ฟีเรนเทียพยายามเก็บซ่อนใจที่สั่นไหวขณะเดินเข้าไปข้างในห้องทำงานของท่านปู่

โล่งอกที่อากาศดูเหมือนจะเป็นใจช่วยเธอ

ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนกำลังตกโปรยปราย

“โอ้ๆ หลานข้ามาแล้วหรือ”

ท่านปู่กางแขนออกกว้างมาทางเธอ ใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบานเล็กน้อย

“ท่านปู่!”

เธอวิ่งเข้าไปทั้งแบบนั้น กระโจนเข้าสวมกอดท่านปู่

“ฮ่าๆ”

ท่านโบรชูลที่อยู่ข้างๆ เองก็มองเธอกับท่านปู่ที่กำลังกอดกันไปพลางหัวเราะด้วยใบหน้าตกใจ

บางทีคงจะเพิ่งเคยเห็นภาพลักษณ์เช่นนี้ของท่านปู่เป็นครั้งแรก

แต่ก็นะ เธอเองก็เข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน

รูลลัก ลอมบาร์เดีย ดูผ่อนคลายได้ถึงขนาดนี้

หากเธอเมื่อชาติก่อนได้มาเห็นเข้า ก็อาจจะตกใจจนหงายหลังล้มตึงไปเลยก็ได้

เธอผละออกจากอ้อมกอดของท่านปู่ โค้งศีรษะทักทายไปยังท่านโบรชูล

“สวัสดีค่ะ คุณปู่บรรณารักษ์”

“ฮ่าๆ ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ คุณหนูฟีเรนเทีย”

เพราะหลังจากที่ท่านพ่อเริ่มยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ไม่ค่อยได้แวะไปที่ห้องสมุดเท่าไหร่ ทำให้เขายิ่งยินดีที่ได้พบเธอมากกว่าที่เคย

“ไม่นึกเลยนะครับ ว่าคนที่อยากได้ใบแนะนำจะเป็นคุณหนู”

โบรชูลเอ่ยพูดกับเธอ

“ที่จริงแล้วไม่ใช่ข้าหรอกค่ะ แต่เป็นใบแนะนำเพื่อเอสทีร่า ลูกศิษย์ของดอกเตอร์โอมัลลี่น่ะค่ะ”

“อา ถ้าเป็นเด็กคนนั้นข้ารู้จักครับ ยังเยาว์อยู่เลย แต่เป็นเด็กที่ฉลาดมากจริงๆ นะครับ”

“ใช่แล้วค่ะ! เอสทีร่ารู้เรื่องสมุนไพรมากสุดๆ เลย เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เลยเอายาที่เอสทีร่าหลอมขึ้นมาให้ทั้งสองท่านได้ดูน่ะค่ะ! ”

เธอหยิบยาออกมาจากกระเป๋าใบเล็กที่ถือมาด้วย

“หืม? กลิ่นมีเอกลักษณ์ดีนะ”

ท่านปู่ทำจมูกฟุดฟิดพลางเอ่ยพูด

สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าข้างในนั้นมียาชนิดใดอยู่

แน่นอนว่าเธอไม่คิดจะตอบสนองความสงสัยของท่านปู่ในตอนนี้ทันทีหรอก

เธอเปิดฝาออก เดินเข้าไปหาท่านโบรชูล

“ปวดนิ้วมากใช่มั้ยคะ”

“หืม? เรื่องนั้นคุณหนูทราบได้ยังไงครับ”

โบรชูลสะดุ้งตกใจพลางเอ่ยพูด

สำหรับคนที่อายุมากขึ้นแล้วก็ยังทำงานที่ต้องใช้นิ้วมืออยู่บ่อยๆ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีอาการเจ็บปวดตามข้อนิ้ว

แค่ดูจากปลายนิ้วของท่านโบรชูลที่โค้งงอเล็กน้อยก็รู้แล้ว

“เอสทีร่าบอกน่ะค่ะ! ว่าคนที่ทำงานใช้นิ้วจับปากกาบ่อยๆ อย่างคุณปู่บรรณารักษ์ อาจจะเจ็บปวดตามข้อนิ้วได้! ”

เธอโยนความดีความชอบทั้งหมดไปให้เอสทีร่า ควักยาขี้ผึ้งด้วยปลายนิ้ว

“ขอมือทีค่ะ”

คำพูดของเธอทำให้ท่านโบรชูลหันไปมองท่านปู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมยื่นมือข้างที่รู้สึกเจ็บให้เธอ

แค่มองนิ้วมือที่ใช้จับปากกาก็เห็นได้ชัดแล้วว่ามันโค้งงอจนท่าทางคงจะปวดน่าดู

เธอทายาขี้ผึ้งลงบนนิ้วทีละนิ้วอย่างระมัดระวัง

และก็ได้ปฏิกิริยาตอบรับกลับมาในทันที

“โฮ่ว?”

ท่านโบรชูลตกใจ มองยาขี้ผึ้งด้วยนัยน์ตามหัศจรรย์ใจ

“เป็นไงบ้างคะ”

“ช่วงนี้อากาศมืดครึ้มจนรู้สึกปวดหนักขึ้นแท้ๆ”

เธอใช้นิ้วเล็กป้อมของเธอเกลี่ยเนื้อครีมไปตามข้อนิ้วอย่างแข็งขัน ให้มันซึมซับได้ดีมากยิ่งขึ้น

ที่จริงแค่ทาพอประมาณก็เพียงพอแล้ว

แต่เธอก็ยังมองสำรวจนิ้วตะคุ่มของท่านโบรชูลอย่างละเอียด

เมื่อชาติที่แล้วเธอเหลือตัวคนเดียวทั้งๆ ที่ยังเด็กมากสิ่งที่เป็นที่พึ่งพิงให้เธอได้ก็มีเพียงแค่หนังสือเท่านั้น

เพื่อเธอแล้ว ท่านโบรชูลต้องอยู่เฝ้าห้องสมุดจนถึงดึกดื่น บางครั้งถ้าหากมีเรื่องที่เธออ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจ ก็ยังคอยช่วยสอนให้เธอด้วย

สำหรับคนที่มีตำแหน่งหน้าที่บรรณารักษ์ห้องสมุดแล้ว มันอาจจะเป็นเพียงแค่ความใจดีเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่สำหรับเธอในตอนนั้น มันเป็นการปลอบโยนที่แสนยิ่งใหญ่เหลือเกิน

เธอนวดครีมขี้ผึ้งบนมือของท่านโบรชูลด้วยใจที่รู้สึกขอบคุณเรื่องเมื่อสมัยก่อน

“เอาละ เรียบแล้วแล้วค่ะ! ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างคะคุณปู่บรรณารักษ์”

“ความรู้สึกเย็นสบายมากกว่าเมื่อครู่นี้ครับ แทบจะไม่รู้สึกถึงอาการปวดแล้วด้วย นี่เป็นของดีจริงๆ เลยนะครับ”

“แหะๆ ใช่มั้ยคะ”

ท่านโบรชูลสูดกลิ่นฮิปซีย์จากมือท่าทางจะไม่ได้รู้สึกไม่ชอบกลิ่นนี้

“ฟีเรนเทีย”

ในตอนนั้นเองท่านปู่ก็เอ่ยเรียกเธอ

ใบหน้าแง่งอนที่กำลังมองท่านโบรชูลนั้น ดูคล้ายจะไม่ถูกใจอะไรบางอย่าง

“ปู่คนนี้ล่ะ”

ดูเหมือนจะอิจฉาที่เธอแสดงความรักต่อท่านโบรชูลสินะ

ฟีเรนเทียเกือบจะหัวเราะออกมา แต่ก็รีบถือยาขี้ผึ้งเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ท่านปู่รู้สึกน้อยใจ

เธอเดินเข้าไปหาท่านปู่ที่กำลังเหม่อมองเธอ ก่อนจะเอ่ยพูดกับท่านด้วยความมั่นใจ

“เข่าค่ะ! ”

“หืม?”

“ขอเข่าท่านปู่ด้วยค่ะ! ”

ท่านปู่เอ่ยถามด้วยความตกใจ

“เจ้ารู้ได้ยังไงกันว่าเข่าข้าไม่ดี”

“ก็ทุบตุบๆ แบบนี้อยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอคะ”

เธอเลียนแบบท่าทางที่ท่านปู่ทำเป็นประจำจนติดเป็นนิสัยพลางเอ่ยพูด

“ฟีเรนเทีย”

ท่านปู่มองเธอในขณะที่ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้คล้ายกับว่าท่านซาบซึ้งใจมากจริงๆ ที่เธอรู้กระทั่งว่าท่านปู่เจ็บป่วยตรงไหน

“ท่านปู่ เร็วสิคะ!”

คำเร่งเร้าของเธอทำให้ท่านปู่พับขากางเกงขึ้น เผยให้เห็นเข่าข้างขวา

เธอควักยาขี้ผึ้งขึ้นมาเต็มนิ้ว แล้วทามันลงบนเข่าของท่านปู่อย่างแข็งขัน

แตกต่างจากท่านโบรชูลที่มองหลานสาวผู้กตัญญูช่วยนวดขาข้างที่ปวดของปู่ ท่านปู่กลับเงียบไป

เพียงแค่ก้มลงมองหัวเข่าที่ถูกทาด้วยยาขี้ผึ้งด้วยใบหน้าที่หน้าผากยับย่นเล็กน้อยเท่านั้น

“นี่มัน…”

ในที่สุดท่านปู่ก็เปิดปากพูดด้วยใบหน้าจริงจัง

ท่านลองขยับเข่าข้างที่เจ็บอยู่หลายครั้ง ก่อนจะหันมามองเธอทั้งๆ ที่มีเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ห้อยอยู่บนศีรษะ

“นะ…นี่มันอะไรกัน ฟีเรนเทีย”

“ยาที่เอสทีร่าทำขึ้นมาค่ะ!”

“ก็แล้วมันคือยาอะไร”

ท่านปู่ดูจะตกใจไม่น้อย ท่านเอาแต่หุบเข่า ยืดเข่าออกอยู่หลายครั้ง

คงจะรู้สึกทึ่งใจที่ความรู้สึกเย็นสบายช่วยทำให้ไม่รู้สึกถึงอาการปวดเลยแม้แต่น้อย

“เอสทีร่าปรับเปลี่ยนสูตรยาที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลหลายยุคสมัยเล็กน้อยน่ะค่ะ! เป็นไงคะ ท่านปู่?”

สีหน้าของท่านปู่ก็ตอบคำถามได้หมดอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังเอ่ยถามอย่างแข็งขัน

ท่านปู่พยักหน้าตอบ

“หากหลอมยาระดับนี้ออกมาได้ ก็สมควรที่จะได้รับใบแนะนำจากข้าแล้วละ”

ท่านโบรชูลเองก็หัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยตอบ

“คนมีความสามารถเช่นนี้ หากได้วิจัยค้นคว้าในอะคาเดมีที่มีอุปกรณ์ครบครันแล้วละก็ รู้สึกคาดหวังแล้วละครับ ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง”

ทั้งสองคนดูยินดีมากเสียจนต่อให้ต้องเขียนใบรับรองให้เอสทีร่าสักสิบแผ่นก็ยินดี

“เอสทีร่าอาจจะต้องการทุนการศึกษาด้วยนะคะ ทั้งค่าวิจัย แล้วก็ค่าครองชีพด้วยค่ะ! ”

“แค่นั้นหรือ”

ท่านปู่ยอมรับอย่างง่ายดาย

หากเป็นแบบนี้เงินค่าขนมที่ฟีเรนเทียตั้งใจจะเก็บไว้ช่วยเหลือเอสทีร่าก็ยังสามารถเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินได้แต่มันจะไม่จบแค่นี้หรอกเธอเห็นท่านปู่ยื่นมือออกมาหากระปุกยาขี้ผึ้งราวกับต้องมนตร์สะกด

ทว่าเธอกลับปิดฝากระปุก แล้วกำมันไว้ในมือแน่นให้ท่านเห็น

“ฟีเรนเทีย?”

ท่านปู่มองเธอด้วยความตื่นตระหนก

เธอหัวเราะแฮะๆ พลางเอ่ยพูด

“เอสทีร่าบอกไว้น่ะค่ะ ยานี่ทำได้ง่ายสุดๆ เลยนะคะ”

“ยาแบบนี้ผลิตง่ายอย่างนั้นหรือ”

ท่านปู่ดูจะช็อกมากพอๆ กันกับตอนที่ได้ลองทายานี่ครั้งแรก

“เพราะฉะนั้นก็เลยบอกว่า อยากจะให้ยานี่หลายๆ กระปุกหน่อยเป็นของขวัญให้แก่ท่านปู่กับท่านโบรชูลที่ช่วยเขียนใบแนะนำให้น่ะค่ะ”

ผิดไปจากที่คิดเสียที่ไหนล่ะ

“ฮ่าๆ ! ช่างเป็นเด็กที่มีหัวคิดจริงๆ!”

ใบหน้าของท่านปู่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง

ท่านโบรชูลเองก็หัวเราะ ‘โฮ่ โฮ่ โฮ่’ ในขณะที่ลูบเคราด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมาก

เธอมองปฏิกิริยาของทั้งสองคนแล้วลองโยนหินถามทางดู

“ถ้าอย่างนั้นคนอื่นๆ เองก็น่าจะชอบมันไม่ใช่เหรอคะ”

เสียงหัวเราะกว้างของท่านปู่หยุดชะงักลงทันที

นัยน์ตาของเธอมองสบกันกับนัยน์ตาของท่านปู่และเพียงชั่วขณะ เธอก็รู้สึกราวกับมองส่องเข้าไปเห็นความคิดในหัวสมองของท่านปู่

ราวกับตัวเลขหลายสิบหลักกำลังวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท่านปู่ยิ้มกว้างในขณะที่มองหน้าเธอ

“ใช่แล้ว คนมากมายจะต้องชอบมันแน่”