บทที่ 31

 

 

“เอสทีร่า มาทางนี้สักครู่สิ”

 

เอสทีร่าที่กำลังจดบันทึกการรักษาของคนไข้ที่เพิ่งกลับออกไปเมื่อครู่ลุกขึ้นยืน เมื่อได้ยินเสียงเรียกของดอกเตอร์โอมัลลี่ผู้เป็นอาจารย์

 

ดอกเตอร์โอมัลลี่ไม่ใช่อาจารย์ที่น่ากลัวหรือเข้มงวดอะไรนัก แต่วันนี้ไม่รู้ว่าทำไม สีหน้าถึงได้ดูไม่ค่อยจะดีนัก

 

เอสทีร่าลอบสังเกตพลางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายดอกเตอร์โอมัลลี่อย่างเงียบๆ

 

“ได้ยินเรื่องคร่าวๆ จากเจสันแล้ว และเท่าที่เห็นก็ดูเหมือนว่าช่วงนี้เจ้ากำลังหลอมอะไรแปลกๆ”

 

“อา…”

 

เอสทีร่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากกว่านั้นก็พอจะคาดเดาได้ว่าดอกเตอร์โอมัลลี่ต้องการจะพูดอะไร เธอจึงตั้งใจจะอธิบายออกไปด้วยความร้อนรน

 

แต่ดอกเตอร์โอมัลลี่กลับชิงพูดขึ้นเสียก่อน

 

“ล้มเลิกความตั้งใจเสียเถอะ”

 

“อะ…อาจารย์”

 

เอสทีร่าเบิกตากว้างมองดอกเตอร์

 

ทว่าดอกเตอร์โอมัลลี่กลับเพียงแค่ส่ายศีรษะเท่านั้น

 

“ข้ารู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ ที่เจ้าเหมือนจะเล่นไปทั่วเพราะคำยั่วยุของคุณหนูฟีเรนเทียที่ยังเด็ก เอสทีร่า”

 

“คำยั่วยุเหรอคะ”

 

“เด็กอายุแค่แปดขวบจะไปรู้อะไรได้ ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้าก็แค่ทะเยอทะยานมากจนวิ่งเต้นเพียงแค่เพราะคำยั่วยุแบบนั้นก็เถอะ”

 

ดอกเตอร์โอมัลลี่กำลังตำหนินาง

 

ถึงแม้จะไม่ได้ขึ้นเสียงสูงหรือทำหน้านิ่วอย่างเปิดเผย แต่เอสทีร่าก็สามารถรับรู้ได้อย่างเพียงพอ

 

“ไม่นะคะ อาจารย์! คุณหนูฟีเรนเทียตั้งใจจะช่วยข้าจริงๆ ค่ะ!”

 

เอสทีร่าโมโหอย่างหาได้ยากในขณะที่พูดประท้วง

 

เธอไม่สนใจหากใครจะสมเพชตัวเอง แต่เธอไม่อาจทนได้ถ้ามีใครพูดถึงคุณหนูฟีเรนเทียแบบนี้

 

“ตั้งใจจะช่วยข้าจากใจจริง…”

 

“เฮ้อ เอสทีร่า”

 

ดอกเตอร์โอมัลลี่ถอนหายใจราวกับพื้นถล่มปลายหางเสียงได้ยินเสียงเดาะลิ้นจิ๊จ๊ะดังแว่วในลำคอ

 

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าที่ทะเยอทะยานอยากจะไปอะคาเดมี แต่ปีนี้ยอมแพ้แค่นี้เถอะ”

 

ดอกเตอร์โอมัลลี่เกลี้ยกล่อมให้ล้มเลิกความตั้งใจเป็นครั้งที่สอง

 

“ทั้งหมดที่ข้าพูดก็เพื่อตัวเจ้าเองทั้งนั้น”

 

พูดเพื่อตัวเธอเองจริงๆ น่ะเหรอ

 

เอสทีร่าก้มหน้านิ่ง พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกสงสัยในตัวอาจารย์ของตน

 

“อีกอย่างข้าก็เขียนใบแนะนำให้แก่เจสันไปแล้วไม่ใช่หรือไง จะมีใครช่วยเขียนใบแนะนำให้เจ้าได้อีก..”

 

ดอกเตอร์โอมัลลี่ยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมเอสทีร่าต่อ

 

“อย่าโลภมากนักเลย รอไปก่อนเถอะ แล้วเช่นไรปีหน้าข้าจะช่วยเขียนใบแนะนำให้เจ้าเอง”

 

ต่อให้อีกฝ่ายบอกว่าเธอโลภมากเธอก็ไม่มีคำพูดอะไรจะโต้แย้ง

 

เอสทีร่ากัดริมฝีปากล่างแน่น

 

ตัวเธอที่เป็นเพียงแค่สามัญชนบ้านนอกคนหนึ่ง แค่มาได้ถึงจุดนี้ ก็แทบจะไม่ต่างอันใดจากปาฏิหาริย์แล้ว

 

ได้มีหน้าที่การงานรักษาโรคภัย ในขณะเดียวกันก็สามารถหาเงินได้ทั้งยังได้โอกาสในการเรียนรู้ด้านการหลอมโอสถภายใต้การทำงานรักษาผู้คนในลอมบาร์เดียที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

 

ดังนั้นที่ดอกเตอร์โอมัลลี่พูดก็ถูกต้องแล้ว

 

หากยังคิดต้องการตำแหน่งนักวิจัยของอะคาเดมีอีก ก็สมควรแล้วที่จะโดนตำหนิว่าโลภ

 

เอสทีร่าเองก็เข้าใจสายตาที่เต็มไปด้วยคำตำหนิของดอกเตอร์เป็นอย่างดี

 

“อาจารย์”

 

เอสทีร่าเอ่ยพูดเสียงแผ่ว

 

“ข้าอยากจะลองไปให้ถึงเท่าที่ข้าจะสามารถไปได้ค่ะ”

 

“เอสทีร่า ข้าพูดถึงขนาดนี้แล้ว! ”

 

“ข้าอยากจะเติมเต็มความคาดหวังของคุณหนูฟีเรนเทียค่ะ อาจารย์”

 

ดอกเตอร์โอมัลลี่อยากที่จะเกลี้ยกล่อมเอสทีร่าใหม่อีกครั้ง แต่เมื่อได้ยินชื่อของฟีเรนเทีย เขาก็ต้องปิดปากลง

 

“คุณหนูบอกว่าข้าทำได้ค่ะ บอกว่าจะช่วยข้า จะช่วยให้ข้าได้ไปอะคาเดมีค่ะ”

 

เอสทีร่านึกถึงช่วงเวลาเมื่อตอนนั้นขึ้นมาจึงยิ้มกว้าง

 

“คุณหนูยังเด็กเหมือนอย่างที่อาจารย์พูด แต่ข้าเชื่อค่ะ”

 

คุณหนูบอกว่าจะช่วยให้เธอสานฝันได้สำเร็จ ขนาดได้ฟังเรื่องความฝันที่ยิ่งใหญ่เกินตัวหญิงสามัญชนธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ยังไม่หัวเราะเยาะ แต่กลับสัญญาว่าจะช่วยเหลือเธอ

 

นัยน์ตาสีเขียวงดงามเมื่อตอนนั้นมันสลักฝังลึกลงบนหัวใจของเอสทีร่าไปเสียแล้ว

 

“ต่อให้ข้าบอกว่า ถ้าเจ้ายังยืนกรานที่จะทำเรื่องโง่เง่าแบบนี้ต่อไป ข้าจะไม่เขียนใบแนะนำให้เจ้าก็ตามอย่างนั้นหรือ”

 

สุดท้ายดอกเตอร์โอมัลลี่ก็เลือกที่จะข่มขู่

 

เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะจบบทสนทนากับเอสทีร่าด้วยเหตุด้วยผล

 

เอสทีร่าเป็นศิษย์ที่พูดน้อยและเชื่อฟังคำสั่งของเขาอย่างว่าง่ายอยู่เสมอ ไม่นึกเลยว่าจะดื้อดึงได้ขนาดนี้

 

แบบนี้ถ้าหากเขาไม่อาจยุติความตั้งใจของเอสทีร่าได้ ฐานะดอกเตอร์ของเขาคงจะลำบากขึ้นมากแน่

 

เมื่อวานเบเจอร์ ลอมบาร์เดียเรียกตัวดอกเตอร์โอมัลลี่ไปพบ

 

เขาคิดแค่ว่าเป็นการเรียกตัวไปตรวจที่บ้าน แต่เมื่อไปถึงกลับพบเบเจอร์นั่งอยู่ด้วยกันกับบิดาของเจสัน ซึ่งเป็นเจ้าของร้านค้าฟรังค์

 

มันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ได้ตกอกตกใจอะไรนัก เพราะทราบถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่สนิทสนมกันและมีเรื่องเงินทองเข้ามาข้องเกี่ยวเป็นประจำอยู่แล้วแต่ตอนที่เจ้าของร้านค้าฟรังค์บ่นเรื่องเอสทีร่าต่อหน้าเบเจอร์ เขาตกใจมากจริงๆ เพราะเขาไม่เคยคิดเลยว่า เด็กคนนั้นจะมีความมักใหญ่ใฝ่สูงขนาดนั้น

 

เจ้าของร้านค้ากล่าวว่า การที่เด็กแบบนั้นกล้าหวังใบรับรองของดอกเตอร์มันช่างเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ ดังนั้นให้ขับไล่เอสทีร่าออกไปเสียจะว่าอย่างไร

 

ทั้งยังบอกอีกว่า เพราะลูกศิษย์ที่ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวนางนั้นจะก่อปัญหาให้เขาต้องหนักใจมากเป็นแน่ และหวังว่าดอกเตอร์อย่างเขาไม่ควรจะมานั่งพะวงอยู่กับเรื่องยุ่งยากพวกนั้นต่อไปสักพักใหญ่ๆ จะดีกว่า

 

พูดง่ายๆ ก็คือ ห้ามไม่ให้เขาเขียนใบรับรองให้เอสทีร่าหรือใครทั้งสิ้นสักระยะหนึ่ง

 

แถมยังแนะนำเสียยกใหญ่ให้ดอกเตอร์โอมัลลี่ไปเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย เพื่อสั่งให้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปอะคาเดมีเสีย

 

ตอนที่นึกถึงนิสัยทึ่มทื่อของเอสทีร่า เขาคิดว่าแค่พูดไม่กี่คำ อีกฝ่ายก็คงจะยอมล้มเลิกความตั้งใจในการไปสถาบันศึกษาอย่างว่าง่าย

 

“คิดให้ดี”

 

ดอกเตอร์โอมัลลี่มั่นใจว่า เขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว เอสทีร่าคงจะพับเก็บความดื้อรั้นนั่นกลับไปแน่

 

ภาพของเด็กสาวที่ลังเลไปครู่หนึ่ง ทำให้เขาคิดว่าแค่นี้ก็คงจะเรียบร้อยแล้ว

 

แต่ราวกับโกหก เพียงไม่นานเอสทีร่ากลับพยักหน้าตกลง

 

“ค่ะ อาจารย์ ขอโทษด้วยค่ะ ข้าเชื่อคุณหนูฟีเรนเทียค่ะ”

 

“เหอะ! จริงๆ เลย”

 

ดอกเตอร์โอมัลลี่พูดอะไรไม่ออก

 

เขาคิดแค่ว่า เอสทีร่าเมื่อลุ่มหลงในอะไรก็ยึดติดอยู่กับสิ่งนั้นมากเสียจริง

 

เขามองเอสทีร่าด้วยความไม่พอใจ เดาะลิ้นเสียงดัง

 

อย่างไรตั้งแต่แรกมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

 

เชื่อคำพูดของเด็กอายุแค่แปดขวบ ขนาดคำพูดของอาจารย์ก็ยังไม่สนใจช่างโอหังอะไรขนาดนั้น

 

ดอกเตอร์แอบคิดในใจว่า เอาไว้เขาจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างลดเงินเดือนในภายหลังเสียเลย

 

“เจ้าดึงดันจะทำให้ข้าลำบากใจจนถึงที่สุดจริงๆ สินะ”

 

“คะ? ทำให้ลำบากเหรอคะ”

 

เอสทีร่าเอียงคอด้วยความงุนงง แต่ดอกเตอร์โอมัลลี่กลับหันศีรษะหนี เอ่ยพูดเสียงเย็นชา

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ไปได้แล้ว”

 

คำขับไล่อย่างเย็นชาทำให้เอสทีร่าได้แต่โค้งศีรษะกล่าวลาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเดินหันหลังกลับออกมา

 

ทว่าความรู้สึกไม่สบายใจที่เอาแต่รู้สึกไม่หยุดในซอกมุมหนึ่งของหัวใจนี่มันช่วยไม่ได้จริงๆ