“ถ้างั้นข้าไปบอกข่าวดีให้เอสทีร่าฟังนะคะ! ทั้งสองท่าน ขอลาค่ะ!”
ฟีเรนเทียกล่าวลาอย่างสุภาพ ก่อนจะเปิดประตูห้องทำงานออกไปด้วยความเบิกบานใจ
คนในห้องต่างได้ยินเสียงฝีเท้าเบาดังตุบ ตุบ ตุบ วิ่งห่างออกไปไกลด้วยความรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะรีบวิ่งไปหาเอสทีร่า
“มันช่างเป็นยาที่น่าทึ่งจริงๆ นะครับ”
โบรชูลเปิดกระปุกยาที่ฟีเรนเทียวางทิ้งเอาไว้ออก มองยาขี้ผึ้งสีเหลืองข้างในนั้นด้วยความรู้สึกมหัศจรรย์ใจ
วินาทีที่ยานี่สัมผัสลงบนผิวความรู้สึกปวดตามข้อที่รบกวนตนมาตลอดกลับถูกสัมผัสเย็นสบายเข้าครอบคลุม
และก็เป็นไปตามคำอธิบายของฟีเรนเทีย มันไม่ได้มีประสิทธิภาพแค่ช่วยรักษาอาการปวดธรรมดาเท่านั้น
วัตถุดิบดั้งเดิมของยาตัวนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาบาดแผลกับอาการปวดบวมยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวทีเดียว
แต่แล้วโบรชูลก็ตระหนักได้ว่ามีอะไรอย่างหนึ่งแปลกไป
หลังจากที่ฟีเรนเทียออกจากห้องไปแล้ว รูลลักก็เงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านเจ้าตระกูล?”
โบรชูลเอ่ยเรียกรูลลักอย่างระมัดระวัง
ในตอนนั้นเอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เด็กคนนั้น ฮ่าฮ่า!”
รูลลักระเบิดหัวเราะเสียงดังสนั่นจนแม้แต่โบรชูลยังต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ
รูลลักหัวเราะไม่หยุดจนไหล่กระเพื่อม
“ข้านึกว่าอายุปูนนี้แล้ว จะไม่มีเรื่องใดทำให้ตกใจแบบนี้ได้อีกแล้วเสียอีก!”
พอนึกถึงภาพของฟีเรนเทียที่พูดจาหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำขึ้นมา รูลลักก็หัวเราะออกมาอีกรอบ
“แค่ใบแนะนำสองใบกับทุนการศึกษายังไม่พอ แต่ให้แบ่งกำไรส่วนหนึ่งจากการขายยานี่ด้วย?”
นั่นคือเงื่อนไขของฟีเรนเทีย
เป็นข้อเรียกร้องที่เหมาะสม
ยาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เอสทีร่าคิดค้นขึ้น
อัตราส่วนกำไรที่เรียกร้องเองก็ถือว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง
ยื่นเงื่อนไขมาเช่นนั้น ถ้าหากเป็นคนทำการค้าที่มีจรรยาบรรณอยู่บ้างละก็ ย่อมต้องยอมตกลงโดยไม่เจรจาต่อรองอะไรเพิ่มเติมอยู่แล้ว
ดังนั้นรูลลักจึงได้แต่ยอมรับข้อต่อรองนั่นโดยดี
อย่างไรเขาไม่สามารถแสดงภาพลักษณ์ดั่งคนใจแคบต่อหลานสาวตัวน้อยได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ
แน่นอนถ้าหากเป็นคนอื่นแล้วละก็มันคงกลายเป็นคำพูดที่ไร้สาระสำหรับเขา
‘หรือว่า?’
ความคิดที่ว่าบางทีในศีรษะเล็กๆ นั่นอาจจะมีกระทั่งความคิดแบบนั้นอยู่ด้วยหรือเปล่า มันแวบผ่านเข้ามาในหัวสมองของรูลลัก
“โบรชูล”
“ครับ ท่านเจ้าตระกูล”
“ฟีเรนเทียของข้าฉลาดมากเลยนะว่ามั้ย”
โบรชูลพยักหน้าตอบคำถามของรูลลักด้วยรอยยิ้ม
“อนาคตของลอมบาร์เดียจะต้องสดใสอย่างแน่นอนครับ”
“ใช่แล้วละ อนาคตของลอมบาร์เดีย”
สงสัยว่าเขาคงจะเผลอนำมุมมองความคิดของผู้ใหญ่มาใช้กับเด็กที่เพิ่งจะอายุได้เพียงแค่แปดขวบเสียแล้วถึงจะคิดเช่นนั้น รูลลักกลับไม่อาจละสายตาห่างไปจากกระปุกใบเล็กที่วางอยู่ตรงหน้าตนได้เลย
วันที่เอสทีร่าต้องออกเดินทางมาถึงจนได้
มันเป็นเพียงแค่ไม่มีวันหลังจากต่อรองกับท่านปู่
ไหนๆ ก็ต้องให้การสนับสนุนแล้ว ท่านปู่จึงใจป้ำไม่คิดตระหนี่
ท่านกล่าวว่าไม่อาจปล่อยให้เอสทีร่าซึ่งถือใบแนะนำของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียไปอาศัยอยู่ในหอพักได้ จึงจัดการซื้อบ้านขนาดเหมาะกำลังดีใกล้ๆ กับอะคาเดมีให้หนึ่งหลัง
เอสทีร่าก็ได้รับคำอนุญาตเป็นพิเศษจากคณบดีของอะคาเดมีโดยตรง มอบโอกาสให้ได้ทำการปรับตัวให้คุ้นชินให้เข้ามาศึกษาล่วงหน้าเร็วกว่าคนอื่น
ตอนนี้สำหรับเอสทีร่าแล้ว ที่เหลือก็แค่ศึกษาวิจัยอย่างขยันขันแข็งที่สถาบันศึกษาไปพลาง รอรายได้จากยอดขายยาขี้ผึ้งที่จะออมไว้ที่ธนาคารลอมบาร์เดียภายใต้ชื่อขอตัวเองก็พอ
สัมภาระทั้งหมดถูกขนขึ้นรถม้าหมดแล้ว สารถีเองก็กุมสายบังเหียนม้าไว้ในมือรอออกเดินทาง เอสทีร่ายืนอยู่ข้างรถม้ามองฟีเรนเทียด้วยนัยน์ตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ
“คุณหนูฟีเรนเทีย…บุญคุญครั้งนี้ข้าจะตอบแทนเช่นไรดีคะ”
“เห ทั้งหมดก็แค่โอกาสที่เอสทีร่าสมควรได้เพราะเจ้าเก่งกาจเองนะ”
ฟีเรนเทียพูดยิ้มๆ แต่เอสทีร่าก็ยังส่ายหน้าซับน้ำตา
“หากมีวิธีใดให้ข้าตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ละก็…”
ได้ยินดังนี้แล้ว เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเอสทีร่าแล้วถาม
“คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ เอสทีร่า”
“แน่นอนค่ะ! หากเป็นเรื่องที่ข้าสามารถทำได้ละก็ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ได้โปรดบอกข้ามาเถอะค่ะ คุณหนู!”
เอสทีร่าดูจะดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
ฟีเรนเทียลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูด
“ถ้าอย่างนั้น มีเรื่องอยากจะรบกวนอยู่เรื่องหนึ่งน่ะเอสทีร่า ไม่ใช่คำขอเล็กๆ ด้วย”
เอสทีร่าประสานมือไว้ข้างหน้า เอ่ยตอบด้วยสีหน้าตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว
“พูดมาเถอะค่ะ คุณหนู”
“ถ้างั้น…”
เธอมองสบนัยน์ตาของเอสทีร่าในขณะที่เอ่ยพูด
“มีโรคที่เรียกว่าเทรนบลูอยู่ เป็นโรคที่เอสทีร่าเองก็รู้จักใช่มั้ย”
โรคร้ายซึ่งเริ่มจากสูญเสียประสาทสัมผัสที่มือและเท้า กล้ามเนื้อทั่วร่างแข็งเกร็ง ในที่สุดก็จะค่อยๆ เริ่มหายใจไม่ออก แล้วตายลงไปอย่างช้าๆ
และมันยังเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อของเธอ แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย เสียชีวิตลงด้วยวัยเพียงแค่สามสิบกลางๆ เท่านั้น
“และมันมีสมุนไพรที่ชื่อ ‘โรเจง’ เติบโตอยู่ในเขตพื้นที่ที่อะคาเดมีตั้งอยู่ ช่วยใช้สิ่งนั้นหลอมยารักษาเทรนบลูขึ้นมาให้ที”
“ยารักษาเทรนบลู”
เสียงของเอสทีร่าสั่นระริก
“เรื่องที่สมุนไพรโรเจงใช้เป็นยารักษาได้ ทำไมคุณหนูถึง…”
เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไป
“คุณหนู…”
นัยน์ตาสั่นเทาของเอสทีร่าเหม่อมองเธอ
ฟีเรนเทียเองก็มองเอสทีร่าที่เป็นเช่นนั้นกลับไปเช่นกัน
และในที่สุด นัยน์ตาสั่นระริกที่มองเธอคู่นั้นก็หยุดสั่นไหว
ผู้หญิงคนนี้ ดูเหมือนนางจะค้นหาคำตอบเจอได้เองแล้วสินะ เอสทีร่าเอ่ยถามเธอ
“ยารักษาโรคหายากเช่นนั้น ข้าจะทำมันได้เหรอคะ”
ความรู้สึกสงสัยว่าตัวเองจะสามารถทำเรื่องยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้หรือไม่
สำหรับคนที่กำลังจะออกเดินทางไปบนเส้นทางเพื่อเป็นนักวิจัย มันเป็นภาระที่หนักเกินกว่าจะแบกรับเอาไว้ได้
แต่ฟีเรนเทียก็ยังคงมองสบนัยน์ตาของเอสทีร่าตรงๆ ในขณะที่เอ่ยตอบ
“อื้อ เอสทีร่าทำได้แน่นอน ต้องหลอมยารักษาออกมาได้แน่”
เพราะเจ้าคือคนที่หลอมยาตัวนั้นขึ้นมายังไงล่ะ
หลังจากที่ท่านพ่อจากไปได้สามปีพอดี
เธอได้ยินข่าวว่า เอสทีร่าที่เคยศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสถาบันการแพทย์ลอมบาร์เดียอยู่ระยะหนึ่ง ได้ทำการหลอมยารักษาโรคเทรนบลูขึ้นมา โดยใช้สมุนไพรที่เรียกว่าโรเจงเป็นส่วนผสมหลัก
เพียงแต่ในชีวิตใหม่นี้ เอสทีร่าจะต้องหลอมยารักษาให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเสียหน่อยก็เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นเธอถึงได้บอกใบ้ให้ว่าต้องใช้ ‘โรเจง’ เป็นส่วนผสม
“เอสทีร่าจะต้องทำได้แน่ๆ”
นี่ก็คือเหตุผลที่ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน เธอก็จะต้องส่งตัวเอสทีร่าไปยังอะคาเดมีโดยเร็วที่สุดให้ได้ยังไงล่ะ