บทที่ 33

 

 

โรมาเชีย ดิลลาร์ด ผู้รับผิดชอบกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียในปัจจุบัน ได้เดินทางมายังคฤหาสน์ลอมบาร์เดียตามคำสั่งเรียกตัวของเจ้าตระกูลตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่

 

ตระกูลดิลลาร์ดเป็นตระกูลที่จงรักภักดีเป็นอย่างมาก และได้ทำงานรับใช้ด้วยความซื่อสัตย์ต่อลอมบาร์เดียมาแล้วหลายยุคหลายสมัยถึงขนาดมีคำพูดมุกตลกว่าสำหรับตระกูลดิลลาร์ดแล้ว ผู้ที่เป็นกษัตริย์มิได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง แต่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในตระกูลลอมบาร์เดียต่างหาก

 

“ไม่ได้พบกันเสียนานนะครับ ท่านโรมาเชีย”

 

พ่อบ้านประจำคฤหาสน์ออกมารอต้อนรับเขาด้วยความสุภาพจากหน้าคฤหาสน์

 

“ท่านเจ้าตระกูลอยู่ที่ห้องทำงานหรือ”

 

“เปล่าครับ วันนี้มีคำสั่งให้เชิญไปยังห้องประชุมน่ะครับ”

 

“ห้องประชุม? อืม”

 

โรมาเชียลูบเคราที่ถูกตัดแต่งจนสั้นไปพลางตอบรับอย่างไม่คิดอะไร

 

สำหรับโรมาเชียซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียทั้งหมดคนนี้ ถึงแม้จะอายุมากขึ้น แต่ก็ไม่เคยถอยห่างจากหน้าที่การงานเลยแม้แต่วินาทีเดียว

 

หนังสือสัญญาและการติดต่อขนส่งของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียยังกองสุมอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาอยู่เลย

 

เขามั่นใจว่ายังไม่มีเรื่องใดเกี่ยวกับกลุ่มการค้าให้ต้องมาพบเจ้าตระกูลอย่างแน่นอน แต่จู่ๆ กลับเรียกตัวมาให้เข้าพบด่วนแบบนี้ พอคิดว่าอาจจะมีเรื่องใหญ่โตอะไรก็เป็นได้ ข้างในก็แอบรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา

 

บอกให้ไปยังห้องประชุมอย่างนั้นหรือ

 

โรมาเชียถามพ่อบ้าน

 

“หรือว่านอกจากข้าแล้ว ยังมีคนอื่นๆ อีก?”

 

พ่อบ้านจึงหัวเราะเล็กน้อยพลางเอ่ยตอบ

 

“ตอนนี้ตระกูลเบรย์ ตระกูลเฮลิ่ง ตระกูลบิลเคย์ ตระกูลเดวอน และตระกูลแวร์ ต่างก็มาถึงกันแล้วครับ ท่านโรมาเชียเป็นคนสุดท้ายครับ”

 

โรมาเชียยิ่งมีสีหน้าสับสนมากขึ้นไปอีก

 

ตระกูลที่พ่อบ้านกล่าวมาทั้งหมดเป็นตระกูลที่รับใช้ตระกูลลอมบาร์เดียเช่นเดียวกันกับตระกูลดิลลาร์ดพวกเขาต่างก็แบ่งกันรับหน้าที่ดูแลกิจการสำคัญอย่างธนาคาร การศึกษา การคมนาคม การเกษตร การก่อสร้าง และอื่นๆ

 

โรมาเชียรีบเดินด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเปิดประตูห้องประชุมออกด้วยความใจร้อน หัวหน้าตระกูลเฮลิ่งเป็นคนเห็นและต้อนรับโรมาเชียคนแรก

 

“โอ้ ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ”

 

“รู้มั้ยว่ามีเรื่องอะไรกันแน่”

 

ทว่าอีกฝ่ายเองก็ส่ายหน้าเช่นกัน

 

โรมาเชียนั่งลงบนที่นั่งว่าง เขาลองถามบุตรชายคนแรกของตระกูลเบรย์ที่นั่งข้างๆ ด้วยคำถามเดียวกัน แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาก็คล้ายๆ กัน

 

“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันครับ เมื่อวานจู่ๆ ก็ได้รับการติดต่อมา…”

 

“นี่มันจริงๆ เลย เรียกตัวมาแบบนี้ไม่ปกติเลยนะ…”

 

คำพูดของโรมาเชียนั้นถูกต้องแล้ว

 

การเรียกรวมตัวสมาชิกทั้งหมดแบบนี้ในคราวเดียว ปกติแล้วจะเป็นงานเลี้ยงปีใหม่ หรือไม่ก็งานเลี้ยงวันเกิดของรูลลักเท่านั้น

 

ในตอนนั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดออก ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเดินเข้ามาเพิ่มอีกคน

 

“ไม่สิ เครย์ลีบัน ขนาดเจ้าเองก็ด้วยเหรอเนี่ย”

 

เครย์ลีบันมีใบหน้าที่ยังคงง่วงงุนอยู่เลย

 

เครย์ลีบันกวาดสายตามองซ้ายขวาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งลงข้างโรมาเชียอย่างเป็นธรรมชาติ

 

โรมาเชียที่ตกใจกับการปรากฏตัวของเครย์ลีบันไปชั่วขณะเป็นฝ่ายชวนคุยด้วยเสียงทุ้มต่ำก่อน

 

“ไม่ได้พบกันนานเลยนะ เครย์ลีบัน”

 

เครย์ลีบันนวดรอบนัยน์ตาดูแล้วค่อนข้างเหนื่อยล้าพอควร เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปเสียงแผ่ว

 

“ครับ ท่านพ่อ”

 

นามสกุลของเครย์ลีบันอย่างเพลเลสนั้น เป็นนามสกุลที่ใช้ตามสกุลเดิมของมารดา

 

เครย์ลีบันซึ่งเป็นบุตรนอกสมรสของโรมาเชีย ดิลลาร์ดคนนี้ หลังจากที่บรรลุนิติภาวะก็ย้ายออกจากตระกูลดิลลาร์ด และใช้ชีวิตแยกตัวเป็นอิสระเรื่อยมา

 

คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ซ้ายขวาซึ่งรู้ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกเป็นอย่างดี ต่างก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำทักทายระหว่างทั้งคู่

 

ไม่นานหลังจากนั้น รูลลัก ลอมบาร์เดียก็เปิดประตูห้องประชุมออก แล้วเดินเข้ามา

 

ยกเว้นผู้นำตระกูลแวร์ที่อายุมากแล้ว คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ทั้งหมดต่างลุกขึ้นจากที่นั่ง โค้งศีรษะทักทาย

 

รูลลักหัวเราะทำมือส่งสัญญาณไปทางพวกเขาให้นั่งลง

 

“ทุกคนมากันหมดแล้วสินะ”

 

ต่างจากที่พวกเขากังวล ใบหน้าของรูลลักยิ้มแย้มแจ่มใส ดูแล้วท่าทางจะอารมณ์ดีมากทีเดียว ถึงอย่างนั้นเหล่าข้ารับใช้ใต้บังคับบัญชาจึงยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก

 

“เหตุผลที่เรียกทุกคนมาวันนี้ก็คือ…”

 

ความตึงเครียดไหลเวียนไปทั่วห้องประชุม

 

พอรูลลักขยับมือหนึ่งครั้ง ผู้ช่วยชายก็ถือถาดอะไรบางอย่างเดินเข้ามา

 

แกรก

 

กระปุกใบเล็กถูกวางลงตรงหน้าทุกคนคนละหนึ่งชิ้น

 

ของสิ่งนี้ที่ถูกมัดด้วยริบบิ้นสวยสีแดง มันคือสิ่งใดพวกเขาไม่อาจรู้ได้ในทันที

 

“หืม? นี่มันกลิ่นอะไรหรือครับ”

 

โรมาเชียหยิบกระปุกขึ้นมาใกล้หน้าอย่างระมัดระวัง พลางเอ่ยถาม

 

“กลิ่นหอมหวาน ทั้งยังให้กลิ่นเย็นสบาย…มันเป็นความรู้สึกแรกที่ได้กลิ่นนี่ครับ”

 

“นั่นสิครับ…”

 

คนที่นิสัยใจร้อนถึงกับหยิบกระปุกขึ้นมาลองเขย่าดูเล็กน้อย

 

รูลลักเฝ้ามองดูพวกเขาพลางหัวเราะไปด้วย ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“ยาไงล่ะ”

 

“ยาหรือครับ”

 

ถึงแม้จะคาดเดาอยู่แล้วเช่นกันด้วยกลิ่นที่ขมเล็กน้อย

 

เหล่าลูกน้องใต้บังคับบัญชาต่างก็มองหน้ากันด้วยความมึนงง

 

“ลองเปิดดูได้มั้ยครับ”

 

รูลลักพยักหน้าสบายใจ เมื่อเครย์ลีบันถามขึ้น

 

รูลลึกอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมให้ลูกน้องทั้งหลายที่กำลังคลายริบบิ้นสีแดง พลิกหน้าพลิกหลังดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

“ยาขี้ผึ้งสารพัดใช้ทาบนบริเวณที่รู้สึกเจ็บปวด โดยเฉพาะอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือคนที่ข้อกระดูกไม่ค่อยดีอย่างข้า ยิ่งมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม”

 

“โอ้!”

 

บรรดาลูกน้องใต้บังคับบัญชาที่พออายุมากขึ้นก็ปวดเมื่อยกันคนละที่สองที่ ต่างก็มองยาขี้ผึ้งด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

 

“อ๊ะ! แต่ห้ามทาลงบนผิวที่หนังเปิด หรือบาดแผลเลือดออกโดยตรงเด็ดขาด!”

 

รูลลักชูนิ้วขึ้น พูดหนักแน่น

 

“ว่าแต่สิ่งนี้ทำไม…”

 

ในที่สุดผู้นำตระกูลเดวอนก็เอ่ยถามเสียงแผ่ว

 

รูลลักยิ้มเจ้าเล่ห์คล้ายกับรอคำถามนี้อยู่แล้ว ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“รู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนผลิตยาขี้ผึ้งนี่”

 

“มะ…ไม่ทราบครับ”

 

“ก็คือหลานสาวของข้ายังไงล่ะ! ”

 

หลังจากนั้นเสียงหัวเราะดัง ‘วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า’ ของรูลลักก็ดังก้องไปทั่ว

 

“หลานสาว…ถ้าเช่นนั้น”

 

บุตรหลานสายตรงรุ่นที่สามของลอมบาร์เดียในปัจจุบันยังเยาว์วัยกันมาก

 

คนที่อายุมากที่สุดอย่างลาลาเน่เองก็ยังมีอายุเพียงแค่สิบเอ็ดขวบ

 

แต่จู่ๆ กลับมาบอกว่าหลานสาวเป็นคนทำขึ้นมาเนี่ยนะ

 

เหล่าลูกน้องใต้บังคับบัญชาถึงกับคิดว่าหรือจะมีหลานสาวช่วงอายุโตเต็มวัยอยู่อีกคนที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน

 

ในตอนนั้นเองเครย์ลีบันก็ถามขึ้นเสียงเรียบ

 

“ท่านฟีเรนเทียหรือครับ”

 

รูลลักที่เอาแต่หัวเราะไหล่กระเพื่อมไม่หยุดหยุดชะงัก เขาหันหน้าไปมองเครย์ลีบัน

 

บรรดาลูกน้องใต้บังคับบัญชาทั้งหมดที่นั่งอยู่ต่างก็ยิ่งส่งเสียงดังเซ็งแซ่มากกว่าเดิม

 

“ฟีเรนเทีย ถ้าเช่นนั้นก็ลูกสาวของแคลอฮัน?”

 

“ยังเด็กอยู่เลย”

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นรูลลักที่โอ้อวดยาขี้ผึ้งว่าเป็นยาที่หลานสาวเป็นคนผลิตขึ้น หรือเครย์ลีบันที่มองหน้ารูลลักอยู่นั้น ต่างก็ดูแล้วไม่เหมือนกำลังล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย