ตอนที่ 62 คลี่คลายปัญหา

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

หรือว่านางจะเจอผีจริง ๆ

 

 

โจวเสาจิ่นหวาดกลัวอยู่ในใจ จนแทบจะเป็นลมล้มพับลงไป

 

 

แต่ใครจะรู้ว่าเสียงหัวเราะอันสดใสกังวานของชายผู้นั้นกลับแว่วขึ้นมาจากฝั่งตรงข้าม

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน

 

 

เสียงนั้น คุ้นหูเล็กน้อย ทั้งยังแฝงความอบอุ่นที่ทำให้นางหลงใหลชื่นชอบอยู่หลายส่วน…

 

 

นางเบิกตากว้างอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

รูปร่างของชายหนุ่มผู้นั้นสูงเพรียว กริยาท่าทางที่ดูสบาย ๆ ทว่ากลับดูเป็นธรรมชาติยิ่ง เผยให้เห็นความสูงศักดิ์ที่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้คนยากที่จะละสายตาได้

 

 

โจวเสาจิ่นมีชีวิตอยู่มาสองชาติภพ กลับมีเพียงคนเดียวที่สร้างภาพจำตราตรึงในใจเยี่ยงนี้แก่นาง

 

 

นางก้าวเท้ามาข้างหน้าสองก้าวอย่างเสียไม่ได้

 

 

ชายหนุ่มตรงหน้าหัวเราะร่าเสียงดังขึ้นมา

 

 

ภายใต้แสงโคมไฟ ดวงตาที่ดูมีชีวิตชีวาของเขานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น

 

 

“ท่านน้าฉือ!” โจวเสาจิ่นกระโดดพรวดขึ้นมา

 

 

เฉิงฉือหัวเราะเสียงดัง พลางกวักมือเรียกนาง “จำข้าได้แล้วหรือ!”

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้ารัว จิตใจที่ว้าวุ่นก็ผ่อนคลายลงมาอย่างสิ้นเชิง สาวเท้าวิ่งเข้าไป ทว่าวิ่งได้เพียงสองก้าว ก็นึกขึ้นได้ว่าพวกฝานหลิวซื่อยังติดตามนางอยู่ข้างหลัง รีบเหลียวหลังกลับไปมอง พบว่าฝานหลิวซื่อกับคนอื่น ๆ ต่างจ้องมองนางอย่างตกตะลึงตาค้าง ท่าทางชะงักงัน นางยิ้มร่าอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านผู้นี้คือท่านน้าฉือ เป็นนายท่านสี่ของจวนหลัก ไม่ต้องกลัวหรอก”

 

 

ครั้นได้ยินว่าเป็นคนของจวนหลัก และเห็นท่าทางที่คุ้นเคยกันระหว่างโจวเสาจิ่นกับเขาด้วยแล้ว ฝานหลิวซื่อกับคนอื่น ๆ จึงรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นหันหน้ากลับมาอยากจะแนะนำสาวใช้ของตนเองให้กับเฉิงฉือ ถึงตอนนี้นางถึงได้สังเกตว่า…สถานการณ์เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดยิ่งนัก…นางควรจะอธิบายเกี่ยวกับการปรากฏตัวของพวกนางให้เฉิงฉือฟังอย่างไรดี นอกจากนี้แล้ว ยามสามของกลางดึก ที่มีสายลมเย็นและดวงจันทร์นวลเช่นนี้ ทำไมท่านน้าฉื่อถึงได้มานั่งดื่มชาอยู่ตรงนี้ได้

 

 

ย่างเท้าของนางก้าวขึ้นมาด้วยความลังเลอย่างอดไม่ได้ แววตาที่มองเฉิงฉือก็พกพาความลังเลใจอยู่หลายส่วนด้วยเช่นกัน “ท่านน้าฉือ ข้า…”

 

 

ทว่าไม่รอให้คำพูดของนางได้เอ่ยออกมาจากปาก ก็มีเสียงฝีเท้าว่องไวดังเข้ามาจากด้านหลังพวกนาง

 

 

โจวเสาจิ่นหันศีรษะกลับไปด้วยความร้อนรน

 

 

เห็นเงาร่างสูงใหญ่กำยำเงาหนึ่งนำคนสองคนเดินมุ่งหน้ามาทางนี้

 

 

เป็นพ่อบ้านฉินที่ไล่ตามมา

 

 

โจวเสาจิ่นหวาดหวั่นจนหัวใจเต้นรัว พลางมองไปยังเฉิงฉือ

 

 

เฉิงฉือมองนางด้วยรอยยิ้ม

 

 

ความคิดอันบรรเจิดสายหนึ่งแล่นผ่านขึ้นมาในห้วงสมองของโจวเสาจิ่น โดยไม่อาจอธิบายออกมาได้นางเชื่อมั่นว่าเฉิงฉือจะสามารถ…จะสามารถปกป้องนางให้ตลอดรอดฝั่งได้อย่างแน่นอน

 

 

ไม่เช่นนั้น ทำไมเขาถึงได้กวักมือเรียกนางด้วยตัวเอง

 

 

นางหลบไปอยู่ด้านหลังของเฉิงฉือโดยไม่คิด

 

 

ฝานหลิวซื่อและคนอื่น ๆ เห็นแล้ว ก็หลบเข้าไปซ่อนอยู่ในดงป่าที่อยู่ข้าง ๆ

 

 

พ่อบ้านฉินสาวเท้ายาวเดินเข้ามาพร้อมด้วยบ่าวติดตามสองคน

 

 

โจวเสาจิ่นใจเต้นอย่างรุนแรง นางชำเลืองมองไปยังเฉิงฉืออย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง

 

 

ทว่าเฉิงฉือกลับนั่งนิ่งราวกับกำลังนั่งตกปลาอยู่ก็ไม่ปาน แม้แต่หางคิ้วหรือดวงตาก็ไม่กระดิกไหวเลยสักนิด ยังคงลูบถ้วยชาในมือเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายและสบายใจเช่นเดิม

 

 

เขาไม่กลัวว่าพ่อบ้านฉินจะค้นพบนางอย่างนั้นหรือ ต่อให้เขาเป็นผู้ที่ดูแลกิจการของตระกูลเฉิง และสามารถควบคุมพ่อบ้านฉินได้ ทว่าตระกูลเฉิงนั้นไม่ได้มีจวนหลักเพียงจวนเดียว ยังมีเฉิงซวี่ผู้เป็นท่านผู้นำตระกูลของจวนรองอีกด้วย! อยู่ ๆ ภายในจวนก็เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้น นี่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงเรื่องหนึ่ง! หากว่าสืบสาวหาสาเหตุที่เกิดเพลิงไหม้ไม่พบ จับผู้ลอบวางเพลิงไม่ได้ ใครจะรู้ว่ามีครั้งนี้แล้วจะมีครั้งถัดไปอีกหรือไม่ ใครจะรู้ว่าในครั้งนี้สามารถตรวจพบแล้วในครั้งถัดไปจะสามารถตรวจพบได้หรือไม่ ซึ่งก็จะยิ่งทวีความร้ายแรงขึ้นไปอีก ถ้าหากว่าเฉิงซวี่มาสอบสวนด้วยตนเอง การปกปิดร่องรอยของตนเองก็จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากเรื่องหนึ่ง?

 

 

ในใจของท่านน้าฉือคิดเห็นอย่างไรบ้างนะ?

 

 

นางกับเขาไม่ได้เป็นญาติสนิทหรือมิตรสหายที่เกี่ยวข้องกัน…นับครั้งแล้วก็เพิ่งจะพบกันเป็นครั้งที่สามเท่านั้น…

 

 

โจวเสาจิ่นลอบพึมพำอยู่ในใจ ภายในใจรู้สึกกระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุขเป็นอย่างยิ่ง

 

 

พ่อบ้านฉินยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าของเฉิงฉือ

 

 

ทว่าเขากลับแสร้งทำเหมือนกับว่าไม่เห็นอะไร น้อมกายหมัดประสานทำความเคารพเฉิงฉืออย่างนอบน้อม แล้วยืดตัวตั้งตรงเอามือแนบกายเรียก นายท่านสี่ อย่างสุภาพ

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกสับสนงงงวยกับสถานการณ์เล็กน้อย

 

 

เฉิงฉือพยักหน้าเบา ๆ กล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

 

 

พ่อบ้านฉินหลุบตาลงเล็กน้อย กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “คุณชายใหญ่นั่วของจวนห้าได้นำลูกพี่ลูกน้องชายกับสหายร่วมชั้นจากสำนักศึกษาหลายท่านไปเล่นพนันกันในศาลาริมน้ำที่สวนดอกไม้เล็กของจวนห้าขอรับ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลอบวางเพลิง ป้าผู้เป็นบ่าวเฝ้าเวรยามตอนกลางคืนของจวนสี่เป็นผู้พบเห็น จึงลั่นฆ้องตีกลองพลางวิ่งไปช่วยกันดับไฟ ทว่าใครจะรู้ว่าทางด้านจวนห้านั้นกลับนิ่งเงียบไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด จนกระทั่งข้าไปถึงจุดที่เกิดเหตุ ถึงได้มีป้าบ่าวรับใช้สองสามคนวิ่งลุกลนออกมาด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยพลางตะโกนร้องให้ช่วยดับไฟ ตอนนี้ดับไฟได้แล้ว และได้จัดเตรียมให้พวกคุณชายกับสหายทั้งหลายไปพำนักอยู่ในเรือนของคุณชายใหญ่นั่วเป็นการชั่วคราวก่อน แต่ก็ยังไม่พบสาเหตุที่เกิดไฟไหม้ขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มองไปยังพ่อบ้านฉินอย่างร้อนรน

 

 

พ่อบ้านฉินก็หันมามองนางพอดิบพอดี

 

 

ทั้งสองคนสบตากันกลางอากาศไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่าพ่อบ้านฉินกลับรีบหลบตาลงอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงสายตาของโจวเสาจิ่น

 

 

นางต่างหากที่เป็นผู้กระทำความผิดผู้นั้น ควรจะเป็นนางที่ต้องเกรงกลัวเขา และหลบสายตาของเขาถึงจะถูก แต่ทว่าเหตุใดถึงกลายเป็นเขาที่มีท่าทางเกรงกลัวที่จะมองตนเองอีกสักหน่อยอย่างนั้น?

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกฉงนเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ทว่าเสียงของเฉิงฉือที่ยังคงแผ่วเบากลับดังผ่านมาข้างหูของนาง “ช่วงนี้อากาศแห้งแล้งนักกิ่งไม้ใบหญ้าก็แห้งกรอบ เกรงว่าพวกคุณชายสองสามท่านจะเผลอจุดอะไรบางอย่างข้างนอกศาลาริมน้ำโดยไม่ตั้งใจ นี่ก็นับเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าเรื่องที่เกิดไฟไหม้ในจวนห้า แต่จวนสี่กลับเป็นผู้พบเห็น ส่วนจวนห้านิ่งเงียบไม่ออกมาดับเพลิง นี่ต่างหากที่นับเป็นเรื่องใหญ่ ทางด้านนั้นคงจะวุ่นวายอยู่ไม่น้อย เจ้าไปจัดการให้ที แล้วพรุ่งนี้เช้าไปเข้าพบผู้นำตระกูลของจวนรองพร้อมข้า คาดว่าค่ำคืนนี้พวกผู้อาวุโสของตระกูลก็คงจะนอนไม่หลับแล้ว”

 

 

พ่อบ้านฉินขานตอบว่า ขอรับ อย่างนอบน้อม หมุนกายจากไปพร้อมกับบ่าวติดตามสองคน

 

 

บ่าวติดตามสองคนนั้นของเขาตั้งแต่ต้นจนจบต่างไม่ได้ส่งเสียงเอ่ยอะไรเลยทั้งสิ้น ประหนึ่งเป็นหุ่นเชิดสองตัว ทว่าขณะที่พ่อบ้านฉินกำลังจะเดินออกไปนั้นก็เผลอตัวเหลือบมองไปที่โจวเสาจิ่นอีกครั้ง แต่แล้วสายตากลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้

 

 

นี่ มันเกิดอะไรขึ้น

 

 

พ่อบ้านฉินเพียงเดินจากไปเช่นนี้อย่างนั้นหรือ

 

 

เสมือนกับว่าไม่ได้เห็นนางเลยอย่างนั้นหรือ

 

 

ท่านน้าฉือยังกล่าวอีกว่า พวกคนที่ไปเล่นพนันกันในศาลาริมน้ำเหล่านั้นต่างหากที่เป็นคนจุดเพลิงโดยไม่ตั้งใจ…

 

 

สมองของโจวเสาจิ่นคิดตามไม่ทันอยู่บ้าง

 

 

นี่ท่านน้าฉือช่วยพูดแก้ต่างให้นางอย่างนั้นหรือ

 

 

แต่ทว่าคืนนี้ไปทำให้คนมากมายแตกตื่นเยี่ยงนั้น ทุกคนก็เห็นพวกนางวิ่งข้ามสะพานอันคดเคี้ยวแล้ววิ่งหนีเข้าจวนสี่ไปแล้ว ภายในจวนไม่เคยขาดคนที่ชอบประจบสอพลอ ท่านน้าฉือจะสามารถควบคุมพวกเขาอย่างง่ายดายได้หรือ

 

 

นางไม่อาจสร้างความเดือดร้อนให้เขาได้!

 

 

โจวเสาจิ่นสูดหายใจเข้าลึก แล้วรวบรวมความกล้าเดินออกมาจากข้างหลังของเฉิงฉือ

 

 

“ท่านน้าฉือ เป็นข้าอยู่ที่จวนห้า…”

 

 

นางยังพูดไม่จบประโยค เฉิงฉือก็หัวเราะเสียงเบาขึ้นมา

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจจึงได้แต่จ้องมองเขา

 

 

“เด็กสาวเหล่านี้หนอ ต่อให้เป็นการดูเรื่องตื่นเต้นก็ไม่ควรวิ่งออกมาเช่นนี้” เฉิงฉือยิ้มกล่าว ดวงตาอันสุกใสนั้นทั้งอบอุ่นและจริงใจ “ยังดีที่มาเจอข้า หากว่าไปเจอคนอื่นเข้าล่ะก็ คงจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนก่อเหตุเสียแล้วกระมัง ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เจ้ายังต้องไปเรียนหนังสือที่ห้องเรียนอยู่มิใช่หรือ ระวังจะตื่นไม่ไหวแล้วถูกอาจารย์หญิงตีมือเอาได้”

 

 

เนื่องจากเฉิงเจียยังรู้สึกสะเทือนใจอยู่ หลายวันมานี้นางล้วนไปเฝ้าอยู่เป็นเพื่อนเฉิงเจีย จึงไม่ต้องไปห้องเรียนเข้าใจหรือไม่

 

 

อย่างไรก็ตาม ท่านน้าฉือย่อมไม่รู้เรื่องของนางอยู่แล้ว!

 

 

หากว่าไม่ใช่เพราะสายลมเย็นที่พัดผ่านมาสายหนึ่ง โจวเสาจิ่นเองก็เกือบจะพูดโพล่งออกไปเสียแล้ว

 

 

อยู่ ๆ นางก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด

 

 

ทำไมทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านน้าฉือตนถึงได้ดูไม่เรียบร้อยเยี่ยงนั้นกันนะ

 

 

ครั้งแรกก็ถูกเฉิงสวี่ไล่ตามเหมือนเป็นหญิงสาวที่ล่อผึ้งเรียกผีเสื้อ จากนั้นก็ก่อเรื่องกระทำความผิดจนถูกพ่อบ้านฉินไล่ตามจับ…มีเพียงครั้งเดียวที่พบเจอกันอย่างเป็นปกติก็คือในห้องพระที่เรือนหานปี้ซาน…แต่ทว่าในตอนนั้นนางก็ตกใจสะดุ้งโหยงราวกับถูกชายหนุ่มบ้ากามมารังควานอย่างไรอย่างนั้น…

 

 

โจวเสาจิ่นคิดว่านางจำเป็นต้องอธิบายให้เฉิงฉือเข้าใจว่า ตนเองไม่ใช่หญิงสาวที่ไม่เรียบร้อยประเภทนั้น เพียงแต่ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ผิดปรกติเท่านั้นเอง…ทว่านางไม่ทันได้เอ่ยออกมา เฉิงฉือก็เรียก จี๋อิ๋ง ด้วยน้ำเสียงที่สูงกว่าเมื่อครู่ที่ใช้พูดคุยกับนางเล็กน้อย

 

 

หญิงสาวสวมชุดสีเข้มเดินออกมาจากเงามืด

 

 

รูปร่างของนางสูงโปร่งและอวบอิ่มเล็กน้อย ส่วนเว้าส่วนโค้งละมุนละไม ใบหน้ารูปไข่ขาวเนียนดุจหิมะ หน้าตางดงามบีบคั้นผู้คน แววตาเปล่งประกายดั่งเพลิงไฟ นางเดินเข้ามาอย่างไม่ช้าไม่เร็วเช่นนั้น ทว่ากลับทำให้ผู้คนหวนนึกถึงดอกกุหลาบที่เบ่งบานใต้แสงแดด อวดโฉมอย่างเป็นอิสระ สวยจับใจผู้คนยิ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นอ้าปากกว้าง ตะลึงงันจนกล่าวอะไรไม่ออก

 

 

นางไม่เคยเห็นหญิงสาวที่สวยงามขนาดนี้มาก่อน

 

 

ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นหญิงสาวที่สวยงามกว่านางมาก่อน แต่นางไม่เคยเห็นหญิงสาวผู้มีลักษณะเช่นนี้เหมือนนางมาก่อนต่างหาก

 

 

นางมองเฉิงฉือ แล้วหันไปมองหญิงสาวที่ถูกเรียกว่า จี๋อิ๋ง ผู้นั้นอีกครั้ง รู้สึกอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย

 

 

ทว่าเฉิงฉือกลับแสร้งทำเหมือนกับไม่เห็นอะไร สั่งจี๋อิ๋งด้วยเสียงเบาว่า “เจ้าช่วยไปส่งเด็กสาวคนนี้กลับเรือนอย่างปลอดภัยให้ที”

 

 

ทั้งไม่บอกให้จี๋อิ๋งทราบว่าตนเป็นใคร และไม่บอกจี๋อิ๋งว่าตนอาศัยอยู่ที่ไหน จี๋อิ๋งก็ไม่เอ่ยถามอะไร ประสานสองมือวางไว้กลางท้อง แล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ตอบรับไปว่า เจ้าค่ะ จากนั้นผายมือแสดงท่าทางว่า เชิญ ครั้งหนึ่งให้โจวเสาจิ่น

 

 

กริยาท่าทางสง่างามและถูกระเบียบยิ่งกว่านางในในวังเสียอีก

 

 

สมองของโจวเสาจิ่นงุนงง นางเดินตามจี๋อิ๋งที่อยู่เบื้องหน้าไปอย่างงงงัน…ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับมามองเฉิงฉือ

 

 

เฉิงฉือที่นั่งอยู่ใต้โคมไฟสีเหลืองนวลนั้น กำลังลูบแก้วชาในมืออย่างเงียบ ๆ พลางมองนางเดินจากไปอย่างเงียบสงบ ข้างหลังของเขามีบ่าวติดตามที่ยืนแน่นิ่งราวกับท่อนไม้สองคน ล้อมรอบด้วยความมืดมิดอยู่รอบด้าน…เห็นแล้วรู้สึกโดดเดี่ยวและเปลี่ยวใจยิ่ง!

 

 

โจวเสาจิ่นตัวสั่นไปที่หนึ่ง รีบสะบัดศีรษะไปมา

 

 

ทำไมตนถึงได้รู้สึกว่าท่านน้าฉือจะรู้สึกโดดเดี่ยวและเปลี่ยวใจนะ?

 

 

เขาเป็นถึงจิ้นซื่อลำดับที่สอง เป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลเฉิง ทั้งยังมีมิตรสหายผู้มีสถานะสูงศักดิ์มากมายขนาดนั้น จะรู้สึกโดดเดี่ยวและเปลี่ยวใจได้อย่างไรกัน

 

 

แต่ทว่าทำไมนางยิ่งใคร่ครวญครุ่นคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาช่างโดดเดี่ยวและเปลี่ยวใจนะ?

 

 

โจวเสาจิ่นยังคงอยากจะเหลียวกลับไปมองดู

 

 

ทว่าจี๋อิ๋งกลับเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณหนูรอง ท่านโปรดเดินดูทางด้วย และเชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ!”

 

 

เสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกกระดากอายยิ่ง รีบมองดูทางที่ตนเองเดินอยู่อย่างระมัดระวัง แล้วฉุกคิดถึงพวกฝานหลิวซื่อ…พวกนางยังคงหลบซ่อนอยู่ในดงป่านี่นา!

 

 

“พี่สาวจี๋อิ๋ง โปรดรอสักครู่! ข้ายังมีคนมาด้วยอีกสองสามคน” จากนั้นนางหันไปทางดงป่าแล้วกระซิบเรียกฝานฉี

 

 

พวกฝานฉีรีบพุ่งออกมา ใบหน้าของแต่ละคนปรากฏความตื้นตันใจที่รอดพ้นจากอันตรายอยู่สายหนึ่ง

 

 

ฝานหลิวซื่อพนมมือสองข้างและกล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ช่างเป็นคนดีคนหนึ่งอย่างแท้จริงเจ้าค่ะ! คุณหนูรอง ท่านต้องไปกล่าวขอบคุณเขาดี ๆ นะเจ้าคะ”

 

 

โจวเสาจิ่นก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน นางมองไปที่เฉิงฉืออีกครั้ง

 

 

ทว่าในดงป่านั้นกลับมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรแล้ว

 

 

ดวงตาของโจวเสาจิ่นเบิกกว้างจนโค้งมน

 

 

ฝานหลิวซื่อและคนอื่น ๆ ก็ต่างมองหน้ากันและกัน

 

 

จี๋อิ๋งหัวเราะเสียงเบา กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง พวกเรารีบเดินกันสักหน่อยเถิด! จวนห้าทางด้านนั้นเกิดเหตุเพลิงไหม้ แต่ละจวนต่างต้องสืบสวนสอบสวนอย่างกวดขัน อีกสักพักผู้ที่ต้องมาสืบสวนก็น่าจะมากันแล้วเจ้าค่ะ…”

 

 

“อืมๆ ๆ!” ฝานหลิวซื่อได้ยินแล้วก็ขานรับอย่างร้อนรน แล้วจูงโจวเสาจิ่นตรงไปทางด้านเรือนหว่านเซียง “ขอบคุณแม่นางท่านนี้เป็นอย่างยิ่ง พวกเราจะระวังตัวให้ดี รบกวนแม่นางช่วยนำทางอยู่ข้างหน้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”

 

 

จี๋อิ๋เดินนำทางอย่างผึ่งผาย เดินไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณโดยรอบเป็นอย่างดี

 

 

ตระกูลเฉิงมีสาวใช้ที่มีอากัปกริยาสูงส่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกสับสนว้าวุ่นอยู่ในใจ

 

 

หันกลับไปมองบริเวณที่เฉิงฉือนั่งอยู่อีกครั้ง

 

 

ทว่ากลับมืดสนิทและเงียบสงัด

 

 

ท่านน้าฉือ ไม่อยู่ตรงนั้นแล้วจริงๆ!

 

 

นางบังเกิดความมึนงงขึ้นในใจอย่างฉับพลัน เท้าหนึ่งก้าวสูงอีกเท้าก้าวต่ำติดตามจี๋อิ๋งกลับไปจนถึงเรือนหว่านเซียง

 

 

ฝานฉีและคนอื่นๆ ต่างกระซิบกระซาบเปล่งเสียงดีใจ

 

 

มีเพียงแต่โจวเสาจิ่นที่มองไปยังเงาร่างของจี๋อิ๋งที่เลือนรางหายไปในความมืดมิด ทว่าในใจกลับยิ่งบังเกิดความมึนงงจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

 

 

………………………………………………………………….