กิเลนมังกรตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเกิดตระหนักขึ้นมา ฉินมู่ได้ใช้วิธีการบูชายัญเพื่อเปลี่ยนตัวเขาให้เป็นเครื่องเซ่นสังเวย ด้วยวิธีนี้เขาก็ย้ายตนเองไปยังโลกอื่น ขณะที่การดำรงอยู่ของเขาถูกแทนที่ด้วยแม่ทัพมารแห่งโลกอื่นเพื่อธำรงดุลยภาพระหว่างสองโลก!

การคำนวณของจ้าวลัทธิบรรลุขั้นลึกซึ้งระดับนั้นแล้วหรือนี่ เขาคำนวณมันได้อย่างไรกัน

กิเลนมังกรจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง หลังจากติดตามปรมาจารย์เยาว์มาหลายปี เขาก็มีความสำเร็จเชิงคำนวณอันสูงส่ง หากว่าไม่ใช่เพราะความขี้เกียจของเขา เขาก็คงจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณระดับหัวกะทิของโลกหล้า

แต่ถึงอย่างนั้น วิธีในการคำนวณของฉินมู่ก็ทำให้แม้แต่เขายังต้องอ้าปากค้าง

เขารู้จักทฤษฎี แต่เมื่อคิดว่าจะประยุกต์ใช้พวกมันอย่างไร จิตคิดของเขาก็โล่งว่างเหมือนกระดาษขาว

วิธีบูชายัญเปลี่ยนเลือดและเนื้อให้กลายเป็นพลังงาน ส่งพวกมันผ่านไปยังโลกมิติอื่น เพื่อไปแทนที่สิ่งมีชีวิตจากโลกใบนั้น แต่ทว่า ฉินมู่มิได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นพลังงาน แต่ส่งผ่านตัวเขาเองในสภาพครบสมบูรณ์ไปยังโลกอื่น การทำเช่นนี้มีข้อต้องคิดคำนึงมากมาย อันเกินกว่าขอบเขตและขอบฟ้าของกิเลนมังกร

ฉินมู่ไม่เพียงแต่ใช้วิชาคำนวณ แต่ยังผนวกรวมกับวิธีบูชายัญของราชามารตู้เถียน เช่นเดียวกับวิธีการวัดห้วงอวกาศ การเคลื่อนย้ายระยะไกล ทั้งหมดนั้นจำต้องมีความรู้ปริมาณมหาศาลจนน่าแตกตื่น เพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของวิธีการของเขาก็เพียงพอที่ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายจะต้องใช้เวลาศึกษาไปชั่วชีวิต

จ้าวลัทธิใช้ตนเองเป็นเครื่องสังเวยเพื่อเคลื่อนย้ายตนเองไปยังโลกอื่นในคราวนี้ แต่ว่าเขาจะกลับมาอย่างไร กิเลนมังกรพลันนึกได้ถึงประเด็นสำคัญและมองไปที่แม่ทัพมารซึ่งยังตะลึงงัน เขาพลันตะโกนไป “ยืนอยู่ตรงนั้น อย่าขยับ!”

แม่ทัพมารยังคงงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อครู่เขากำลังบุกตะลุยไปข้างหน้าอยู่ชัดๆ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่บนสถานที่แห่งนี้ เขาก้มหน้าลงและเห็นสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนลูกผสมระหว่างหมูและมังกรอันมีเกล็ดปกคลุมไปทั้งตัว กับหีบประหลาดใบหนึ่ง เป็นสัตว์ประหลาดที่อ้วนฉุอย่างเหลือเชื่อนั่นแหละที่เป็นผู้พูด

แม่ทัพมารมองไปรอบๆ ตนอันไม่มีสิ่งใดนอกจากความมืดแสนเข้มข้น เขาพึมพำ “เย เคอ ฮา เอ (ที่นี่คือที่ไหน)”

กิเลนมังกรยกหีบขึ้นและโยนมันไปใส่แม่ทัพมาร มารตนนี้แค่นเสียงเฮอะและยกมือขึ้นเพื่อคว้าสิ่งอันลอยเข้าใส่ ในพริบตาถัดมา หีบก็เปิดอ้าออกและกลืนเขาเข้าไปในคำเดียว!

ปัง

หีบร่วงลงมาวางบนแท่นสังเวยพร้อมกับที่แม่ทัพมารกำลังอาละวาดปึงปังอยู่ในนั้น เขาทำให้หีบโยกกระดอนไปมาทั้งซ้ายและขวาจากการฟาดทุบ กระโดดขึ้นและลงในนั้นอย่างสะเปะสะปะ

จังหวะที่กิเลนมังกรเหวี่ยงหีบออกไป เขาก็ได้ทะยานขึ้นไปบนอากาศเมื่อหีบร่วงลงมา เขาก็กระโดดลงไปทับมันเอาไว้อย่างแน่นหนา แม่ทัพมารในหีบแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ และเกือบทำให้เขากระเด็นกระดอนออกไป

เขารีบกล่าว “พวกเราปล่อยเขาออกมาไม่ได้เด็ดขาด! ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราก็ปล่อยเขาออกมาไม่ได้! พวกเราจะต้องเก็บเขาเอาไว้ เพื่อให้เมื่อจ้าวลัทธิอยากจะกลับมา เขาก็จะสามารถบูชายัญหมอนี่ได้อีกครั้ง! แต่ยาวิญญาณที่จ้าวลัทธิให้ข้าไว้คงเป็นเสบียงได้ไม่นาน…ช้าก่อน ยาวิญญาณของข้าทั้งหมดอยู่ในหีบ!”

กิเลนมังกรร้องโหยหวน

เสียงของแตรเขาสัตว์ดังกังวานขึ้นและกังวานขึ้น ราวกับว่าเครื่องเป่านี้ถูกเป่าอยู่ข้างหูฉินมู่ เกือบจะทำให้เขาหูหนวกไปเลย เขาหันกลับไปมอง และกระแสอากาศรุนแรงก็ซัดเข้ามา คลื่นเสียงสยบมันเอาไว้ ทำให้ผิวของเขากระเพื่อมเป็นคลื่นๆ

ข้างหลังเขาคืองาช้างยาวมหึมา อันยาวกว่าสิบห้าวาและเต็มไปด้วยมีดเหล็ก

ช้างยักษ์สามตัวอันมีรอยประทับมารไปทั่วตัวของพวกมันกำลังลากรถเมฆาทลายเมือง งาของมันกวัดแกว่งไปซ้ายและขวา เสียบปักมารเป็นสิบๆตัวไว้บนมีดเหล็กของพวกมัน เมื่อถูกปักติดเข้าไป ผู้คนเหล่านั้นก็ได้แต่ถูกแกว่งไปมาตามจังหวะงา

บนรถเมฆาทลายเมืองคือเขาของสัตว์พิสดารอันหนาใหญ่เสียยิ่งกว่างาช้างเสียอีก มันถูกเจาะให้กลวงและเปลี่ยนเป็นแตรเขาสัตว์อันปากแตรทั้งสองข้างใหญ่กว้างขนาดที่ผู้คนสองถึงสามคนเข้าไปยืนอยู่ได้ เสียงอันกึกก้องจนหูอื้ออึงดังมาจากแตรเขาสัตว์นี้

บนรถศึก ยักษ์มารตนหนึ่งกำลังเร่งเร้าปราณชีวิตของตนเพื่อเป่าแตรเขาสัตว์ เสียงของมันดังสนั่นจนแพร่กระจายไปทั่วทั้งสนามรบ

รถเมฆาทลายเมืองอันใหญ่โตมโหฬารไร้ปานเปรียบไม่สนใจมิตรและศัตรู บดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางทางมันด้วยคชสารยักษ์และล้อรถ มันบดทับฝูงมารมากมายที่บุกตะลุยไปข้างหน้าจนเลือดและเนื้อสาดกระจายไปทุกหนทุกแห่ง!

รอบข้างฉินมู่เต็มไปด้วยทหารมารที่สวมใส่เกราะดำและกวัดแกว่งอาวุธของพวกเขา โดยไม่คิดอะไรมาก เขาเริ่มต้นวิ่งตะบึงไปในทิศทางเดียวกับพวกนั้น คือมุ่งไปยังสนามรบ

“อา ผู เกา เนิน ฮาม (เจ้าคือใคร)” มารตนหนึ่งพลันตระหนักว่าฉินมู่มิใช่พวกเดียวกันกับพวกตนจึงส่งสายตาพิศวงไป

พริบตาถัดมา ศีรษะของเขาก็ปลิวกระเด็น

ไจกระบี่พวยพุ่งออกมาจากถุงเต๋าตี้ของฉินมู่ และร่วงลงมาในมือของเขา กระบี่มากมายนับไม่ถ้วนไหลบ่าออกมาจากสองฟากกำปั้น พวกมันสร้างภาพลวงของกระบี่วาวสองคม อันด้านทั้งสองแหลมทั้งคู่ มีด้ามจับตรงกลาง และใบกระบี่ยาวถึงยี่สิบวา

ฉินมู่เหวี่ยงหมุนกระบี่ของเขาเป็นวงกลมและกวาดมันไปรอบทิศทาง ทหารมารทั้งหมดที่กระโจนเข้ามาใส่เขาพลันกลายเป็นชิ้นส่วนอวัยวะที่ร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้า คชสารยักษ์ที่พุ่งตะบึงเข้าใส่ก็ถูกสะบั้นขาหน้าทั้งสอง และล้มหน้าปักพื้น ทำให้งาของมันหัก

ข้างหลัง รถเมฆาก็กระเด็นขึ้นไปบนอากาศ และพลิกคว่ำลงเหนือศีรษะฉินมู่

มารตัวยักษ์บนรถศึกจ้องมองไปทางเขาขณะที่ปลิวหัวพลิกคว่ำไปกับรถ เมื่อเขาเห็นฉินมู่ ดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ถัดมา กระบี่เล่มหนึ่งก็แทงทะลุหัวเขา ปักเอาไว้คารถศึก

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกหลังจากที่จัดการอันตรายอันจะถูกช้างยักษ์และรถศึกพุ่งชนเอาได้ เขามองไปข้างหลัง และขนหัวก็ลุกจนหนังหัวชาดิก

ข้างหลังเขาคือคชสารยักษ์จำนวนมากที่ชักลากรถเมฆาทลายเมืองอันขับเคลื่อนด้วยเหล่ามารตรงไปยังสนามรบฝั่งตรงข้าม

เสียงกึกกักอึกทึกของเท้ามหึมามากมายอันเหยียบย่ำลงไปบนพื้นซ้ำๆ ราวกับสายฟ้าอันฟาดเปรี้ยงปร้างข้ามสมรภูมิ

ข้างหลังรถเมฆายักษ์ ก็มีสัตว์พิสดารจำนวนมากมายอันใหญ่โตเสียยิ่งกว่าช้างมหึมาเสียอีก พวกมันวิ่งตะบึงด้วยความบ้าคลั่งพร้อมกับมารเทวะหน้าตาถมึงทึงที่ยืนอยู่บนหลังของมันพร้อมกับมารเทวะศาสตราในมือของพวกเขา

อาวุธเหล่านั้นแผ่พลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวและกวาดซัดไปบนท้องฟ้าเหนือสนามรบ ส่งเสียงหึ่งฮัมเมื่อพวกมันพุ่งยิงไปยังเทพเจ้าทั้งหลายที่ฝั่งตรงข้าม

คลื่นกระเพื่อมอันยิ่งใหญ่ตระการตา และในขณะเดียวกันก็น่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสน สร้างความปั่นป่วนบนท้องฟ้าเหนือสนามรบ พลานุภาพของเทพศาสตราและมารศาสตราปะทะกันและบิดเบี้ยวห้วงมิติ

แสงรังสีทุกประเภทเริงระบำอยู่บนท้องฟ้า คมมีดสะท้านโลกทุกสีสันกวาดซัดไปๆ มาๆ บนนภากาศ คลื่นกระเพื่อมแผ่ไปทุกทิศทาง ทำให้ใครที่อาจหาญบินขึ้นไปต้องตายอย่างแน่แท้!

ฉินมู่รีบประเมินสถานการณ์ และสีหน้าของเขาก็กลายเป็นเครียดขรึม จุดที่เขาอยู่นั้นอยู่ตรงหน้าทัพมารพอดี!

ทหารที่อยู่ตรงนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารเลวชั้นต่ำที่สุด เป็นตัวป้อนปืนที่ใช้ให้พุ่งทะลวงไปยังฐานของศัตรูเพื่อหยั่งทดสอบการป้องกันของฝ่ายนั้น!

ในเมื่อฉินมู่อยู่ท่ามกลางทหารเลวป้อนปืน และกำลังจะเข้าไปปะทะกับผู้คนของศัตรู ก็มีโอกาสสูงที่ว่าเขาก็จะกลายเป็นเหยื่อกระสุนไปด้วยเช่นกัน

“อา พูเกา นาน หาน?”

เสียงตะโกนดังมาจากรถศึกข้างหลังเมื่อมารยักษ์หลายตนมองมาทางเขาด้วยความสงสัย

“คู เตอะ เก่ย ลั่ว (เป็นพวกเดียวกับเจ้า)!” ฉินมู่รีบตะโกนกลับไปหาพวกเขา

ทหารมารจำนวนมากกระโดดลงจากรถศึก แต่ไม่เหมือนก่อนหน้า พวกเขาเป็นทหารชั้นยอดของเผ่ามาร พวกเขากรูกันเข้ามาราวกับน้ำบ่า พุ่งเข้ามายังฉินมู่อย่างบ้าคลั่งพลางตะโกน “ฮา ติ ลา (ฆ่า)!”

ฉินมู่ไม่ลังเลอีกต่อไปและหันกายวิ่งหนี เขานั้นกำลังงุนงงอยู่ ข้าก็บอกว่าข้าเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาชัดๆ ทำไมพวกเขายังจะฆ่าข้าอีก

ทหารชั้นยอดเหล่านั้นมิใช่มารชั้นเลวที่พุ่งไปข้างหน้าเป็นทัพหน้า ผู้คนเหล่านี้มีกำลังฝีมืออันแข็งแกร่งและอยู่ในบรรดาฝูงมารฟ้า ครั้งหนึ่งฉินมู่เคยต่อสู้กับเผ่าพันธุ์นี้ในแดนเป็นของคนตาย และจึงรู้ว่ากำลังฝีมือของพวกเขานั้นน่าแตกตื่น

ฝูงมารฟ้าซ่อนอยู่ข้างหลังรถเมฆาทลายเมือง และจะออกมาโจมตีก็ต่อเมื่อมารชั้นเลวในทัพหน้าไปบุกทะลวงเข้าไปในพยุหะกระบวนทัพของศัตรูและทำให้เสียกระบวนแล้ว

ในตอนนี้ ผู้คนมากมายจากฝูงมารฟ้าวิ่งไล่ล่าฉินมู่ไป หมายที่จะขจัดผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามนุษย์ผู้นี้ซึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาจากที่ใดไม่ทราบ

เสียงตะโกนดังมาจากข้างหลังและมารชั้นเลวก็ได้รับคำสั่งให้โจมตีฉินมู่ซึ่งกำลังวิ่งหนีไปเช่นกัน

“แปดพันกระบี่!” เขาตะโกนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด และกระบี่ยักษ์ในมือของเขาก็พลันพวยพุ่งออกไป แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปั่นหมุนอย่างบ้าคลั่ง และทัพหน้าก็พลันถูกหั่นเฉือนเป็นเศษเนื้อ กระบี่แปดพันเล่มราวกับลูกบอลแสงขนาดยักษ์ที่กลิ้งไปมาท่ามกลางเหล่าทัพหน้า ปั่นขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทาง

ฟิ้ววว!

ลูกบอลแสงกลิ้งไปบดขยี้ทัพมารจนกระทั่งยอดยุทธขั้นชาวสวรรค์ท่ามกลางมารชั้นเลวคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อปูดโปนก็พองทะลุเสื้อผ้าและชุดเกราะของเขา เขาขยายร่างจนสูงใหญ่ถึงสิบห้าวา และเหวี่ยงฟาดตะบองของเขาไปทุกทิศทางกำจัดมารชั้นเลวที่ขวางทางเขา

ตะบองของเขาหลอมสร้างขึ้นมาโดยใช้วิชาลับ และสามารถแยกออกเป็นสามสิบหกท่อน แต่ละท่อนเชื่อมต่อกันและหมุนปั่นกันคนละทิศละทาง บดขยี้ผู้คนของเขาให้กลายเป็นเศษเนื้อ

นายกองมารผู้นั้นกวาดล้างทุกคนออกไป จากนั้นเงื้อตะบองของเขาฟาดใส่ฉินมู่ เขาสามารถได้ยินเสียงเคร้งๆ ไม่รู้จบของกระบี่แปดพันเล่มที่รวบรวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วก่อขึ้นมาเป็นโล่ใหญ่ ป้องกันการโจมตีของเขา

ร่างของนายกองมารนั้นโงนเงน และเสียงปังอีกสองเสียงดังออกมาเมื่อแขนอีกสองข้างผุดขึ้นมาจากใต้รักแร้ของเขา พวกมันจับโล่ยักษ์ให้อยู่กับที่ และอีกสองแขนเดิมก็เงื้อตะบองขึ้นสูงเพื่อฟาดลงไปอีกครั้ง

ฉินมู่เทวาจำแลงเป็นเทพครองดาวเสาร์ ข้างหลังเขา ประตูน้อมสวรรค์อันสูงเป็นสิบวาก็ปรากฏขึ้นและเปิดออก ประตูนี้ป้องกันข้างหลังเขาโดยคร่าดวงวิญญาณของมารมากมายที่พุ่งมาทางข้างหลังเขาเข้าไปในแดนใต้พิภพ

ตูม!

เขาเงื้อมือขึ้นและส่งฝ่ามือไปปะทะกับนายกองมาร พลังวัตรของทั้งคู่แผ่พุ่งออกไปพร้อมกับทักษะเทวะของแต่ละฝ่าย ไม่ทันที่ตะบองของนายกองจะฟาดลงมาถึง ร่างของเขาก็ถูกซัดกระเด็นขึ้นไปบนอากาศด้วยฝีมือของฉินมู่ และพุ่งเข้าไปปะทะกับฝูงมาร พวกมารชั้นเลวบางคนถึงกับคอหักตายคาที่

แต่ในตอนนั้น ฝูงมารฟ้าที่ว่องไวที่สุดก็มาถึงตัวเขาแล้ว ไจมีดโบยบินมาจากท้องฟ้า พุ่งตรงไปใส่หน้าของฉินมู่

“หน้าผาสวรรค์ดาวหมีใหญ่!” ฉินมู่ตะโกนออกไป และฝ่ามือของเขาก็ผลักไปข้างหน้า

หน้าผาสวรรค์ดาวหมีใหญ่ของคณบดีป้าซานนั้นถูกขับเคลื่อนออกไปอย่างง่ายดาย และดวงดาวก็แผ่ออกไปราวกับเม็ดหมากล้อม ดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวธาตุทั้งห้าเป็นเจ็ดดาวหลัก พวกมันดวงใหญ่ที่สุดและแปรเปลี่ยนเป็นกำแพงแสงที่จับเอามีดโค้งไว้กลางอากาศ

ถัดจากนั้น หน้าผาสวรรค์ดาวหมีใหญ่ก็แตกทำลาย

ฉินมู่ร้องกระอักเสียงหนักและเซถอยหลัง บุคคลแรกจากฝูงมารฟ้าที่เร่งรุดมาถึงเป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาแห่งเผ่าอสุราจากเผ่าทั้งแปดแห่งมารฟ้า เขายื่นมือออกไป และมีดโค้งนับไม่ถ้วนก็โบยบินกลับมาก่อรูปเป็นไจมีดในมือของเขา

อสุรานั้นเหวี่ยงซัดมือ และไจมีดของเขาก็ส่งเสียงหึ่งพลางก่อขึ้นมาเป็นมีดยาวสองเล่ม ในเวลาเดียวกันนั้น มีดโค้งเล่มอื่นๆ ในไจมีดก็กลายเป็นละเอียดยิบ และไหล่ผ่านง่ามมือของเขาไปก่อขึ้นมาเป็นเม็ดทรายที่ไหลรี่ไปรอบๆ ตัวเขา

อสุรานี้เงื้อมีดโค้งในมือและโจมตีฉินมู่ราวกับพายุหมุน

เคร้ง!

ทั้งสองคนปะทะกัน และฉินมู่ก็เคลื่อนที่ไปเพื่อสลัดเอาพลานุภาพในการปะทะออก

กำลังมากอะไรอย่างนี้!

อสุรานั้นก็ถูกซัดกระเด็นไปเช่นกัน เขาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อตั้งตัวใหม่ จากนั้นพุ่งทะยานตรงไปยังฉินมู่ด้วยความเร็วสูงกว่าเดิม

ฉินมู่สืบเท้าไปหนึ่งก้าวและผลักฝ่ามือไปข้างหน้า แสงตรงหน้าเขากระเพื่อมสั่นไหว และปราณชีวิตของเขาก็เปลี่ยนเป็นคำตรึง ร่างของอสุรานั้นถูกตรึงไว้ชั่วแวบหนึ่ง แต่เมื่อเขากำลังจะขยับอีกครั้ง กระบี่ของฉินมู่ก็กวาดผ่านเขา และหัวใจก้อนหนึ่งก็ปลิวกระเด็นขึ้นไปบนฟ้า

“ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังด้อยกว่าข้าอยู่ดี”

ฉินมู่หรี่ตาลงเมื่อผู้คนจากฝูงมารฟ้าเข้ามาใกล้เขาอีกหลายคน แต่ละคนนั้นไม่ด้อยไปกว่าอสุราเมื่อครู่ อันทำให้เขาขนหัวลุก

แต่ทว่า ในตอนนั้นเอง เสียงกัมปนาทสะท้านโลกก็ดังมาจากสนามรบ มันเป็นการปะทะกับของทัพสองทัพ ในพริบตานั้น เลือดและเนื้อปลิวกระจายไปในอากาศ

ท้องฟ้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดมิด และที่ใจกลางสนามรบ แท่นสังเวยหนึ่งก็ผงาดขึ้นมาท่ามกลางความนองเลือด แผ่นดินที่ยกตัวสูงขึ้นมาเหวี่ยงฉินมู่และฝูงมารฟ้าและกระเด็นกระจัดกระจาย

ฉินมู่รีบมองไป และหัวใจของเขาก็กระโดดโครมครามด้วยความตื่นตระหนก แท่นสังเวยนั้นใช้เพื่อการสังเวยโลหิต และคล้ายคลึงกับอันที่เขาใช้เคลื่อนย้ายตนเองมายังโลกนี้

เป้าหมายหลักของแท่นสังเวยใหญ่นี้ก็เพื่อจะใช้เลือดและเนื้อในการสงครามเพื่ออัญเชิญตัวตนอันทรงพลังมาจากโลกอื่น

แท่นสังเวยนี้ใหญ่กว่าที่ข้าสร้างเป็นร้อยๆ เท่า…ใครกันที่ฝังมันเอาไว้ที่นี่

เมื่อเขาลงเหยียบพื้น เขาก็ถูกฝูงมารฟ้ากรูเข้ามาโจมตีจนไม่มีเวลาคิดวอกแวก

แท่นสังเวยจุดแสงติดขึ้นมาในเวลานั้น และอักษรรูนจำนวนมากก็หมุนเป็นเกลียววนรอบๆ มัน ส่องแสงสว่างไปทุกทิศทาง แสงเลือดสาดส่องข้ามท้องฟ้า พวยพุ่งไปเป่ารูทะลุในชั้นเมฆ

ตูม!

ขวานใหญ่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ตามมาด้วยพยัคฆ์ร้ายที่สวยงามและดุดัน ร่างของมันห้อมล้อมไปด้วยรอยประทับเทวะทุกชนิด

“นายท่าน!”

พยัคฆ์ดุคำรามลั่น และเงาร่างที่คุ้นตาก็ปรากฏบนหลังของมัน ฉินมู่มองไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า เพราะว่าความเผลอไผลชั่วแวบนั้น เขาเกือบถูกฝูงมารฟ้ากระซวกเอา

บนแท่นสังเวย เขาได้เห็นบุคคลที่คุ้นเคยถือขวานอยู่พลางขี่เสือเทพยดา

นั่นคือนักบุญคนตัดไม้ผู้ซึ่งถ่ายทอดคำสั่งสอนของเขาบนก้อนหิน

…………………..