ภาค 1 บทที่ 49 กระหน่ำโจมตี

จอมศาสตราพลิกดารา

บทที่ 49 กระหน่ำโจมตี ProjectZyphon

หลี่มู่หัวเราะเช่นกัน

“งั้นรึ? เกรงว่าเจ้าต้องผิดหวังเสียแล้วละ”

เขาฉีกชุดนักพรตขาดวิ่นบนกายตามอารมณ์ แล้วโยนเข้าไปในสายลม เผยร่างกำยำแข็งแรงออกมา

แสงจันทร์ส่องมายังกล้ามเนื้อที่เป็นลายคลื่น กล้ามเนื้อทุกมัดทั่วร่างล่ำสันชัดเจน ผิวขาวผ่องสะท้อนแสงเรืองจางๆ ชั้นหนึ่ง ราวกับเป็นเนื้อหนังที่ใช้หยกแกะสลักออกมา เต็มไปด้วยความงดงามอันแปลกประหลาดที่ยากจะอธิบาย

“เจ้า…”

อู่เปียวเปลี่ยนสีหน้า จิตใจร้อนรุ่มไม่เป็นสุข

เพราะร่างเบื้องหน้านี้เป็นร่างของชายหนุ่มอายุยี่สิบปี เปี่ยมด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมและกำลังวังชา มีชีวิตชีวา ไม่เข้ากับใบหน้าของชายแก่ที่ดูแล้วอายุห้าสิบเลย ภาพจากจักษุสัมผัสเช่นนี้ช่างแตกต่างกับความเป็นจริงนัก

“หากข้าบอกว่าพลังดาบโลกันตร์ของเจ้าไม่อาจทำร้ายอวัยวะภายในของข้าได้ เจ้าจะเชื่อหรือไม่?” หลี่มู่หัวเราะพลางขยิบตา จากนั้นก็อ้าปากหายใจด้วยจังหวะประหลาด

ทันใดนั้น รัศมีจันทร์ทั่วท้องฟ้าก็มุ่งหน้ารวมมายังจมูกเขาราวกับมีชีวิต

เห็นเพียงหน้าอกของเขายุบพองแรงๆ อยู่สามสี่ครั้ง หัวใจเต้นตุบๆ หนักแน่นดั่งเสียงกลอง ยาวนาน ล้ำลึก ไม่เหมือนเสียงหัวใจเต้นของมนุษย์ จากนั้นรอยแผลดาบที่น่าตกใจก็เลื้อยขยุกขยิกดุจมีชีวิต และค่อยๆ ผสานตัวด้วยความเร็วระดับสายตาเห็นท่ามกลางแสงจันทร์ที่มารวมตัวกัน

“นี่มัน…ระ…ร่างอมตะ?” อู่เปียวหวาดผวา

เขาร้องอย่างตื่นตกใจ ก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็น…เป็นปีศาจ?”

ในโลกนี้มีเรื่องเล่าตำนานของภูตผีปีศาจ

สำหรับภูตผีปีศาจ มีเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของมัน

และในตำนานก็มีเพียงแค่ภูตผีปีศาจเท่านั้นที่มีความสามารถสมานแผลเช่นนี้

โดยเฉพาะปีศาจบางตนที่ตบะล้ำลึก บำเพ็ญมานานจนสามารถแปลงร่างเป็นคนได้ ถึงขั้นพูดได้ว่าเป็นร่างอมตะ มีเพียงเผาหัวใจปีศาจเท่านั้นจึงจะสังหารมันได้สิ้นซาก

“ปีศาจ?” หลี่มู่ส่ายหน้าก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าเป็นมนุษย์ เพียงแต่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาก็เท่านั้น”

“เช่นนั้นเจ้าเป็นมนุษย์ประเภทใด?” ความรู้สึกที่เป็นลางไม่ดีในใจอู่เปียวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“มนุษย์ต่างดาว อีกทั้งข้ายังเป็นผู้สืบทอดกิจการแห่งพรรคอมมิวนิสต์ด้วย” หลี่มู่หัวเราะอย่างวางท่า

“มนุษย์ต่างดาว? กิจการพรรคคอมมิวนิสต์? มนุษย์ต่างดาวคืออะไร?” อู่เปียวสับสนงุนงง เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้นเคยกับคำเรียกนี้ “ผู้สืบทอด นั่น…เป็นพรรคอะไรกัน?”

หลี่มู่หัวเราะ

‘ในที่สุดก็มีโอกาสได้แสดงความเหนือกว่าในฐานะคนทะลุมิติมาเสียที’

ทันใดนั้น เขายกมือชี้ไปยังที่ไกลโพ้นบนท้องฟ้ามืดมิดซึ่งมีดวงจันทร์ทั้งสองลอยเด่น ใบหน้าองอาจทรงคุณธรรม ทั้งยังหยิ่งทะนง

“จะบอกเจ้าอย่างไม่กลัวความจริง มนุษย์ต่างดาวก็คือคนที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้ แต่มาจากนอกโลก อืม เจ้าเข้าใจว่าเป็นผู้มาเยือนจากนอกโลกก็ได้ ส่วนกิจการพรรคคอมมิวนิสต์ ก็คือเป้าหมายที่พวกเรามนุษย์ต่างดาวผู้ตอบโต้อย่างฮึกเหิมและยึดหลักห้าสำคัญสี่งดงามร่วมแรงร่วมใจกันฟันฝ่า นับตั้งแต่ยังเล็กๆ ข้าก็ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะบากบั่นเพื่อกิจการพรรคคอมมิวนิสต์ไปตลอดชีพ ข้าฝึกฝนตอนประถมและมัธยมตามลำดับ ฝึกความสามารถ เพิ่มพูนความรู้ เคยเข้าร่วมกลุ่มเยาวชนกองหน้า กลุ่มสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ เคยเป็นหัวหน้าของทั้งกลุ่ม ทั้งหน่วย เป็นคณะกรรมาธิการกองร้อย เป็นหัวหน้ากองร้อยด้วย…ต้องมีสักวันที่ข้าจะได้เป็นสมาชิกพรรคอมมิวนิสต์อย่างสมเกียรติแน่…เป็นยังไง กลัวไหมเล่า?”

หลี่มู่พูดได้สมบทบาทสุดๆ

ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง ทั่วร่างเขาเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ของคนที่ฝ่าฟันเพื่ออุดมการณ์ กำลังพูดอย่างองอาจทรงคุณธรรม

“อะไรนะ? ผู้มาเยือนจากนอกโลก…เจ้า…เจ้าเป็นปีศาจร้ายจากนอกโลก?” อู่เปียวข้ามคำสุนทรพจน์อย่างออกรสออกชาติอื่นๆ ของหลี่มู่ไป แล้วจับสารที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวในชั่วพริบตา

แต่เดิมจิตกระหายการต่อสู้ของเขายังนับว่ารุนแรง

ทว่าในเสี้ยวขณะนี้ ความโกรธแค้นและจิตมุ่งต่อสู้ที่ราวกับไฟลุกไหม้นั้นเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น หายไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้น เขาเลือกที่จะหนี

ราวกับเจอเรื่องที่น่ากลัวที่สุดในโลก คนคลั่งแซ่อู่ผู้ไม่กลัวตายกลับเลือกหันหลังหนีเสมือนคนไร้ที่พึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ

“เอ๋?”

หลี่มู่อึ้งไป

ทำไมจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้?

หรือว่ามนุษย์ต่างดาวจะน่ากลัวมาก?

ต้องรู้ไว้ว่าบนโลก มนุษย์ต่างดาวเป็นหัวข้อประเด็นร้อนตลอดกาลเชียวนะ หากมีคนได้เจอมนุษย์ต่างดาวจริงๆ แล้วละก็ จะต้องตื่นเต้นดีใจเหมือนถูกรางวัลอย่างแน่นอน มีมนุษย์บนโลกมากมายที่ค้นหาร่องรอยของมนุษย์ต่างดาวตลอดชีวิต เพราะหวังว่าจะมีเพื่อนมนุษย์ต่างดาวเชียวนะ

ยอดฝีมือเช่นอู่เปียว ทำไมแค่ได้ยินว่ามนุษย์ต่างดาวก็กลัวจนตาขาวอย่างนี้?

แต่ว่าหลี่มู่ก็แค่อึ้งไปเท่านั้น

ราตรีนี้ เขาไม่มีทางปล่อยอู่เปียวให้รอดไปเด็ดขาด

มิฉะนั้นแล้ว ตีเสือถ้าไม่ตีให้ตาย จะต้องตายเพราะมันแน่นอน

ทั้งยังเป็นเสือคลั่งอย่างอู่เปียวด้วย

หลี่มู่ไล่ตามไป

เขากระโดดลงมาจากยอดหินผาทันที

ข้างล่างเห็นเพียง ‘เสือดำลายเบญจมาศ’ ที่อู่เปียวร้องเรียกโผทะยานไปบนหน้าผา หนีไปอย่างตื่นตระหนก

เสือดำตัวโตตัวนี้เป็นถึงสัตว์ป่าอสุรกาย บุกป่าฝ่าดงราวกับเดินบนทางราบ แบกอู่เปียวเคลื่อนที่ไปดั่งเคลื่อนย้ายจักรวาล รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง

แต่หลี่มู่ในฟ้าราตรีฝึกวิชาตัวเบาที่แฝงอยู่ใน ‘หมัดยุทธแท้’ กระบวนท่าที่สอง ‘ลิ่มสวรรค์’ จนถึงขอบเขตใหม่แล้ว ความเร็วจึงสูงกว่าเสือดำมากนัก

เขาวิ่งลงมาจากหน้าผาทำมุมเก้าสิบองศาประหนึ่งวิ่งอยู่บนที่ราบ

หลี่มู่ไล่มาถึงข้างหลังเสือดำในชั่วพริบตาราวสายฟ้า ยื่นมือคว้าไปที่หลังของอู่เปียว

อู่เปียวคำรามโมโห สองขาหนีบเสือดำไว้แน่น รักษาความสมดุลเอาไว้ ขณะเดียวกันก็วาดดาบย้อนโจมตี คมดาบสีเลือดฟันสวนกลับมา

ปลายเท้าของหลี่มู่แตะหินข้างๆ เบาๆ ร่างเคลื่อนมายังข้างขวาอู่เปียวราวสายฟ้าแลบ หนึ่งหมัดโจมตีออกไป

พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเขายังคงเป็นพลังกาย

การปะทุของพลังประหลาดสามารถทลายภูเขาได้ในหมัดเดียว น่ากลัวและป่าเถื่อนยิ่งกว่าเพลงดาบที่คิดค้นขึ้นเองมาก

ยามที่หมัดนี้โจมตีออกไป เสียงแหวกอากาศดังดุจพยัคฆ์ร้องมังกรคำราม คลื่นอากาศรอบด้านปั่นป่วนในชั่วพริบตา เสือดำคำรามเกรี้ยวกราดติดๆ กัน ลมหมัดปะทะจนร่างโซซัดโซเซ ยากจะรักษาสมดุลเอาไว้ ก่อนจะร่วงลงไปข้างล่าง…

อู่เปียวจนใจ ตัดสินใจทิ้งเบี้ยรักษาขุน เท้าทั้งสองแตะหลังเสือดำอย่างแรง แล้วอาศัยแรงสะท้อนกระโดดขึ้นไปยังท้องฟ้าอีกครั้ง หลีกเลี่ยงชะตากรรมที่จะร่วงลงมากลายเป็นเศษเนื้อได้ทันท่วงที

เทียบกับเพลงดาบไร้พ่ายของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าวิชาตัวเบาแย่กว่ามาก

แต่เมื่อเขาทะยานอยู่กลางอากาศก็ไร้ที่ยืมแรง ราวกับปลาที่ออกห่างจากน้ำ เสือที่ลงทะเล และยิ่งเหมือนเหยี่ยวถูกเด็ดปีก ทำอะไรไม่ถูกไปในทันที เพลงดาบที่แข็งแกร่งก็ยากจะสำแดงออกมาอย่างเต็มกำลัง

หลังประมือกันหลายกระบวนท่า อู่เปียวพลาดพลั้งถูกหลี่มู่ชกติดกันสามหมัด โดนกระหน่ำโจมตีอยู่กลางอากาศ

ฝนเลือดโปรยปราย กระดูกขาวกระจัดกระจาย!

ราชาปีศาจผู้ครองเขาลมโชยแห่งเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ที่เที่ยวก่อกรรมทำเข็ญ ในที่สุดก็กรรมตามสนอง ดับดิ้นลงอย่างสมบูรณ์ ตายตกไร้ที่ฝัง

ขณะเดียวกันนี้…

ครืน!

ข้างล่างส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

เสือดำตัวยักษ์มีจุดจบน่าอนาถ ก่อนหน้านี้แต่เดิมก็สูญเสียสมดุลอยู่แล้ว อู่เปียวยังเหยียบมันอย่างรุนแรงอีก ร่างใหญ่ยักษ์ของมันไม่อาจรักษาสมดุลได้อีกต่อไป จึงสูญเสียการทรงตัว ร่วงจากกลางอากาศไปราวกับดาวตก กระแทกกับทางบนเขาเสียงดังสนั่น

ฝุ่นฟุ้งกระจาย

ครั้งนี้ถึงมันจะไม่ตกลงมาตาย แต่อาการบาดเจ็บก็ไม่เบาเลย

แรงกระแทกที่น่ากลัวปะทะลงมาจนกลายเป็นหลุมใหญ่ หินใต้ร่างมันแหลกละเอียด กระดูกหักไปไม่รู้ต่อกี่ท่อน

มันกระตุกเกร็งพลางดิ้นรน

ขาทั้งสี่ออกแรงคิดอยากจะลุกขึ้น ดิ้นรนแต่ก็ไม่อาจยืนขึ้นได้

เพราะการดิ้นรน เลือดสดไหลออกมาจากจมูกของเสือดำตัวนี้…

ในขณะเดียวกัน ภาพน่าหวาดกลัวก็ปรากฏขึ้น

ดาบสีเลือดอาวุธของอู่เปียวกลายเป็นวัตถุไร้เจ้าของ ร่วงลงไปข้างล่าง

และทิศทางที่มันร่วงลงไปก็คือตำแหน่งที่เสือดำตัวนั้นอยู่ คมดาบส่องประกายเย็นเยียบ อาวุธขนาดใหญ่ที่หนักถึงพันจินจะมีแรงดิ่งลงมาเกือบหมื่นจิน หากถูกมันกระแทกเข้าจริงๆ เกรงว่าหัวของ ‘เสือดำเบญจมาศ’ ตัวนี้คงแหลกเป็นเสี่ยง

เสือดำเองก็สัมผัสได้เช่นกัน

มันส่งเสียงร้องครางน่าสงสาร แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจะหลบหลีก

สุดท้ายจึงทำได้แค่รอความตาย

แต่ในตอนนี้เอง ร่างหลี่มู่กะพริบวูบมาปรากฏอยู่ข้างเสือดำ มือยื่นออกไปรับดาบสีเลือดเล่มโต หยุดการร่วงลงมาของมันเอาไว้ คมดาบอยู่ห่างจากหัวของเสือดำเพียงนิ้วมือเดียวเท่านั้น

“เป็นอาวุธที่ไม่เลวเลย”

หลี่มู่ประเมินและสำรวจดาบสีเลือดที่อยู่ในมือ

ดาบสีเลือดเล่มใหญ่นี้ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ การหลอม ความแข็งแรง ความพิถีพิถัน หรือจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอก เห็นได้ชัดว่าดีกว่าดาบที่หักไปเล่มนั้นไม่รู้กี่เท่า อีกทั้งน้ำหนักก็มากกว่า

อาวุธที่หนักพันจินเช่นนี้ค่อนข้างหายาก จอมยุทธ์ทั่วไปยกไม่ไหว ต่อให้ฝืนยกไหวก็ไม่มีทางเอามาสังหารศัตรูได้

แต่สำหรับหลี่มู่แล้วก็ยังคงเบาเหมือนหญ้า

ทว่าหากเทียบกับดาบเล่มนั้น ดาบยักษ์สีเลือดอย่างไรเสียก็ยังนับว่ามีน้ำหนักอยู่บ้าง

“ดาบเล่มนี้ เอามาใช้แก้ขัดได้ระยะหนึ่งอยู่”

หลี่มู่ปักมันลงไปยังหินข้างกาย

เสือดำตัวโตเงยหน้ามองเขา ในลำคอส่งเสียงคำราม แต่แววตากลับค่อนข้างสับสน เหมือนจะแค้นที่เขาสังหารนายของมัน แต่ก็ซาบซึ้งที่ช่วยชีวิตมันเอาไว้

“เจ้าแมวยักษ์ นายของเจ้าทำเจ้าเกือบตายในช่วงเวลาสำคัญ เจ้ายังจะภักดีกับมันอีก?” หลี่มู่มองไปยังเสือดำ

เขาสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณประหลาดบางอย่างในดวงตาของมัน ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับสัตว์ป่าทั่วไปที่แววตาขมุกขมัว

“โฮก…”

เสือดำร้องเสียงต่ำ

นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่มู่ได้ยินเสียงร้องของเสือดำ คล้ายกับเสียงแมวอย่างไรอย่างนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เสียงร้อง ‘เหมียว เหมียว’ ใสบริสุทธิ์แบบนั้น ทว่าดังกว่ามาก ค่อนข้างก้องกังวาน ทั้งยังหนักแน่นทรงพลัง

เสียงร้องอย่างแมวดังมาจากสัตว์ตัวโตสีดำเช่นนี้ ดูน่ารักย้อนแย้งอย่างประหลาด ทำให้หลี่มู่ที่เนื้อแท้เป็นทาสแมวเกิดความรู้สึกชั่ววูบอยากจะลูบมันขึ้นมาทันที

แต่เขาสามารถสัมผัสอารมณ์ของมันได้เลาๆ

มันเสียใจที่อู่เปียวหักหลังมันในช่วงเวลาสำคัญ

เห็นได้ชัดยิ่งว่ามันไม่คิดจะติดตามหลี่มู่ ในเสียงคำรามยังแฝงความหวาดระแวงและขัดขืนอย่างไม่ปิดบัง แววเหี้ยมโหดยังฉายอยู่ในดวงตา แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะช่วยมันไว้ก็ตาม

……………………………………