ถ้าถอยไม่ได้ ก็ได้แต่มุ่งหน้าไป
ดูเหมือนว่าเริ่นเสี่ยวซู่ สูเสี่ยนฉู่ และหยางเสียวจิ่นจะกระเหี้ยนกระหือรือสนใจความลับของเขาจิ้งซานอย่างที่สุด ทว่าลั่วซินอวี่ หลิวปู้ และหวังเหลยหาเป็นเช่นนั้นไม่ พวกเขาแค่อยากกลับไปรวมกลุ่มกับสมาคมตระกูลชิ่ง!
ความลับอะไรไม่สนใจ มีแต่ต้องเดินทางไปยังฝูงชนกลุ่มใหญ่ จึงจะมีโอกาสรอดชีวิตออกไป!
พวกเขาเคยเห็นกองพลน้อยของสมาคมตระกูลชิ่งในป้อมปราการ 113 มาก่อน กองกำลังส่วนตัวเทียบอะไรไม่ได้เลย จึงเชื่อว่าถ้าพวกตนไปเข้าร่วมกับทหารของสมาคมได้ ชีวิตย่อมรอดปลอดภัย
อีกอย่างคือลั่วซินอวี่และหลิวปู้นับว่ามีสายสัมพันธ์อันดีกับสมาคมตระกูลชิ่ง ถึงจะไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมอะไรมาก แต่ก็ได้พบเถ้าแก่หลัวในหลายวาระอยู่
ดังนั้นถ้าพูดชื่อเถ้าแก่หลัวบวกกับบอกความเป็นมาของตัวเองให้กองพลน้อยฟังแล้ว พวกเขาย่อมพลันกลับเข้าไปอยู่ใน ‘อารยธรรมมนุษย์’
สำหรับพวกเขาแล้ว แดนรกร้างคือโลกของสัตว์ร้าย
อีกอย่างก็คือเมื่อคืนเพิ่งเจอสัตว์ประหลาดลึกลับไป ตอนนี้อยากออกไปจากที่นี่ก่อนมืดค่ำใจจะขาดแล้ว
เพราะกลัวเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น เริ่นเสี่ยวซู่จึงพยายามเดินทางในพื้นที่โล่งมากกว่าจะตรงทะลุป่าไป
จู่ๆ เจ้าสัตว์ประหลาดนั้นอาจจะโผล่มาตอนกลางวันก็ได้ใครจะไปรู้ ไม่มีใครบอกเสียหน่อยว่ามันจะไม่ออกมา ถ้ามันแค่มีพฤติกรรมเหมือนนกฮูกเฉยๆ ไม่ได้กลัวแสงอาทิตย์อะไรเลยขึ้นมาจะทำอย่างไร ถ้าเกิดวันดีคืนดีมันไม่อยากทำตามวงจรชีวิตปกติของมันขึ้นมาล่ะ!
ไม่มีใครรู้ได้เลย!
ถ้ำพวกเขาอยู่ห่างจากจุดเกิดเสียงในเขาจิ้งซานหลายสิบกิโลเมตร ถ้ารีบหน่อย ก็คงไปถึงที่นั่นก่อนเย็น
แน่นอนว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังคงกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอยู่ เขาคุยเรื่องนี้กับสูเสี่ยนฉู่และหยางเสียวจิ่น “พวกเราจะใช้เส้นทางตัดตรงขึ้นเขาไปไม่ได้ ต้องดูด้วยว่าทางลมเป็นยังไง ถ้านับจากระยะเวลากว่าเราจะมาถึงที่นี่ได้ พวกเราอาจจะต้องเดินอีกหลายวัน”
“หมายความว่ายังไง” สูเสี่ยนฉู่ถาม
“วันนี้พวกเราไม่ถึงที่นั่นแน่ เดินทางตอนกลางคืนก็เสี่ยงเกินไป” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างหนักแน่น “ถ้าพวกนายยังยืนกรานจะไปให้ได้ ฉันจะหาที่เหมาะๆ พักรอพระอาทิตย์ขึ้น”
สูเสี่ยนฉู่คิดพักหนึ่ง พลางว่า “ตามนั้น พวกเราจะไม่เดินทางตอนกลางคืน”
สูเสี่ยนฉู่กับเริ่นเสี่ยวซู่หันไปหาหยางเสียวจิ่น เธอเอ่ย “เห็นด้วย”
“ได้แต่หวังว่าการเดินทางของพวกเราจะไม่เกิดเรื่องลำบากอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
ไม่รู้ว่าลั่วซินอวี่กับหลิวปู้เอาแรงฮึดให้เดินทางมาจากไหน เมื่อคืนพวกเขาเพิ่งแทงแผลพุพองที่เท้าให้แตกไป การเดินทางอันหนักหนาสาหัสของวันนี้ กว่าจะเดินทางเสร็จผิวเท้าของพวกเขาคงถลอกปอกเปิกแล้ว
เห็นแบบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ก็พูดหยอกแกมเสนอแนะ ให้พวกเขาพักได้แล้ววันนี้ แต่หลิวปู้กลับเอ่ยหน้าตายว่ายัง ตนยังไหว
หลิวปู้ ลั่วซินอวี่ และหวังเหลยต่างเป็นคนธรรมดา ชัดเจนโดยแท้ว่าพวกเขาปลดปล่อยศักยภาพสุดตัวเพื่อเอาชีวิตรอด
ทันใดนั้นสูเสี่ยนฉู่ก็โพล่ง “ข้างหน้ามีร่างมนุษย์”
เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้าขึ้นมองไป ก่อนจะเห็นร่างมนุษย์นอนนิ่งอยู่กลางหุบเขา แต่ที่น่าประหลาดใจคือ ข้างกายร่างกายที่แทบเหลือเพียงโครงกระดูกนั้นมีเศษผ้าอยู่ ทั้งพื้นหินอาบโลหิตที่แห้งแล้วจนเป็นสีม่วงดำ
เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ยด้วยความฉงน “เลือดเนื้อยังอยู่ ร่างก็ยังไม่เน่า หมายความว่าคนผู้นี้เพิ่งตายไปไม่นานนัก!” เดี๋ยวสิ ทำไมถึงมีศพมนุษย์เพิ่งตายโผล่มาอยู่แถวนี้ได้“เป็นคนของสมาคมตระกูลชิ่งเหรอ”
“ไม่ใช่” สูเสี่ยนฉู่ส่ายหน้า “ดูจากชุดที่ใส่ เป็นเครื่องแบบของทหารกองกำลังส่วนตัว เครื่องแบบของกองกำลังส่วนตัวเป็นสีน้ำเงิน ส่วนของสมาคมตระกูลชิ่งเป็นสีดำ”
“กองกำลังส่วนตัว? กองกำลังส่วนตัวไหน คนจากป้อม 112 ก็ใส่เครื่องแบบแบบเดียวกันงั้นเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่สับสน
พวกเขาค่อยๆ เข้าใกล้ร่างนั้นอย่างระมัดระวัง พร้อมเกิดลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง สูเสี่ยนฉู่เห็นป้ายห้อยคอที่เดิมที่ควรห้อยอยู่บนคอของศพ ทุกคนจึงได้ทราบว่าร่างนี้เป็นของใคร
ทว่าพอเขาหยิบป้ายห้อยคอขึ้นมา ก็ต้องตะลึงไป “สูเซี่ย? เป็นสูเซี่ยได้ยังไง”
เริ่นเสี่ยวซู่ใจสะท้านวูบ “เป็นสูเซี่ยแน่นะ”
“ดูสิ บนป้ายเป็นชื่อเขาไม่ผิดแน่” สูเสี่ยนฉู่เอ่ย ระหว่างพูดไปนั้น มือก็ยกปืนไรเฟิลขึ้นมาพร้อมเสร็จสรรพ ด้วยความกลัวว่าจะมีอะไรน่าสะพรึงกระโจนเข้ามาหาเขาอย่างไรอย่างนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่มองป้ายห้อยคอ “เป็นสูเซี่ยจริงด้วย ทำไมศพถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ศพของสูเซี่ยหายไปก่อนที่พวกเขาจะเข้าหุบเขามา สองวันมานี้ก็เดินทางเกือบร้อยกิโลเมตร ไฉนศพของสูเซี่ยถึงจู่ๆ ก็มาโผล่มาที่นี่ได้
ตัวอะไรพาศพของสูเซี่ยมา
ขณะที่หยางเสียวจิ่นและสูเสี่ยนฉู่ยกปืนขึ้นมาเพราะเห็นศพสูเซี่ย เริ่นเสี่ยวซู่กลับก้มลงไปสำรวจร่างของเขา ส่วนลั่วซินอวี่และหลิวปู้ที่เห็นภาพชวนพะอืดพะอมนี้ก็อาเจียนมาพักใหญ่แล้ว ลั่วซินอวี่เอ่ย “นายไม่กลัวบ้างเหรอไงเนี่ย”
สีหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่แปรเปลี่ยน “หนักกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้ว…อะ รอยแผลบนร่างไม่ปกติ ถึงเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นจะกินอวัยวะภายในเขาไปแล้วก็เถอะ แต่ดูแผลที่แถวๆ เอวตรงหน้าท้องเขาสิ ตัวอะไรถึงสามารถสร้างเป็นรอยกัดได้ราบเรียบขนาดนี้ ไม่เคยเห็นสัตว์อะไรมีฟันลักษณะแบบนี้เลย”
หยางเสียวจิ่นกับสูเสี่ยนฉู่ได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่พูดแบบนี้ ก็อดหันมามองไม่ได้ พวกเขารู้ดีว่าเริ่นเสี่ยวซู่เชี่ยวชาญเรื่องแดนรกร้างมาก ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่บอกไม่เคยเจอ แสดงว่าย่อมไม่ใช่สัตว์ธรรมดาทั่วไปจริง
ทว่าพอสูเสี่ยนฉู่เห็นแบบนี้ ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา “เชี่ย แม่*เป็นรอยฟันมนุษย์!”
เหมือนสูเสี่ยนฉู่กลัวขึ้นสมองจนพูดอะไรไร้สาระไปหมดแล้ว แต่กระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่นก็อดขนลุกซู่ขึ้นมาไม่ได้ เริ่นเสี่ยวซู่แหงนหน้าขึ้นถามเขา “นายแน่ใจนะ”
“แน่ใจมาก” สูเสี่ยนฉู่ “ฉันเคยโดนแฟนเก่ากัดตอนขอเลิกสมัยเรียนน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดสวน “จะมาบอกเราเรื่องนั้นตอนที่กำลังกลัวแทบตายกันเพื่อ!”
เริ่นเสี่ยวซู่กลัวโคตรตอนนี้!
สูเสี่ยนฉู่เองก็ขวัญสะท้านไม่น้อย “ทำไมบนศพถึงมีรอยฟันคนได้”
“ก็สงสัยอยู่” เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย “หรือว่าไอ้เจ้าตัวลากโซ่เมื่อคืนคือ…มนุษย์”
“ออกไปจากที่นี่กันเถอะ” หยางเสียวจิ่นว่า “ใช้ยุทธวิธีหน่วยสามคน เตรียมรับมือการโจมตี! ถ้าเจ้านั่นลอบเอาศพไปโดยไม่มีใครรู้ตัวได้ ก็ย่อมสามารถลอบโจมตีเราโดยไม่ทันตั้งตัวได้เช่นกัน!”
เริ่นเสี่ยวซู่ว่าอย่างเป็นกังวล “ยุทธวิธี…อะไรนะ”
เขาไม่ได้กำลังล้อเล่น เขาไม่รู้จักจริงๆ!
“นายยืนซ้ายฉัน!” หยางเสียวจิ่นไม่อธิบายอะไรให้ยืดยาว “พวกเราแต่ละคนจะจับตาทิศที่ตัวเองเห็นอยู่ ถ้าเห็นสิ่งมีชีวิตไม่ทราบที่มา ก็ยิงจัดการได้เลย”
หยางเสียวจิ่นก้าวขึ้นมาเป็นผู้สั่งการในชั่วพริบตา ทว่าทั้งเริ่นเสี่ยวซู่และสูเสี่ยนฉู่ไม่ได้คัดค้านอะไร
ตอนนี้ทุกทราบดีว่าพวกตนกำลังเดินอยู่บนเส้นเชือก หากไม่ระวังให้ดี ย่อมเป็นหนทางแห่งความตาย
ไม่ว่าใครก็อยากมีชีวิตรอดสืบไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเริ่นเสียวซู่