หัวใจเต้นโครมคราม
ฟีเรนเทียกำชามขนาดเท่าฝ่ามือเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าอย่างเชื่องช้าถึงแม้จะมีฝาปิดอยู่ แต่กลิ่นของใบฮิปซีย์กลับกระตุ้นจมูกอย่างรุนแรง
“ลองเปิดนะ”
เอสทีร่าพยักหน้าเล็กน้อย เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
แกรก
เสียงแผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับฝาที่ถูกเปิดออก เผยให้เห็นยาบรรเทาอาการปวดเข้มข้น
เธอลองใช้นิ้วแตะดูอย่างระมัดระวัง
ผิวหน้าหนืดมีความเด้งหยุ่นเล็กน้อย เกิดรอยบุ๋มเป็นรูปนิ้วยามเธอจิ้มนิ้วลงไป
คราวนี้เธอลองใช้ยาบรรเทาอาการปวดที่เลอะติดปลายนิ้วทาลงบนหลังมือ
ขี้ผึ้งใส่น้ำมันพืชละลายตัวที่อุณหภูมิร่างกายช่วยทำให้เกลี่ยมันลงบนผิวได้อย่างอ่อนโยน
ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกอุ่นร้อนเล็กน้อย คล้ายกับความรู้สึกอ่อนโยนแผ่ซ่านไปทั่วผิว
“…ได้แล้ว”
สมบูรณ์แบบมาก
“ข้าลองใช้ติดต่อกันห้าวันบนตำแหน่งเดียวกันดูเผื่อไว้น่ะค่ะ”
เอสทีร่ายื่นข้อมือของตัวเองให้เธอดูพลางเอ่ยพูด
“อาการปวดเมื่อยที่ข้อมือหายดีแล้ว และผิวก็ดูดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจทีเดียวค่ะ ดูเหมือนจะให้ประสิทธิภาพทางด้านนั้นด้วยค่ะคุณหนู”
เมื่อลองเปรียบเทียบกับข้อมือข้างที่ไม่ได้ทาอะไรเลย มันให้ความรู้สึกเนียนลื่นอย่างน่าประหลาดใจตามที่เอสทีร่าบอก
เธอปิดฝายาขี้ผึ้งบรรเทาปวดอีกครั้ง ก่อนจะวางมันลงด้วยความนุ่มนวล แล้วเอ่ยถามเอสทีร่า
“เอสทีร่า มีอะไรที่อยากได้บ้างมั้ย”
เอสทีร่าส่ายหน้าเงียบๆ ให้กับคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของเธอ
“ลองคิดดูให้ดี ไม่ต้องสนใจเรื่องราคา เอาของที่จำเป็นสำหรับเอสทีร่าน่ะ”
“มะ…ไม่สนใจราคาเหรอคะ”
เอสทีร่าครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยความระมัดระวัง
“ถ้าอย่างนั้น…อยากจะได้…บ้านหลังเล็กๆ ในเมืองลอมบาร์เดียสักหลังค่ะ”
เอสทีร่าเกาแก้มแกรกๆ ดูเหมือนพูดออกมาแล้วจะรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง
“เหรอ เข้าใจแล้ว”
“ว่าแต่คุณหนูทำไมจู่ๆ ถึงได้ถามอะไรแบบนั้น…”
“ยาขี้ผึ้งบรรเทาอาการปวดนี่น่ะ จะเอาไปเปลี่ยนเป็นแค่ใบแนะนำสองใบกับทุนการศึกษา มันน่าเสียดายมากเกินไป”
“คะ…แค่เหรอ…”
เอสทีร่ามองยาขี้ผึ้งสลับกับเธอด้วยความสับสน
แต่ฟีเรนเทียพูดจริง
ยาขี้ผึ้งนี่มันไม่ใช่ของที่จะหยุดอยู่แค่ท่านปู่กับโบรชูลสองคนเท่านั้น
เธอยิ้มให้เอสทีร่าที่ยังคงมึนงงไม่หาย เพื่อบอกนางว่าไม่ต้องกังวลไปหรอก
ในวันที่ฝนตกโปรยปราย
ฝนน่ายินดีที่ไม่ได้ตกลงมาเสียนาน แต่สำหรับรูลลักที่เข่าไม่ค่อยจะดีนักแล้ว มันไม่ใช่อากาศที่ดีนักแต่บรรณารักษ์โบรชูลก็ยังหัวเราะฮ่าฮ่า ในขณะที่มองใบหน้ายิ้มแย้มของคนที่กำลังนวดเข่าข้างที่ไม่ค่อยดีด้วยมืออย่างต่อเนื่อง
“ดีขนาดนั้นเชียวหรือครับ”
“หากเป็นเจ้านั่นย่อมดีแน่นอน ไม่คิดเช่นนั้นหรือ”
รูลลักกล่าวทั้งที่ยังคงยิ้มกว้างเหมือนเคย
“ตอนแรกก็รู้สึกว่ามันช่างน่าละอายใจเหลือเกิน ที่เครย์ลีบันบอกว่าจะทำงานอื่นควบคู่ไปด้วย แต่ที่ไหนได้คู่หูที่จะร่วมกันทำธุรกิจกลับเป็นเจ้าแคลอฮันเสียได้…”
ตอนแรกรูลลักเองก็สงสัยหูของตัวเองอยู่เหมือนกัน
เครย์ลีบันผู้น่าสงสาร ได้ชื่อว่าเป็นคนเจ้าระเบียบและละเอียดอ่อน
คนแบบนั้นจู่ๆ กลับมาหาเขา และแจ้งให้ทราบว่าจะทำธุรกิจร่วมกันกับแคลอฮัน
อีกทั้งยังชื่นชมคนอื่นอย่างหาได้ยาก เด็กคนนั้นมากล่าวกับเขาว่า ‘ท่านแคลอฮันดูเหมือนจะเป็นคนที่พิเศษกว่าใครจริงๆ’ อีกด้วย
“ถึงยังไงก็เถอะ จนท้ายที่สุดก็ยังปิดปากแน่นไม่ยอมบอกกล่าวกันเลยว่าจะทำกิจการใดกันแน่”
ถึงแม้รูลลักจะพร่ำบ่นเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจหยุดหัวเราะได้เลย
คำพูดกล่าวชมบุตรของตน ไม่ว่าจะได้ยินจากใครเมื่อไหร่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น
โบรชูลมองรูลลักที่เป็นเช่นนั้นแล้วหัวเราะตามไปด้วย
“ว่าแต่วันนี้เรียกข้ามาทำไมหรือครับ”
“อา เรื่องนั้น พอดีมีเด็กอยากจะขอให้ข้ากับเจ้าช่วยเขียนใบแนะนำให้น่ะสิ”
รอบนัยน์ตาของรูลลักปรากฏริ้วรอยลึกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยามที่ยิ้มกว้างเมื่อจู่ๆ ก็นึกถึงใครบางคนขึ้นมา ตอนนี้มุมปากของเขาเชิดขึ้นจนจะฉีกกว้างถึงใบหูอยู่แล้ว
พวกเขารู้จักกันมาได้กว่าสามสิบปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพผ่อนคลายเช่นนี้ของรูลลัก
โบรชูลเอียงคอด้วยความงุนงง
ในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียง ก๊อกๆ ของเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียงเบา
รูลลักตอบกลับไปว่า ‘เข้ามาได้’ คล้ายกับกำลังรอคอยอีกฝ่ายอยู่แล้ว
ประตูถูกเปิดออก บุคคลตัวเล็กที่ได้เห็นนั้นทำให้โบรชูลคิดว่านี่มันเรื่องล้อเล่นอันใดกัน
“สวัสดีค่ะ!”
คนที่โค้งศีรษะทักทายก็คือฟีเรนเทีย หลานสาวอายุแปดขวบของรูลลักนั่นเอง