

 

 

ซือเซียงกล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “หากว่าแสงจันทร์ค่ำคืนนี้ไม่สว่างเช่นนี้ก็คงจะดียิ่ง!”

 

 

ถ้าหากไม่มีแสงจันทร์ คนจากฝั่งโน้นก็จะเห็นได้ไม่ชัดเจน

 

 

ขามาไม่ชอบใจที่แสงจันทร์มืดมัวเกินไป ทว่าคราวต้องการหลบหนีกลับไม่ชอบใจที่แสงจันทร์สว่างไสวเกินไป

 

 

กล่าวไปกล่าวมา ก็ล้วนแต่เป็นตนเองที่คิดวางแผนอย่างไม่รอบคอบยิ่งนัก

 

 

โจวเสาจิ่นถอนหายใจ

 

 

เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาดังสวบสาบนั้น หยุดอยู่บนทางเดินไม่ไกลมากนักจากพวกนาง

 

 

“หัวหน้าบ่าวคนนั้นของจวนสี่ เจ้าชื่ออะไรหรือ เจ้านำคนจวนสี่ของพวกเจ้าไปดับไฟ” เสียงอันน่าเกรงขามของพ่อบ้านฉินดังขึ้นมาอีกครั้ง เขาสั่งการอย่างสุขุมและใจเย็น “ส่วนพวกเจ้าไปสำรวจดูว่าตรงศาลาริมน้ำทางด้านนั้นทำอะไรกันอยู่”

 

 

แต่ละคนต่างขานรับขึ้นพร้อมกัน แล้ววิ่งสวบสาบไปยังศาลาริมน้ำ

 

 

พ่อบ้านฉินผู้นั้นนำบ่าวสองคนยืนอยู่กลางทางเดิน

 

 

เขาควรจะไปสำรวจดูคนพวกนั้นที่ศาลาริมน้ำด้วยตนเองมิใช่หรือ

 

 

โจวเสาจิ่นต่อว่าอยู่ในใจ อดไม่ได้ค่อย ๆ หันศีรษะมองข้ามไป

 

 

ภายใต้แสงไฟ พ่อบ้านฉินมีใบหน้าหยาบกร้าน สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวตัวหนึ่ง พันผ้าคาดเอวอยู่รอบเอว รูปร่างกำยำล่ำสัน ดูเหมือนว่าไม่เพียงแค่มากประสบการณ์และความสามารถ ทว่าเมื่อเห็นแล้วก็ยังเหมือนบุรุษที่กล้าหาญแข็งแกร่ง ฉกาจฉกรรจ์

 

 

ในสายตาของโจวเสาจิ่น พ่อบ้านควรจะเหมือนกับหม่าฟูซาน ยามที่ไม่พูดจาก็มีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้า

 

 

นางครุ่นคิดอยู่ในใจไม่หยุด

 

 

ชายผู้นี้โผล่ออกมาจากที่ไหนกัน

 

 

นึกไม่ถึงว่าตระกูลเฉิงยังมีพ่อบ้านเช่นนี้อยู่ด้วย!

 

 

ทุกคนเรียกเขาว่า พ่อบ้านฉิน หรือว่าเขามีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกับพ่อบ้านใหญ่ฉินโส่วเยวียอย่างนั้นหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นห่อไหล่ ทว่าในใจกลับบังเกิดความกลัวเล็กน้อย

 

 

พวกนางต้องรีบคิดหาวิธีออกไปจากตรงนี้ให้ได้

 

 

หากว่าถูกพ่อบ้านฉินจับได้ล่ะก็ เรื่องราวจะเลวร้ายยิ่งกว่าที่นางจินตนาการไว้เป็นแน่

 

 

ทว่าพ่อบ้านฉินก็ยืนอยู่ไม่ไกลจากนางนัก นางจึงไม่กล้าขยับตัวเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

 

 

ยังดีที่พวกบ่าวที่ไปสำรวจดูศาลาริมน้ำทางด้านนั้นไม่นานก็กลับมา “พ่อบ้านฉินขอรับ มีคุณชายรองอี้ของจวนสี่ คุณชายใหญ่นั่วของจวนห้า คุณชายใหญ่จวี่กับเพื่อนร่วมชั้นอีกสองสามคนเล่นพนันกันอยู่ที่นั่นขอรับ ส่วนเรื่องเกิดเพลิงไหม้ขึ้นได้อย่างไรนั้น พวกเขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัดเช่นกันขอรับ”

 

 

“เล่นพนันกันหรือ” โจวเสาจิ่นได้ยินเสียงพ่อบ้านฉินยิ้มเย็นครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “กล่าวคือถ้ายังไม่พบผู้ที่ลอบวางเพลิง เกรงว่าเขาก็ยังลอยนวลอยู่ในลานชั้นใน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คุณชายหลายท่านนี้ตกอยู่ในอันตราย ไปเชิญคุณชายทั้งหลายให้ไปพักอยู่ในห้องของคุณชายใหญ่นั่วของจวนห้าเป็นการชั่วคราวเสียก่อน อย่าให้ออกมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกตามใจชอบ รอให้ฟ้าสาง ค่อยแยกย้ายกลับไปเรือนของแต่ละคนก็ยังไม่สาย” จากนั้นก็หมุนกายไปกล่าวกับสองคนนั้นที่ถือโคมไฟอยู่ว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปสำรวจดูบ้าง จวนสี่เป็นจวนที่พบเหตุการณ์ไฟไหม้ทางนี้ ทว่าจวนห้ากลับไม่เคลื่อนไหวใดๆ เลยสักนิด ดูเหมือนว่าปัญหาภายในของจวนห้านี้จะยุ่งเหยิงยิ่งนัก…”

 

 

บ่าวสองสามคนติดตามพ่อบ้านฉินไปยังศาลาริมน้ำ

 

 

โจวเสาจิ่นแทบจะกล่าวคำว่า ‘อมิตาพุทธ’ ออกมา

 

 

ถ้าหากพวกผู้ใหญ่ของตระกูลเฉิงล้วนคิดได้เช่นนี้ก็คงจะดี

 

 

นางคิดว่าพ่อบ้านฉินผู้นั้นดูหยาบกระด้าง ทว่ากลับคิดได้อย่างละเอียดรอบคอบ

 

 

อย่างไรก็ตาม พวกนางก็ไม่สามารถรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก

 

 

พ่อบ้านฉินผู้นั้นมีไหวพริบดีขนาดนั้น ไม่แน่ว่าเมื่อเขาหมุนกายหันมาก็อาจพบพวกนางแล้ว…

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวด้วยเสียงสุขุมว่า “ฝานมามา หากว่าพวกเราข้ามสะพานอันคดเคี้ยวนี้ไป…เพียงแค่ไปถึงห้องศึกษาจิ้งอันได้ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้แล้ว…ที่ตรงนั้นเป็นเขตพื้นที่ของจวนสี่ พวกเราเพียงหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักที่ พวกเขายังจะค้นหาต่อไปจนถึงรุ่งสางอย่างนั้นหรือ”

 

 

ครั้นฟ้าสว่างแล้ว พ่อบ้านฉินจะต้องไปรายงานให้พวกผู้ใหญ่ของตระกูลเฉิงเป็นแน่

 

 

หากว่าเขาไม่อยู่ตรงนี้แล้ว โจวเสาจิ่นคิดว่าพวกนางมีโอกาสที่จะหลบหนีได้สูงมาก

 

 

คนทั้งหลายต่างก็ได้ยินถ้อยคำของพ่อบ้านฉินแล้ว และต่างก็รู้สึกว่าถ้าหากรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปเช่นนี้ก็จะอันตรายเกินไป กลับไปยังสภาพแวดล้อมที่ตนเองคุ้นเคยย่อมอุ่นใจกว่า จึงคิดว่าคงจะไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้…ต่างพากันพยักหน้าหงึก ๆ

 

 

ฝานฉีอยู่ข้างหน้า โจวเสาจิ่นตามติดอยู่ข้างหลัง คนหนึ่งกลุ่มแอบย่องออกไปจากใต้ต้นหลิวอย่างเงียบ ๆ

 

 

โชคดีที่ลานบ้านแถบทางเจียงหนานพิถีพิถันกับการจัดเรือนให้มีทั้งสะพานเล็กและสายน้ำไหล มีเส้นทางคดเคี้ยวขนาดเล็กที่นำไปสู่มุมสงบ

 

 

พวกเขาหาเส้นทางที่เปล่าเปลี่ยวเพื่อลอบไปยังสะพานอันคดเคี้ยว

 

 

ตอนนี้ไฟได้ดับลงแล้ว ทว่าพวกบ่าวของจวนห้าเพิ่งจะออกมาดู พวกบ่าวผู้เฝ้าเวรยามตอนกลางคืนที่รีบมาตรงนี้ทั้งที่ไม่รู้สาเหตุใด ๆ ก็บดบังเงาของพวกโจวเสาจิ่นไว้

 

 

มองไปยังสะพานอันคดเคี้ยวเบื้องหน้า โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ต่างก็เผยรอยยิ้มดีใจออกมาให้เห็น

 

 

“พวกเรารีบวิ่งเข้าไป” โจวเสาจิ่นกล่าว “ต่อให้ถูกพ่อบ้านฉินพบเห็นเข้า พวกเราก็เสมือนกลายเป็นฝูงปลาที่กลับคืนสู่มหาสมุทร จะค้นหาอย่างไรก็หาไม่พบแล้ว”

 

 

ฝานฉีและคนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าไม่หยุด

 

 

โจวเสาจิ่นและคนอื่น ๆ วิ่งข้ามสะพานอันคดเคี้ยว

 

 

ทว่าพวกนางเพิ่งจะวิ่งได้ครึ่งทาง ก็ถูกพบเห็นเข้าเสียแล้ว เสียงตะโกนร้องของชายหนุ่มดังขึ้นจากทางศาลาริมน้ำนั้น “พ่อบ้านฉินขอรับ ท่านดูตรงนั้นสิขอรับ!”

 

 

จบเห่แล้ว จบเห่แล้ว!

 

 

ในใจของโจวเสาจิ่นดำดิ่งลง แต่กลับรู้ดีแก่ใจว่าถ้าหากนางวิ่งต่อไปก็ยังคงมีโอกาสหนีไปได้ หากว่าหยุดอยู่ตรงนี้ก็ได้แต่ถูกจับได้บนเส้นทางนี้

 

 

“วิ่งเร็วเข้า!” นางตะโกนกล่าวบอกฝานหลิวซื่อกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลัง นางเองก็รีบเร่งฝีเท้าวิ่งไป

 

 

ทว่าขณะที่พวกนางอยากจะรีบวิ่งข้ามสะพานอันคดเคี้ยวนั้น พ่อบ้านฉินก็พาคนไล่ตามมาถึงข้างสะพานอันคดเคี้ยวนั้นแล้ว

 

 

ดวงไฟทั่วท้องฟ้าก็เผยให้เห็นเงาร่างของพวกนาง

 

 

พ่อบ้านฉินตะโกนเสียงเย็นขึ้นว่า “มีสตรีสองสามคน! จับเป็นให้ได้”

 

 

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วขาอ่อน สะดุดโซเซไปครู่หนึ่ง หากไม่ใช่เพราะฝานหลิวซื่อผู้มีมือไม้ว่องไวอยู่ข้างหลัง นางก็คงล้มลงบนพื้นดินไปแล้ว

 

 

“รีบหนีเร็วเข้า!” โจวเสาจิ่นตะโกนขึ้น ร่างกายราวกับตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง

 

 

ฝานฉีก็ไม่อาจสนใจอะไรได้อีกแล้ว หันกลับไปประคองโจวเสาจิ่นแล้วหนีเข้าไปในป่าไผ่ของห้องศึกษาจิ้งอันด้วยกัน

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง รีบวิ่งไปยังเรือนหว่านเซียง

 

 

โจวเสาจิ่นได้ยินเสียงเอ็ดอึงที่ดังยิ่งขึ้นอยู่ข้างหู นางตัดสินใจอย่างห้าวหาญว่า “พวกเราไปยังเรือนหานปี้ซานทางด้านนั้นเถอะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอาศัยอยู่ทางด้านนั้น ต่อให้พวกเขาจะห้าวหาญเพียงใด ก็ไม่บังอาจอุตลุดบุกรุกเข้าไปเยี่ยงนี้เป็นแน่

 

 

เพียงแค่ไม่ถูกพ่อบ้านฉินจับได้คาหนังคาเขา นางก็จะไปสารภาพกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยตนเอง ต่อให้ถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวลงโทษ ถูกผู้ใหญ่ของตระกูลเฉิงรังเกียจ กระทั่งถูกไล่ออกจากตระกูลเฉิง เสื่อมเสีย ชื่อเสียงไป ก็ย่อมดีกว่าถูกบุรุษกลุ่มนี้ฉุดกระชากดึงมือทึ้งเสื้อออกไป…

 

 

ทว่าฝานหลิวซื่อและคนอื่น ๆ กลับคิดว่าโจวเสาจิ่นจะร้องขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกหน้ามาช่วยพวกนาง สีหน้าของแต่ละคนจึงปรากฏความปิติยินดีขึ้นมา ไม่แม้แต่จะคิดอะไร ก็ติดตามโจวเสาจิ่นวิ่งหนีไปยังทางด้านเรือนหานปี้ซาน

 

 

เสียงเอ็ดอึงที่อยู่ข้างหลังนั้นค่อยๆ เงียบแผ่วลงไปอย่างที่คาดไว้

 

 

โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกดีใจ

 

 

ทว่าเบื้องหน้ากลับมีเสียงอันนุ่มนวลอบอุ่นแต่แฝงด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าหลายส่วนเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในทันใด “นี่คือใครกันหนอ ครึ่งค่อนคืนแล้วยังไม่หลับไม่นอน กลับมาวิ่งหนีวุ่นอยู่ในป่า อีกทั้งไม่เกรงกลัวว่าจะประสบพบเจอกับพวกโจรปล้นสะดมเลยสักนิด!”

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจกลัวจนทั้งตัวแข็งทื่อ สมองว่างเปล่า สติหลุดลอยไปอยู่นาน

 

 

ครั้นนางดึงสติกลับมาได้แล้วถึงได้พบว่า ในป่ามีโคมทรงกลมสีเหลืองนวลดวงหนึ่งแขวนอยู่บนยอดต้นไม้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ ชายหนุ่มวัยเยาว์คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหินใต้โคมไฟดื่มน้ำชาอยู่ มีบ่าวรับใช้สองคนยืนอยู่ข้างหลังเขา ด้วยความมืดสลัวจึงมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาได้อย่างชัดเจน

 

 

โจวเสาจิ่นเหงื่อเย็นหยดไหล

 

 

นางเพิ่งจะเห็นชัดเจนว่า ที่ตรงนี้มืดสนิทไม่มีแสงไฟเลยสักดวง เหตุใดชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้มาดื่มชาอยู่ข้างนอกเช่นนี้ อีกทั้งยังมีโคมไฟดวงนั้น ใครเป็นคนนำไปแขวนไว้สูงขนาดนั้นกัน ใช้อะไรแขวน มีราวไม้ไผ่ที่สูงเยี่ยงนั้นด้วยหรือ

 

 

หรือว่านาง…นางเจอผีหลอกแล้วอย่างนั้นหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นแทบอยากจะกรีดร้องเสียงแหลม

 

 

ทว่าเสียงกรีดร้องติดอยู่ในลำคอ นางหวาดกลัวมากจนอยากกรีดร้องก็ร้องไม่ออก

 

 

ชายหนุ่มผู้นั้นกลับกวักมือเรียกนางอย่างสงบนิ่ง “มานี่สิ มาชงชาให้ข้าสักถ้วย!”

 

 

ชงชา?

 

 

โจวเสาจิ่นเบิกตากว้าง

 

 

ตอนนี้? ในสถานที่เช่นนี้? ชงชา? จะเอาอะไรมาชงหรือ?

 

 

นางอดใจไม่ได้มองไปรอบๆ ชายหนุ่มผู้นั้น

 

 

ข้างๆ โต๊ะหินนั้นมีเพียงตั่งหินตัวหนึ่งที่เขานั่งอยู่ นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น!

 

 

นางจะชงชาได้อย่างไร

 

 

ชาในมือของเขานั้นเอามาจากที่ไหนกัน?

 

 

………………………………………………………………….