บทที่ 50 เพลงดาบโลกันตร์ ProjectZyphon
“ข้าแข็งแกร่งกว่านายของเจ้า และไม่มีทางหักหลังสหายของตนเด็ดขาด เจ้าจะได้เป็นคนใหม่ อ้อ ไม่สิ เป็นเสือดาวตัวใหม่ คอไม่ต้องมีโซ่ล่าม ทั้งยังจะได้ฐานะที่ถูกกฎหมาย ไม่ต้องเป็นโจรป่าอีกต่อไป สามารถเข้าออกเมืองท่องไปในป่าเขาลำเนาไพรได้อย่างอิสระ…”
หลี่มู่ย่อตัวลง โน้มเข้าไปใกล้ พูดเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงจริงใจยิ่ง
เขาเชื่อว่าเสือดำตัวนี้ฟังเข้าใจ
“โฮก…” มันคำรามต่อ
ดูเหมือนมันฟังคำของเขาเข้าใจ แต่ก็ยังคงขัดขืนและต่อต้าน
หลี่มู่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “บ้าเอ๊ย ไม่เคยได้ยินเลยว่าสัตว์ตระกูลแมวมีประเภทที่จงรักภักดีแบบนี้ด้วย หรือเป็นเพราะเราหล่อไม่พอเลยเป็นทาสตักขี้แมวไม่ได้?”
สุดท้ายหลี่มู่ยอมแพ้ ล้มเลิกแผนที่จะบังคับเอา ‘เสือดำลายเบญจมาศ’ ตัวโตกลับไปค่อยๆ ฝึกฝน
“ไม่อยากติดตามข้า ข้าก็ไม่บังคับเจ้า ข้าจะรักษาบาดแผลให้ รอจนเจ้าฟื้นตัวดีแล้วก็ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในป่าเขาขาวพิสุทธิ์ แต่ห้ามทำร้ายคนในอำเภอ มิฉะนั้นแล้วข้าจะลงมือถลกหนังสังหารเจ้าด้วยตัวเอง” หลี่มู่ที่ถูกปฏิเสธรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก แต่ยังรักษามาดเอาไว้
เขาหมุนตัวเดินมายังถนน
“ฝูงหนูสกปรก ยังจะซ่อนตัวอยู่อีกทำไม ไสหัวออกมาซะ” หลี่มู่ตวาด
ผู้ดูแลสองแห่งค่ายลมโชยและลิ่วล้อบางคนที่เหลือรอดเดินออกมาช้าๆ ทีละคนจากในป่าหลังก้อนหิน สีหน้าหวาดกลัว มองหลี่มู่เหมือนกับมองมัจจุราชจากนรก แต่ละคนขาอ่อน พากันคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบ
“นายท่านไว้ชีวิตพวกเราด้วย”
“พวกเราล้วนถูกอู่เปียวขู่บังคับให้มาที่นี่”
“นับจากนี้พวกเราจะกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่”
“เหนือผู้น้อยขึ้นไปมีแม่ผู้ชราอายุแปดสิบ ล่างลงมามีบุตรสาวอายุสามปี ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด…”
พวกลิ่วล้อแต่ละคนตัวสั่นงันงก พร่ำรำพันต่างๆ นานาพลางอ้อนวอน
ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากจะหนี
แต่หลังเห็นขั้นตอนที่หลี่มู่สังหารอู่เปียวบนหน้าผาเมื่อครู่ ก็ได้สัมผัสความเร็วดุจสายฟ้าอันน่าตกใจ ราวกับที่หลังมีปีกโบยบิน เมื่ออยู่ต่อหน้าความเร็วเช่นนี้ ต่อให้พวกเขาพยายามสุดชีวิตก็ยากจะหนีพ้นไปได้
หากหนีไป ได้ตายอย่างแน่นอน
แต่หากไม่หนีและอ้อนวอน บางทีอาจจะยังมีหวัง
เป็นโจรป่ามาหลายปีขนาดนี้ พวกเขารู้จุดนี้ดี
และทางเลือกของพวกเขาก็บังเกิดผลจริงๆ
หลี่มู่แต่เดิมจิตสังหารคุกรุ่น คิดจะจัดการภัยร้ายค่ายลมโชยพวกนี้ให้สิ้นซาก
แต่เขาเป็นพวกใจอ่อน เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้คุกเข่าคำนับ ในใจก็ค่อนข้างลังเล เขาชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้น “ใครมียาสมานแผล? ใครรักษาเป็น? ไปรักษาบาดแผลให้เสือตัวนั้นสักหน่อย…”
“ใต้เท้า ข้าทำได้…”
“ข้ามียาสมานแผล”
“ปกติผู้น้อยเป็นคนให้อาหารเสือดำตัวนี้…”
พวกลิ่วล้อที่รีบร้อนเสนอตัวทำงานได้ยินดังนั้น ก็เฮละโลเข้าไปเหมือนหมาป่าแย่งอาหาร
เพียงไม่นาน ‘เสือดำลายเบญจมาศ’ ก็ถูกกรอกยาสมานแผล
กระดูกขาที่หักของมันมัดแผ่นไม้ดามไว้ง่ายๆ คงที่ยิ่งกว่าเดิมแล้ว แผลเลือดออกบนร่างก็เย็บปิดเรียบร้อย
ต้องยอมรับเลยว่า ลิ่วล้อโจรป่าพวกนี้เหนือกว่าคนทั่วไปในด้านการรักษาแผลช่วยชีวิต
ดูท่าในค่ายลมโชยจะแร้นแค้นด้านการรักษา แต่ละคนล้วนฝึกฝนวิชาหมอจากคนตายทั้งสิ้น
เสือดำตัวนี้ก็ใจสู้ ความสามารถในการฟื้นตัวน่าตะลึงนัก
หลังจากนั้นชั่วขณะหนึ่ง มันดิ้นรนจนสามารถฝืนลุกขึ้นยืนได้
มันเงยหน้ามองหลี่มู่ สำนึกและรู้ว่าเขาออกคำสั่งช่วยชีวิตมัน
“โฮก…โฮก…” เสือดาวตัวนี้คำรามไปทางหลี่มู่สองครั้งพลางก้มหัวให้ สุดท้ายก็ยังคงหันหน้าเดินกะเผลกๆ เข้าไปในป่าลึก
หลี่มู่ตะลึงไปเล็กน้อย
โอ๊ย นี่ยังจะไปจริงๆ หรือ?
ไม่ใช่สิ เจ้าแมวยักษ์นี่ทำไมถึงไม่เล่นตามบทล่ะ
ข้าให้คนช่วยเจ้า ทั้งยังแสดงทีท่าใจกว้างขนาดนี้ สุดท้ายเจ้าควรจะเปลี่ยนใจมาเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ข้างกายข้าไม่ใช่หรอกรึ?
ทำไมถึงไปจริงๆ เล่า?
นี่มันช่างขายหน้าเสียจริงๆ
บ้าเอ๊ย ไม่ใช่ว่าคนที่ทะลุมิติมาในนิยายจะมีพลังอำนาจ สัตว์วิเศษลูกมังกรอะไรพวกนี้ แค่เห็นจะก็ตามติดไม่ไปไหนรึไง ทำไม่พอเป็นข้าจึงกลับกันซะเล่า?
ใต้เท้าขุนนางเมืองที่ใช้เล่ห์กลจนหมดสิ้นรู้สึกพ่ายแพ้ย่อยยับ
และความรู้สึกพ่ายแพ้เช่นนี้ ทำให้เมื่อเขาหันมาประจันหน้ากับผู้ดูแลสองของค่ายลมโชยและพวกลิ่วล้อ ประกายเหี้ยมโหดในแววตาจึงฉายออกมาอย่างอดไม่ได้
“ใต้เท้า โปรดฟังคำข้าก่อน” ผู้ดูแลสองเห็นท่าไม่ดี จึงรีบเดินเข่าเข้าไปหลายก้าว
ในหัวมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าผุดขึ้นมา เขาคุกเข่าอยู่ที่พื้น เอ่ยเสียงดังว่า “ท่านสังหารอู่เปียว ต้องเป็นเพราะทนดูเจ้าโจรชั่วปล้นฆ่าวางเพลิง ทำเรื่องชั่วช้าในหลายปีมานี้ต่อไปอีกไม่ได้ พวกข้ารู้ดีว่าท่านคือจอมยุทธ์ผู้สูงส่ง เพียงแต่…ถึงแม้ว่าอู่เปียวจะตายไปแล้ว แต่ในค่ายลมโชยยังมีโจรป่าลูกสมุนที่ชั่วร้ายอยู่อีก พวกมันรวมตัวอยู่ด้วยกัน ยังคงสร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า หากท่านไว้ชีวิตอันไร้ค่าของผู้น้อย ผู้น้อยยินดีนำทางท่านเข้าไปยังค่ายลมโชย แล้วกำราบลิ่วล้อคนอื่นที่เหลือทั้งหมดมาให้ท่านใช้งาน”
สายตาของหลี่มู่หยุดอยู่ที่ชายวัยกลางคนซึ่งแต่งตัวแบบบัณฑิต
ก่อนหน้านี้เขาไม่สังเกตเห็นผู้ดูแลสองจริงๆ
“ในค่ายลมโชยยังมีอีกกี่คน?” เขาถามขึ้น
“ยังมีพวกลิ่วล้ออีกสามสี่พันคน ในนั้นมีจอมยุทธ์ยอดฝีมือระดับสามขั้นรวมกำลังและรวมปราณอีกบางส่วน…”
ผู้ดูแลสองซึ่งปกติแล้วทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านในค่ายลมโชยพูดน้ำไหลไฟดับ เล่ารายละเอียดของค่ายลมโชยอย่างละเอียดชัดเจน ไม่กล้าปิดบังแม้แต่น้อย ให้ความร่วมมือเป็นที่สุด
“คาดว่าเจ้าคงไม่กล้าโกหกข้าหรอก” หลี่มู่คลึงขมับตัวเองเลียนแบบชิงเฟิงน้อย
เขาจงใจทำเป็นเคร่งขรึม ขบคิดว่าจะจัดการกับพวกโจรป่านี้อย่างไรดี จู่ๆ ก็นึกเรื่องอะไรได้จึงกล่าวขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าที่อู่เปียวอยู่ในยุทธจักรทิศพายัพได้โดยไร้อุปสรรค ก็เพราะครอบครองคัมภีร์เพลงดาบเล่มหนึ่ง ซึ่งก็คือที่มาของการฝึกวิชาดาบเฉพาะตัวของเขา พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคัมภีร์นี้อยู่ที่ใด?”
ผู้ดูแลสองรีบพูด “ตำราลับวิชายุทธ์ที่ท่านพูดถึง ผู้น้อยเคยเห็นอู่เปียวเปิดอ่านเป็นบางครั้งเท่านั้น ไม่ทราบเนื้อหาโดยละเอียด ทั้งค่ายนอกจากตัวอู่เปียวเแล้วก็มีเพียงนายน้อยอู่เฟยหลงที่เคยได้อ่าน เพียงแต่อู่เฟยหลงไร้ความสามารถ ฝึกฝนตามใจ ไม่อาจฝึกวิชาดาบในตำรานั้นสำเร็จ ส่วนอู่เปียวนิสัยขี้สงสัยหวาดระแวง ตำราลับวิชายุทธ์ที่สำคัญเช่นนี้เขาเก็บมันไว้กับตัวตลอดเวลา”
“อะไรนะ? เก็บไว้กับตัว?”
หลี่มู่เปลี่ยนสีหน้า หันกลับไปมองทางยอดหินผา
เมื่อครู่เขากระหน่ำซัดอู่เปียวจนยับแล้ว ทั้งร่างไม่เหลือส่วนที่สมประกอบ กลายเป็นเนื้อเละๆ เกราะและเสื้อผ้าบนร่างกลายเป็นขี้เถ้า…เช่นนั้นตำราลับวิชาดาบไม่กลายเป็นเศษไปแล้วหรอกหรือ?
ซวยอะไรขนาดนี้เนี่ย
หลี่มู่ทั้งร้อนใจทั้งโมโห ร่างแปลงเป็นสายฟ้าพุ่งไปยังข้างล่างหินผา และเริ่มค้นหาทั่วทุกสารทิศ
ผู้ดูแลสองเข้าไปใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง “ท่านกำลังค้นหาตำราวิชาดาบเล่มนั้นใช่หรือไม่? ที่นี่สูงชันอันตราย รกชัฏนัก ตำราลับตกลงมาจากที่สูง ไม่รู้ว่าร่วงไปอยู่ที่ใด ท่านหาเพียงลำพังยากราวงมเข็มในมหาสมุทรนะขอรับ…คนเยอะกำลังย่อมมาก มิสู้ให้พวกข้าพี่น้องช่วยท่านหาดู?”
หลี่มู่คิดๆ ดูก่อนจะพยักหน้า
ผู้ดูแลสองลิงโลดทันที
เขาที่คิดอยากสร้างความดีความชอบเหนือสิ่งอื่นใดพาพวกลิ่วล้อที่อยากสร้างความดีความชอบเช่นกันย้ายก้นไปหาในป่าไม้ เขาหิน ตามซอกเหลือบ ไม่ก็พงหญ้าข้างล่างยอดหินผา
ประมาณหนึ่งเค่อ[1]ต่อมา
หลี่มู่คว้าน้ำเหลว
จิตใจของเขาค่อนข้างเศร้าซึมเสียแล้ว
แต่ในตอนนี้เอง โจรป่าคนหนึ่งจู่ๆ ก็พุ่งออกมาจากป่าไกลๆ ร้องตะโกนว่า “หาเจอแล้ว ข้าหาเจอแล้ว ต้องเป็นมันแน่ๆ…ใต้เท้า ท่านรีบมาดูเร็วเข้า” ลิ่วล้อคนนี้โบกหนังสือสีทองในมือไปมา วิ่งมาหาอย่างบ้าคลั่ง
หลี่มู่ตื่นเต้นยินดี
เขาพุ่งออกไปรับหนังสือเล่มนั้นมาดู
สิ่งนั้นเป็นหนังสือเล่มเล็กสีเหลืองอ่อนที่ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร ขนาดประมาณฝ่ามือ สัมผัสเรียบลื่นดุจหยก หนาประมาณหนึ่งนิ้วมือ หนักอย่างประหลาด อย่างน้อยก็สี่ห้าสิบจินได้ ทั้งเล่มให้ความรู้สึกว่ามีอายุ ดูเหมือนจะเป็นของโบราณ
หน้าปกมีอักษรตัวใหญ่ทรงพลังสามคำ…
‘เพลงดาบโลกันตร์’
ครั้นเปิดปกใน หลี่มู่อ่านมันคร่าวๆ ในใจยินดีปรีดาขึ้นทันใด
ไม่ผิดแน่ เป็นวิชาดาบเล่มนี้ ใช่แน่นอน
หลี่มู่ในตอนนี้ก็นับว่ามีความรู้ด้านดาบเล็กน้อยแล้ว เป็นวิชาดาบของแท้หรือปลอม แน่นอนว่าสามารถแยกออกได้
“ตำราวิชาดาบเล่มนี้ไม่รู้ว่าใช้อะไรทำ ไม่ยักกะถูกหมัดของข้าทำลายย่อยยับ…” ได้วิชาดาบกลับคืนมา ทำให้อารมณ์ของหลี่มู่เบิกบานนัก จิตสังหารที่แต่เดิมลดลงอยู่แล้วย่อมหายไป
เขาตัดสินใจปล่อยโจรป่าพวกนี้ไปชั่วคราว
เพราะที่ผู้ดูแลสองพูดมาก็มีเหตุผล
ในค่ายลมโชยยังมีโจรป่าอีกหลายพันตั้งมั่นอยู่ หลังจากที่สูญเสียหัวหน้าไป เป็นไปได้มากว่าคนที่หลบหนีความผิดพวกนี้จะกระจัดพลัดพรายไปทั่วเหมือนฝูงปลาคืนสู่ทะเล หากต้องการไล่สังหารพวกมันทีละคนและขจัดภัยร้ายให้สิ้น ภาระงานจะมหาศาลทั้งยังสิ้นเปลืองเวลามาก
สำหรับหลี่มู่ เขาไม่มีเวลาให้สิ้นเปลืองกับเรื่องนี้มากนัก
ดังนั้นมิสู้ปล่อยผู้ดูแลสองนี่กลับไปควบคุมโจรป่าพวกนั้น กลับจะลดความเป็นภัยของค่ายลมโชยได้
ถึงแม้นี่จะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่อันตรายน้อยที่สุดภายใต้เงื่อนไขในตอนนี้
หลี่มู่จึงเรียกผู้ดูแลสองอีกด้านหนึ่งมาเพียงลำพัง หลังจากที่ข่มขู่ตบหัวแล้วลูบหลัง ผู้ดูแลสองก็แสดงทีท่าเคารพนบนอบ ชั่วชีวิตนี้ของตนคือสุนัขข้างกายหลี่มู่ จงรักภักดีต่อเขาโดยสมบูรณ์
หลี่มู่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่
สุดท้าย กลุ่มลิ่วล้อพาอารมณ์ขวัญหนีดีฝ่อกลับไปพร้อมกับผู้ดูแลสองอย่างลนลาน เรือนร่างหายลับไปทางถนนไกลโพ้น
หลี่มู่ยืนอยู่บนทางแยกฮั่น กวาดตามองไปรอบด้าน
ในอากาศอวลกลิ่นคาวเลือด
บนถนนสายหลักมีเศษแขนขาและศพที่ไม่สมประกอบอยู่ทุกหนแห่ง
ยอดฝีมือกองทหารม้าโลหิตสี่ร้อยคนล้มตายไปประมาณสามร้อย สถานการณ์พูดได้ว่าน่าเวทนา
ตอนอยู่บนโลกหลี่มู่เคยถูกซินแสเฒ่าบังคับฆ่าหมูมาหลายร้อยตัว นับได้ว่าสังหารไปมากมายเช่นกัน แต่ตอนนี้เมื่อกวาดตามอง ในใจก็รู้สึกอยากจะอาเจียนเป็นระลอกๆ
……………………………………
[1] เค่อ หน่วยนับเวลาของจีน 1 เค่อจะเป็นเวลาประมาณ 15 นาที