“ฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

จู่ๆ รูลลักก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง

 

แต่แล้วในตอนที่ทุกคนต่างก็ลอบถอนหายใจ คิดว่าคงจะแค่ล้อกันเล่นนี่เอง

 

“ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ฟีเรนเทียหลานสาวของข้าเป็นคนผลิตมันขึ้นมาจริงๆ เป็นผลงานที่ร่วมมือกันกับนักศึกษานามว่าเอสทีร่า ซึ่งถือใบแนะนำของข้าไปเข้าร่วมอะคาเดมีในฐานะนักวิจัยยังไงล่ะ”

 

“ฮ่าฮ่า ร่วมมือ!”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! เป็นผลงานที่ร่วมมือกันนี่เองครับ!”

 

ตอนนั้นเองทุกคนถึงได้ระเบิดหัวเราะเสียงดัง

 

ใช่ มันต้องแบบนั้นสิ

 

ก็คิดอยู่ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ที่บอกว่าเด็กตัวเล็กๆ เป็นคนทำขึ้นมา แต่นี่มันเป็นผลงานที่ร่วมมือกันกับบัณฑิตมากความสามารถไม่ใช่หรือ

 

ก็คงจะช่วยแค่เรื่องอย่างเลือกสีริบบิ้นนี่เท่านั้นแหละนะ

 

นั่นคือความคิดของเหล่าลูกน้องทั้งหลาย

 

“มันเป็นสินค้าที่จะวางจำหน่ายอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไปหากถึงเวลาคงจะขายดิบขายดีจนหาซื้อไม่ได้ ต้องขอบใจแล้วละ”

 

“ท่านเจ้าตระกูลดูจะภูมิใจในตัวหลานสาวมากเลยนะครับ! ”

 

ผู้นำตระกูลเฮลิ่งหัวเราะตอบรับ

 

“ไม่รู้หรอกว่าพวกเจ้าจะเชื่อที่ข้าพูดแค่ไหน แต่พวกเจ้าต้องได้เห็นภาพหลานสาวข้าถือยาขี้ผึ้งนี่มาต่อรองอย่างหนักแน่นกับข้า! ”

 

“ต่อรองหรือครับ กับท่านเจ้าตระกูลเนี่ยนะครับ”

 

เหล่าลูกน้องใต้บังคับบัญชาต่างก็ตื่นตกใจ

 

เพราะกว่าที่พวกเขาจะสามารถนั่งหัวเราะพูดคุยกันแบบนี้กับรูลลักได้ ยังต้องใช้เวลานานมากเหลือเกิน

 

เด็กทั่วไปแค่ถูกรูลลักอุ้มก็ร้องไห้เสียงดังแล้วด้วยซ้ำ

 

แต่กลับต่อรองกับเจ้าตระกูลคนนั้นเนี่ยนะ แถมคนคนนั้นยังเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆ อีก

 

“ฟีเรนเทียไม่หวาดกลัวข้า นางเป็นเด็กที่มั่นใจในตัวเองมากทีเดียว”

 

“โอ้เรื่องนั้นช่างน่าตกใจจริงๆ ครับ”

 

บรรยากาศดูเหมือนทุกคนจะไม่เชื่อว่าฟีเรนเทียเป็นคนผลิตยาขี้ผึ้งขึ้นมาจริงๆ

 

แต่คำพูดที่ว่าเป็นเด็กมั่นใจในตัวเอง ไม่กลัวเจ้าตระกูลนั้น พวกเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

 

“จะว่าไป ไม่นึกเลยนะครับว่าท่านเจ้าตระกูลจะเป็นคนชอบอวดหลานสาวขนาดนี้”

 

ผู้นำตระกูลแวร์ซึ่งสนิทสนมกับรูลลัก และอายุมากที่สุดในที่แห่งนี้หัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่า พลางเอ่ยพูด

 

“เพราะเด็กคนนั้นเป็นคนที่ฉลาดมากยังไงล่ะ”

 

ภาพลักษณ์ของตัวเขาเองในตอนนี้อาจจะดูโง่เขลามากพอตัว แต่รูลลักก็ยังเอาแต่หัวเราะร่าไม่คิดใส่ใจ

 

นึกว่ามีเรื่องใหญ่อะไรถึงได้รีบร้อนวิ่งมาเพราะถูกเรียกตัวตั้งแต่เช้าแต่พวกเขากลับต้องมานั่งฟังเจ้าตระกูลเยินยอโอ้อวดหลานสาว ถึงจะได้ยาขี้ผึ้งติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของแถมก็เถอะ

 

ทว่าท่ามกลางบรรยากาศบทสนทนาพูดคุยต่างๆ นานา เครย์ลีบันกลับเอาแต่นิ่งเงียบ

 

นัยน์ตาเย็นชาเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังไม่อาจรู้ได้ว่าข้างในคิดอะไรอยู่คู่นั้น กำลังก้มมองกระปุกที่วางอยู่ตรงหน้าและใช้ปลายนิ้วลูบไล้ริบบิ้นสีแดง

 

มันเป็นสีเดียวกันกับสีโบผูกผมที่ฟีเรนเทียใช้บ่อยที่สุด

 

“เครย์ลีบัน ทำไมหรือ”

 

โรมาเชียซึ่งเฝ้ามองดูภาพนั้นอยู่ข้างๆ เอ่ยถามบุตรชายด้วยความสงสัย

 

“บางทีอาจจะเป็นความคิดเดียวกันกับที่ท่านพ่อและทุกๆ ท่านกำลังคิดอยู่ก็ได้ครับ”

 

นัยน์ตาของเครย์ลีบันจับจ้องไปยังเหล่าลูกน้องใต้บังคับบัญชาของลอมบาร์เดียที่กำลังหัวเราะพูดคุยกันด้วยท่าทีสบายๆ

 

แต่ระหว่างนั้น สายตาของพวกเขากลับหยุดอยู่ที่กระปุกยาเป็นระยะ

 

“ทุกคนก็คงจะกำลังคาดเดาสาเหตุที่ท่านเจ้าตระกูลเรียกตัวทุกคนมารวมกัน และเอายาขี้ผึ้งนี่ให้ดูใช่มั้ยล่ะครับ”

 

ในเมืองลอมบาร์เดียแห่งนี้ งานของลูกน้องใต้บังคับบัญชาก็คือ การอ่านจุดประสงค์ในใจของเจ้าตระกูลให้ออก และดำเนินการตามที่ท่านต้องการ

 

ถึงแม้พวกเขากำลังพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

 

“ท่านพ่อเองก็กำลังคิดแบบเดียวกันอยู่ไม่ใช่หรือครับ ว่าจะต้องวางขายยาขี้ผึ้งตัวนี้ในกลุ่มการค้าของลอมบาร์เดียที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง”

 

โรมาเซียยักไหล่ไม่ยี่หระ พยักหน้ายอมรับเมื่อถูกล่วงรู้ความในใจ

 

“และอีกเรื่องหนึ่ง…”

 

เครย์ลีบันเหลือบมองริบบิ้นสีแดงอีกครั้ง

 

จะเรียกว่าสัญชาตญาณหรือลางสังหรณ์อะไรก็ดีทั้งสิ้น สิ่งนั้นกำลังส่งเสียงร้องบอกเครย์ลีบันว่าให้จับตามองเจ้าของริบบิ้นสีแดงนี่ให้ดี

 

เครย์ลีบันถือกระปุกเล็กทรงกลมเอาไว้ในมือด้วยความหวงแหน

 

 

คลาสเรียนเลิกแล้ว

 

“ฟีเรนเทียเหมาะกับสีแดงมากจริงๆ นะ”

 

ลาลาเน่ช่วยผูกโบผูกผมสีแดงบนผมเธอพลางเอ่ยพูด

 

“ลาลาเน่เองก็เหมาะกับสีขาวเหมือนกัน”

 

ไม่ได้พูดออกไปเฉยๆ โดยไม่คิดอะไร

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผิวขาวเนียนของลาลาเน่หรือนัยน์ตาสีฟ้าที่สืบทอดต่อกันมาทางฝั่งตระกูลอังเกนัส ลาลาเน่เป็นผู้หญิงที่เหมาะกับสีขาวมากจริงๆ

 

“…ขอบใจนะ”

 

ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายชมเธอก่อนแท้ๆ แต่พอได้รับคำชมกลับไปบ้าง กลับเขินอายเสียได้

 

ลาลาเน่เป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ อ่อนโยน และนิสัยดีมากจนสงสัยว่าเกิดจากท้องเดียวกันกับเบเลซักจริงหรือเปล่า

 

อีกฝ่ายเป็นดั่งดอกไม้งามล้ำค่ำเกินว่าจะปล่อยให้ร่วงโรยไปเพราะต้องจากไปอยู่ห่างไกลตามลำพังและไม่อาจได้รับความรัก

 

ฟีเรนเทียคิดแบบนั้นในขณะที่เอ่ยพูดกับลาลาเน่

 

“ชอบตุ๊กตาใช่มั้ย ก่อนหน้านี้มีได้มาเป็นของขวัญวันเกิดข้าน่ะ แต่ข้าไม่ชอบตุ๊กตา ลาลาเน่เอาไปมั้ยล่ะ”

 

“จริงเหรอ ว้าว ดีจัง!”

 

ลาลาเน่ฉีกยิ้มมีความสุขราวกับเธอได้รับทองคำแท่งจากใคร

 

“ข้าล่ะ ข้าล่ะ!”

 

“ให้ของขวัญข้าบ้างสิ เทีย! ”

 

สองแฝดช่วยจัดเรียงหนังสือกับเบาะรองนั่งที่เธอตั้งใจจะเป็นคนจัดเก็บเองแทนเธอ ในขณะที่ส่งเสียงร้องงอแง

 

“รู้แล้วๆ”

 

เหตุผลที่เธอมัวแต่มานั่งพูดคุยไร้สาระกับพวกเด็กๆ แบบนี้ในตอนนี้ มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น

 

“หาว”

 

ฟีเรนเทียแสร้งหาววอดพลางเหลือบตาแอบมองเล็กน้อย

 

ยังมองอยู่อีกแฮะ ยังมองอยู่อีก

 

เครย์ลีบันกำลังมองเธอด้วยนัยน์ตาราวกับมีแสงเลเซอร์พุ่งออกมา

 

ก่อนเริ่มคลาสเรียนก็ทำแบบนั้น ตลอดคลาสเองพอมีจังหวะทีไรก็ถามคำถามเธออยู่เรื่อยและหลังคลาสเรียนจบลง ก็เอาแต่จ้องกันแบบนั้นอย่างเปิดเผย

 

แถมยังเอาแต่มองมาจนเธอจะบ้าตายอยู่แล้ว

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฟีเรนเทียก็ไม่อาจพูดออกไปว่า ‘ตาคงจะปวดแย่แล้วช่วยหันมองไปทางอื่นบ้างเถอะ!’ ได้อยู่ดี

 

ตอนนี้เธอเป็นแค่เด็กใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ เป็นแค่เด็กใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง

 

แต่แล้วก็มีใครบางคนสะกิดไหล่ของเธอที่กำลังร่ายมนตร์ใส่ตัวเองอยู่แบบนั้น

 

“อ๊าก ตกใจหมด!”

 

“ทำไมถึงได้ตกใจขนาดนั้นล่ะครับ”

 

เป็นเครย์ลีบันนั่นเอง

 

“เรื่องนั้น ก็จนถึงเมื่อครู่นี้ยังอยู่ตรงนั้นอยู่เลยนี่…ทะ…ทำไมเหรอคะ อาจารย์”

 

เธอฉีกยิ้มแหยดูน่าเกลียดที่สุดพลางเอ่ยถาม

 

“ไปด้วยกันกับข้าหน่อยสิครับ”

 

“คะ?”

 

ลาลาเน่ที่อยู่ข้างๆ กับสองแฝดต่างก็เอียงคอมองด้วยความงุนงง

 

เธอไม่ได้ฟังผิดไปเอง

 

“ข้าบอกว่าให้ไปด้วยกันกับข้าหน่อยครับ ท่านฟีเรนเทีย”

 

นี่เธอทำอะไรผิดอย่างนั้นเหรอ