“รูปสลักหินของนักบุญคนตัดไม้ฟื้นคืนชีพ?” ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง และเขารีบถาม “เขาอยู่ที่ใด”
“เขาจากไปเช่นกัน หากว่าท่านมาถึงก่อนหน้านี้สักหลายวัน คงจะได้พบกับเขา นักบุญตัดไม้ได้จากไปพร้อมกับขวานของเขา เมื่อเขาตื่นขึ้นมา ข้าก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ พิศวงว่าทำไมตัวตนระดับนี้ถึงสองคนถึงตื่นขึ้นมาตามๆ กัน” ผู้สันโดษชิงโยวกล่าว “ส่วนว่าเขาไปที่ไหน ข้าไม่รู้”
ฉินมู่ตั้งสติ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ และนักบุญคนตัดไม้แห่งลัทธินักบุญสวรรค์ตื่นขึ้นมาตามกันติดๆ นี้นับว่าประหลาดนัก เหตุใดถึงเกิดเรื่องแบบนี้
นักบุญคนตัดไม้ไปยังที่ใด
เขามิใช่ผู้ก่อตั้งลัทธินักบุญสวรรค์ แต่เป็นบรรพจารย์ก่อตั้ง นักบุญคนตัดไม้เพียงแต่ต้องการส่งต่อมรดกยุทธของเขาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่น่าที่จะไปยังลัทธินักบุญสวรรค์
แต่นอกจากที่นั่นแล้ว เขาจะไปยังที่ใดได้อีก
หวางมู่หรันและคนอื่นๆ มิได้อยู่ในนครหยกน้อย ในเมื่อพวกเขาไปยังเมืองเขตมังกร ดังนั้นจึงเหลือเซียนเฒ่าอยู่ไม่กี่คนบนภูเขา ผู้สันโดษชิงโยวเพ่งพิศฉินมู่และกล่าว “สภาวะของกษัตริย์มนุษย์ฉินดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง ท่านต้องการที่จะเข้าไปในโถงแห่งห้าปราณจริงๆ น่ะหรือ ท่านดูเหม่อลอยมากในตอนนี้”
ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าว “ไม่ทราบว่าผู้สันโดษชิงโยวจะช่วยเปิดโถงแห่งห้าปราณ โถงแห่งหกทิศ และโถงแห่งเจ็ดดาวได้หรือไม่ ข้าอยากจะเข้าไปชมดู”
ผู้สันโดษชิงโยวลังเลไปครู่หนึ่ง เขาไม่ค่อยวางใจนักกับสภาพปัจจุบันของเด็กหนุ่ม “หากกษัตริย์มนุษย์ยืนกรานที่จะเข้าไป นครหยกน้อยของข้าก็ย่อมจะทำให้ดีที่สุดตามความปรารถนาของท่าน แต่ทว่า สภาวะของท่านดูไม่สู้ดีนักในตอนนี้ และการบุกเข้าไปด้วยกำลังดิบก็จะไม่ดีต่อตัวท่าน เพราะถึงอย่างไรท่านก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียว”
“ผ่านการทลายด่านห้าปราณ ทลายด่านหกทิศ และทลายด่านเจ็ดดาวย่อมจะช่วยเพิ่มพูนรากฐานของท่านจนสูงลิ่วอย่างแน่นอน ดังนั้นอย่าทำให้โอกาสนี้เสียเปล่าเลย และมาใหม่เถิดเมื่อท่านในสภาวะที่ดีที่สุด”
ฉินมู่ยิ้มให้แก่เขา “ข้าเพียงแต่ต้องการไปข้างในและมองดู มิได้เข้าไปท้าทาย”
ผู้สันโดษชิงโยวจนปัญญา “โปรดตามข้ามา” เขานำฉินมู่ไปยังโถงสามกำเนิดพลางกล่าว “ท่านผ่านการทลายด่านสามกำเนิดแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ท่านเข้าไปในโถง ก็จะเข้าสู่โถงห้าปราณโดยอัตโนมัติ หากว่าท่านเดินผ่านที่นั่นก็จะเป็นโถงแห่งหกทิศ และหลังจากนั้นก็จะเป็นโถงแห่งเจ็ดดาว จากสภาพของท่านที่ดูไม่ถูกต้อง เพื่อป้องกันท่านสร้างความผิดพลาดใดๆ ข้าจะนำทางด้วยตนเอง”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณและเดินเข้าไปในโถงแห่งสามกำเนิด ก่อนที่เขาจะได้ตั้งตัวติด ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลง และดวงดาวมหึมาห้าดวงก็ลอยผงาดขึ้นไปบนท้องฟ้า เปล่งแสงสีทอง สีเขียว สีน้ำเงิน สีแดง และสีเหลือง แต่ละดวงนั้นมีราชวังตั้งอยู่
ฉินมู่เพ่งสมาธิ และข้างๆ ดาวทั้งห้า เขาสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า แต่ทว่ามันอยู่ห่างไกลลิบลับจากเขาราวกับว่ามีโลกใบหนึ่งคั่นกลาง
ดาวทั้งห้าบนท้องฟ้าใหญ่มหึมาเกินจินตนาการ แต่พวกมันอยู่ที่ความห่างต่างๆ กันไป บ้างก็ใกล้ บ้างก็ไกล ในโถงวังศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า เทพเจ้าผู้ประจำดวงดาวทั้งห้าก็ยืนอยู่
ทันใดนั้น เสียงของผู้สันโดษชิงโยวก็ดังมาแต่ไกล
“ศิษย์พี่หญิงหยิ่งเหอ ให้ข้ามาแทนตำแหน่งท่านในด่านนี้”
เทพเจ้าลำตัวงูผู้มีเส้นผมสีแดงลุกขึ้น และแปรเปลี่ยนเป็นธารแสงอันพุ่งจากไปในที่ไกลๆ
รังสีแสงอีกลำพุ่งเข้ามา และเหยียบไปบนราชวังศักดิ์สิทธิ์ ผู้สันโดษชิงโยวแปลงกายเป็นเทพเจ้าลำตัวงูผมแดงและกล่าว “กษัตริย์มนุษย์ฉิน โถงแห่งห้าปราณแบ่งเป็นการทลายด่านทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ท่านต้องการเลือกธาตุใด”
ฉินมู่ส่ายหัว “การมาเยือนของข้าในครานี้นั้นเพื่อมองดูสมบัติเทวะของเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นผู้สันโดษชิงโยวโปรดผ่อนปรนข้าด้วย”
ผู้สันโดษชิงโยวขมวดคิ้ว เช่นเดียวกันกับผู้อมตะอีกสี่คน หนึ่งในนั้นกล่าว “ผู้ก่อตั้งของนครหยกน้อยของข้าได้ทิ้งโถงแห่งสามกำเนิดเอาไว้เพื่อใช้สอนอนุชนรุ่นหลัง และเติมเต็มในสิ่งที่พวกเขาขาดพร่อง นี่ไม่ใช่เพื่อให้เราไปพิจารณาสมบัติเทวะของเขา”
หญิงเฒ่าผู้หนึ่งขมวดคิ้ว “ผู้คนที่มาเพื่อท้าทายไม่เคยมีใครร้องขออะไรประหลาดแบบนี้มาก่อน ศิษย์พี่ชิงโยว…”
“กษัตริย์มนุษย์ฉินมิใช่คนนอก” ผู้สันโดษชิงโยวครุ่นคิดก่อนที่จะกล่าว “เขาแบ่งปันวิธีการบรรลุเทพให้แก่โลกหล้า และพวกเราก็ล้วนแต่ได้รับความกรุณาของเขา นครหยกน้อยควรที่จะตอบสนองคำร้องขอของเขา ยิ่งไปกว่านั้น บรรพชนที่ทิ้งด่านทดสอบนี้ไว้ก็ยังมีแซ่ฉิน”
ผู้อมตะทั้งสี่จึงไม่กล่าวท้วงอีกต่อไป
“กษัตริย์มนุษย์ฉิน ท่านมีโอกาสเดียวที่จะท้าสู้พวกเรา และหากว่าท่านสำเร็จ ท่านจะได้รับปราณเทวะแห่งห้าปราณ นี่ก็จะสามารถเสริมความบกพร่องในการฝึกปรือสมบัติเทวะห้าธาตุของท่าน ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าท่านเพียงต้องการแต่มองดูสมบัติเทวะของเทพเจ้านี้”
ฉินมู่โค้งคารวะ “ให้ปลาแก่คนย่อมทำให้เขาอิ่มท้องไปหนึ่งวัน แต่สอนเขาจับปลา ท่านก็จะป้อนให้เขาท้องอิ่มไปชั่วชีวิต ข้ายินดีที่จะละทิ้งปราณเทวะแห่งห้าปราณ”
ผู้สันโดษชิงโยวจึงคลี่ยิ้มออกมา “ตกลง ข้าคิดว่ากรอบคิดจิตใจของกษัตริย์มนุษย์ฉินนั้นไม่มั่นคงและกังวลว่าท่านจะสูญเสียปัญญาและพ่ายแพ้การต่อสู้ แต่ความเด็ดขาดของท่านทำให้ข้าชื่นชมยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้น ขึ้นมา!”
แสงสีเขียวของเขาร่วงลงไปยังพื้น และฉินมู่ถูกมันยกขึ้นมา ขึ้นไปเหยียบบนดาวธาตุน้ำ เทพร่างงูเกศาแดงที่ผู้สันโดษชิงโยวได้แปลงมานั้นนำพาเขาเข้าไปในโถงวังศักดิ์สิทธิ์ “กษัตริย์มนุษย์ฉิน เชิญท่านชมดูตามสบาย ตอนนี้ก็ขึ้นกับความสามารถของท่านแล้วว่าจะตรึกตรองเข้าใจได้มากน้อยเพียงใด”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณและสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างโดยละเอียด เขาเฝ้าสังเกตรอยประทับอักษรรูนบนผนังทั้งสี่แห่งโถงศักดิ์สิทธิ์ เพ่งพิศดูอย่างใกล้ชิด
บนดาวทั้งห้าดวงในสมบัติเทวะห้าธาตุ ล้วนแต่มีโถงวังศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ และพวกมันก่อขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ
ผู้ฝึกวิชาเทวะทุกๆ คนที่ฝึกปรือมาจนถึงขั้นนี้ก็จะหลอมสร้างดวงดาวทั้งห้าในสมบัติเทวะห้าธาตุของตน ดาวทั้งห้าดวงก็จะตอบสนองต่อห้าธาตุ
ดวงดาวพวกนี้ก่อขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ และราชวังศักดิ์สิทธิ์บนดวงดาวเหล่านี้ก็ก่อขึ้นมาโดยธรรมชาติเช่นกัน แต่ทว่าวิชาฝึกปรือที่แตกต่างกันก็จะก่อรูปขึ้นมาเป็นรอยประทับอักษรรูนที่แตกต่างกัน พวกมันก็จะมาประกอบกันกับปราณชีวิตและกลายเป็นเทพเจ้าในโถงวัง
ในสมบัติเทวะห้าธาตุของผู้ฝึกวิชาเทวะคนใดๆ เมื่อเทพเจ้าแห่งห้าธาตุเป่าลมหายใจปราณชีวิตออกมา คุณสมบัติธาตุของปราณชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลง นั่นจึงเป็นที่มาของนามว่า ห้าปราณ
สมบัติเทวะห้าธาตุของฉินมู่ได้ฝึกปรือบ่มเพาะจนถึงสุดขีดขั้วแล้ว ดังนั้นจึงยากที่เขาจะรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ทว่า การต่อสู้ระหว่างเขากับบรรพชนแรกทำให้เขาได้ตระหนักว่าขีดจำกัดของเขานั้น มิใช่ขีดจำกัดของทุกคน
เขาสังเกตดูอย่างละเอียด และผู้สันโดษชิงโยวก็ใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง ยืนคอยเขาอยู่ตลอดเวลานั้น
ยากที่จะบอกว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ฉินมู่จึงหลับตาลง ได้ศึกษาจนเพียงพอแล้ว
เมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็มองไปยังผู้สันโดษชิงโยว “ข้ามีคำขอร้องที่เกินเลยอยู่ประการหนึ่ง”
ผู้สันโดษชิงโยวเข้าใจความนัย และแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างพุ่งจากไปเหลือก็แต่ฉินมู่อยู่ตามลำพังในโถงศักดิ์สิทธิ์ รอยประทับอักษรรูนบนผนังพลันสว่างขึ้นมา และร่างกายของเขาก็แปรเปลี่ยนไปโดยที่เขามิได้จงใจ แปลงร่างเขาเป็นเทพเจ้าเกศาแดงผู้มีลำตัวงู
ผ่านไปนาน ฉินมู่ได้สลายเทวาจำแลงของตนและออกมาจากโถงวังศักดิ์สิทธิ์ เขาไปยังดาวดวงอื่นๆ และศึกษารอยประทับอักษรรูนที่นั่น
หลังจากสิบกว่าวัน เขาก็พลันเดินสำรวจครบทั้งห้าดวงดาวและไปยังสมบัติเทวะหกทิศที่ไม่มีใครอยู่ประจำการ
เขาใช้เวลาสิบกว่าวันอยู่ที่นั่นต่อก่อนที่จะเข้าไปยังสมบัติเทวะเจ็ดดาว เวลาผ่านไปอีกหลายวัน หลังจากนั้น เขาก็ไม่อาจไปข้างหน้าต่ออีกก็ในเมื่อสมบัติเทวะชาวสวรรค์และสมบัติเทวะเป็นตาย ไม่มีคนพอเปิดมัน
เมื่อฉินมู่เดินออกจากโถงแห่งสามกำเนิดด้วยสภาพอันอิดโรยและมีหนวดเคราเป็นตอๆ ผู้สันโดษชิงโยวก็รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มิได้นอนหลับมาตลอดเวลาที่ผ่าน เขารู้สึกเจ็บปวดแทนอีกฝ่ายและถาม “กษัตริย์มนุษย์ฉินได้สิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่”
ฉินมู่ดูจะมีจิตใจแจ่มใสขึ้น ความคืบหน้าของเขาในสมบัติเทวะห้าธาตุ หกทิศ และเจ็ดดาว ได้ให้ประโยชน์แก่เขาอย่างมาก เติมเต็มความมั่นใจของเขาขึ้นมาใหม่ เขากล่าวขอบคุณ “ขอบคุณเหล่าเซียนทั้งหลายมากๆ ส่วนว่าข้าได้พบสิ่งที่ข้าต้องการแล้วหรือไม่ ข้ายังต้องไปทดสอบยืนยันอีกที ข้าถามได้หรือไม่ เมื่อเทียบกันระหว่างผู้ก่อตั้งนครหยกน้อยกับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ กำลังฝีมือของใครสูงล้ำกว่ากัน”
“ข้าไม่อาจพูดได้จริงๆ ว่าใครมีกำลังฝีมือสูงกว่ากัน ก็ในเมื่อทั้งสองท่านล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสที่บรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้เมื่อสองหมื่นปีก่อน และข้าไม่เคยเห็นพวกเขาต่อสู้กันมาก่อน แต่ทว่า นครหยกน้อยมีม้วนบันทึกจำนวนหนึ่งที่กล่าวว่าครั้งหนึ่งบรรพชนได้ไปค้นหากษัตริย์มนุษย์รุ่นที่หนึ่ง เขาต้องการจะให้อีกฝ่ายลงจากภูเขามากู้สถานการณ์ของโลกหล้า แต่เขาก็ต้องกลับมาด้วยความท้อถอยหดหู่จากการพ่ายแพ้ และต้องเยียวยาอาการบาดเจ็บของตนเป็นเวลาหลายเดือน”
“ม้วนบันทึกระบุไว้ว่ากษัตริย์มนุษย์รุ่นที่หนึ่งได้ใช้พลังวัตรอันเกินจะหยั่งของเขาขับเคลื่อนเศษซากของสภาสวรรค์แห่งจักรพรรดิก่อตั้ง และนั่นกำลังฝีมือของเขาก็แข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว โถงกษัตริย์มนุษย์นั้นใหญ่กว่านครหยกน้อยเป็นร้อยเท่า และเป็นที่รู้กันดีว่ามันน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด”
“ข้าคิดว่าเหล่าบรรพชนแห่งนครหยกน้อยได้สู้ยิบตาเพื่อป้องกันพวกตนเองเท่านั้น ขณะที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้นำผู้คนจากเผ่าพันธุ์มากมายทะลวงฝ่าสมรภูมิรบตลอดทางมา จากข้อนั้น ก็คงไม่ยากที่จะคาดเดาว่าใครมีกำลังฝีมือสูงกว่ากัน”
ฉินมู่สีหน้าซีดราวขี้เถ้า ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็โค้งคารวะ “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณผู้สันโดษเป็นอย่างยิ่ง”
ผู้สันโดษชิงโยวขมวดคิ้วและรู้สึกว่ากรอบคิดจิตใจของเด็กหนุ่มย่ำแย่กว่าตอนที่เขามาเสียอีก “ท่านไม่ได้นอนมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ดังนั้นท่านพักผ่อนก่อนเสียเถอะ”
ฉินมู่ตกลง
ผู้สันโดษชิงโยวจัดแจงห้องให้แก่เขา และให้เขาได้นอนหลับ
หลังจากนั้นสิบกว่าวันฉินมู่จึงตื่นขึ้นมา แต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่สู้ดี เขายืนกรานที่จะจากไป และผู้สันโดษชิงโยวก็ไม่อาจรั้งเขาไว้ได้ต่ออีก “หากว่านักบุญคนตัดไม้กลับมา ข้าจะไปบอกข่าวท่านได้ที่ใด”
“ข้าคงต้องขอรบกวนผู้สันโดษให้ไปยังเมืองเขตมังกร ข้าอาจจะอยู่ที่นั่น”
ผู้สันโดษชิงโยวส่งเขาออกไปพลางครุ่นคิดอย่างฉงน ก่อนนั้นที่กษัตริย์มนุษย์ฉินมาที่นี่เป็นครั้งแรก เขานั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ตอนนี้ทำไมเขาจึงดูท้อแท้นัก
ฉินมู่นั่งอยู่บนหีบที่พาเขาจากไป เขาเทยาวิญญาณเพลิงฉานปนๆ กับยาชีวาเทพธาตุไฟลงไปจนเต็มอ่าง ให้แก่กิเลนมังกรที่ประหลาดใจแกมยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็กระวนกระวายไปด้วย ทำไมจ้าวลัทธิถึงใจดีนักวันนี้ เพราะว่าข้าอดอาหารมากว่าเดือนหนึ่งหรือเพราะว่าเขาขุนข้าไว้สำหรับเตรียมเชือดขึ้นโต๊ะ? ไม่ว่าจะอย่างไร กินก่อนก็แล้วกัน!
หลังจากเขากินหมดอ่างหนึ่ง ฉินมู่ก็เทให้เขาอีกรอบ
กิเลนมังกรลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนก้มลงมองอ่านอันเต็มไปด้วยยาวิญญาณ เขาพลันเริ่มร้องไห้โฮอย่างน่าสงสารพลางก้มหัวลงกินเข้าไปอีก
ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยความฉงน “เจ้าจะร้องไห้ทำไม”
“ถ้าตายก็ขอตายเป็นผีอิ่มท้อง!”กิเลนมังกรพูดทั้งที่อาหารเต็มปากพลางปาดป้ายน้ำตา “อย่างน้อยข้าก็จะได้ไปสู่ปรโลกด้วยพุงเต็มๆ จ้าวลัทธิ โปรดให้ข้าไปอย่างรวดเร็วไม่เจ็บปวด!”
ฉินมู่ส่ายหัวพลางกล่าว “ข้าได้ทำให้เจ้าอดอาหารมาช่วงหลายวันนี้ ดังนั้นข้าจึงชดเชยให้ ไม่ได้กะว่าจะฆ่าเจ้าเอาเนื้อมากินเสียหน่อย”
กิเลนมังกรลิงโลดยินดีและกินยาวิญญาณทั้งหมดในอ่าง
เมื่อพวกเขาผ่านเมืองหนึ่ง ฉินมู่ก็หยุดเพื่อซื้อสมุนไพรสำหรับทำยา เขาไปยังเมืองอีกหลายเมืองและหลอมปรุงยาวิญญาณเพลิงฉานและยาชีวาเทพธาตุไฟอีกหลายหม้อ อันเขายัดเอาไว้ในหีบ กิเลนมังกรรู้สึกตื้นตันจากเรื่องนี้ จ้าวลัทธิดีต่อข้าจริงๆ!
ฉินมู่ซื้อเหล็กดำและทองคำทมิฬมาหลอมตีเป็นอาวุธวิญญาณประหลาดพิสดารในระหว่างทาง
กิเลนมังกรไม่เข้าใจว่าเขากำลังจะทำอะไร เขาเห็นบางสิ่งที่ฉินมู่หลอมตีขึ้นมาว่ามันคือธง แท่นสังเวยจำนวนหนึ่ง และบ้างก็เป็นเครื่องมือการคำนวณอย่างผังแปดทิศ ไท่จี่ ลูกคิด และยันต์ห้าธาตุ
ผ่านไปหลายวัน พวกเขาก็มาถึงเมืองเขตมังกร แต่ไม่เข้าไปข้างใน
ฉินมู่ใช้แท่นผังแปดทิศ ผังไท่จี่ และเครื่องมือการคำนวณต่างๆ นานาเพื่อคิดคำนวณประมวลผล พลางมองไปในบริเวณรอบๆ เขาไปปักหลักตรงภูมิประเทศหนึ่งและใช้ไม้บรรทัดวัดภูเขาในละแวกนั้น จากนั้นเขาก็บันทึกอักษรรูนมากมายไว้บนกระดาษ กิเลนมังกรเดินเข้าไปมองดูแต่เขาไม่เข้าใจอะไรสักสิ่ง
การคำนวณนี้ดำเนินไปจนดวงอาทิตย์ใกล้จะตก และความมืดก็กำลังจะปกคลุมลงมา
เมื่อฉินมู่คำนวณเสร็จในที่สุดเขาก็ตั้งแท่นสังเวยอันมีธงปักอยู่รอบๆ จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ท่ามกลางมัน หลังจากที่ให้กิเลนมังกรและหีบถอยออกห่างแล้ว
“จ้าวลัทธิ นี่เอาไว้ทำอะไรหรือ” กิเลนมังกรถามจากข้างๆ หีบ
ฉินมู่ขับเคลื่อนธงและมองไปยังความมืดในบริเวณโดยรอบ โลกมิติอื่นกำลังจะปรากฏขึ้นมา และไม่นานก็จะซ้อนทับกับแดนโบราณวินาศ ในโลกนั้น มารจำนวนมากเคลื่อนที่ไปมารอบๆ ด้วยร่างกายอันดุจควันขณะที่พวกมันพรั่งพรูออกมาจากรูอวกาศ
ในสายตาของฉินมู่ ผู้คนแห่งโลกมิติอื่นกำลังต่อสู้ต้านฝูงมารพวกนั้น เขานั้นกำลังเผชิญกับสนามรบขนาดใหญ่ที่กว้างไกลไพศาลอย่างไม่อาจหาใดเปรียบ
“มังกรอ้วน ข้าได้เตรียมยาวิญญาณพอให้เจ้าใช้อยู่ได้เป็นเวลานานล่ะ อยู่กับหีบไปก่อนสักหลายๆ วัน ส่วนข้านั้นกะว่า…” สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังแม่ทัพมารบนสนามรบ บนแท่นสังเวย อักษรรูนจำนวนมากเปล่งแสงเรือง และธงเคลื่อนย้ายระยะไกลก็โบกสะพัด “ไปยังต่างโลก!”
ตูม!
เสียงระเบิดรุนแรงดังออกมา และฉินมู่กับธงเคลื่อนย้ายระยะไกลก็หายวับ แทนที่เขาบนแท่นสังเวย แม่ทัพมารตนหนึ่งอันสูงใหญ่กำยำพลันปรากฏตัวและจ้องมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง
หวูด หวูด!
เสียงแตรเขาสัตว์ดังยาวนาน และธงจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวไสว ฉินมู่พลันปรากฏที่ใจกลางสนามรบอันไพศาล ซึ่งมีไพร่พลนับล้านของกองทัพมารกำลังบุกตะลุยไปข้างหน้า
พวกเขากวาดผ่านฉินมู่ไปในการบุกตะลุย
ตรงหน้าพวกเขาคือเมืองอันโอฬารตระการตาที่มีเรือเหาะยักษ์ลอยอยู่บนท้องฟ้า เทพเจ้ามากมายยืนตระหง่านอยู่ที่นั่นพร้อมด้วยเทพศาสตราในมือพวกเขา และกวาดล้างกองทัพมารกับม้าศึกจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้ามาด้วยการฟาดฟันแต่ละที
ฉินมู่ใช้เวทมนตร์บูชายัญและพยุหะเคลื่อนย้ายระยะไกลเพื่อเข้ามาในโลกของเด็กสาวในความมืด!
…………………..