เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า คนก็หลั่งไหลเข้ามาในโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงไม่หยุดเช่นกัน
ตัวแทนจากตระกูลที่มีอำนาจมากมายในเมืองหลวงต่างก็มาถึงกันแล้ว
โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงเดิมที่เคยเงียบสงบก็มีบรรยากาศครึกครื้นขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างเข้ามาทักทายฉู่หนิง แต่สายตากลับอดมองไปที่ฉู่หลิงเยว่ไม่ได้
สายตาทั้งอยากรู้อยากเห็นและสงสัย รวมถึงแฝงไปด้วยความเกรงกลัวเล็กน้อย
แม่นางผู้นี้สามารถทำให้เหยียนเก๋อแห่งเจินเป่าเก๋อใส่ใจถึงเพียงนี้ ย่อมมีสถานะไม่ธรรมดาแน่นอน
อย่างน้อยมีเจินเป่าเก๋อคอยหนุนหลัง ต่อจากนี้ไปคงแทบไม่มีใครในเมืองหลวงกล้ามาหาเรื่องนางซึ่งๆ หน้าอีกแล้ว
มิน่าล่ะนางถึงได้กล้าตัดขาดกับตระกูลฉู่จนสะบั้นและกล้าหยามเกียรติองค์ชายรัชทายาทได้…มีภูเขาสูงใหญ่ให้พึ่งพิงเยี่ยงนี้ก็มิใช่เรื่องแปลก
แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่ก็สังเกตเห็นทุกอย่างในสายตาทั้งหมดแล้ว
แม้ภายนอกนางจะแสดงสีหน้าท่าทางสงบ ทว่าในความเป็นจริงกลับยิ่งสงสัยในใจขึ้นมาเรื่อยๆ
นายใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของตัวจริงของเจินเป่าเก๋อ ตกลงคือผู้ใดกันแน่
ทำไมเขาถึงช่วยนาง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงทำให้คนพวกนี้ยำเกรงขนาดนี้ได้
คนพวกนี้มาโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงในวันนี้ หลีกเลี่ยงการทำให้รัชทายาทและตระกูลฉู่ขุ่นข้องไม่ได้แน่นอน กระนั้นพวกเขาก็ยังมา
เมื่อเรื่องพวกนี้จบลงเมื่อไหร่ นางต้องสืบให้แน่ชัดเสียแล้ว
ฉู่หลิวเยว่เก็บความคิดนี้ไว้ก่อนและตามฉู่หนิงไปทำความรู้จักทีละคน
เหยียนเก๋อก็อยู่ข้างกันตลอดและทักทายทีละคน ดูท่าทางเขาใส่ใจมากกว่าสองพ่อลูกอีก
แม้ฉู่หนิงจะเคยมีความรุ่งโรจน์ในอดีต ทว่ายามนี้เขากลับมาอีกครั้งอย่างกะทันหันก็ยังมีความเงอะงะทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
ส่วนเหยียนเก๋อในฐานะรองเถ้าแก่ของเจินเป่าเก๋อ สิ่งที่ถนัดที่สุดคือการพบปะสังสรรค์กับผู้คนมากมาย
มีเขาอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งทำให้ฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่สบายมากขึ้น
เมื่อเห็นฉากนี้ บางคนก็อดไม่ได้ที่จะพากันกระซิบวิพากษ์วิจารณ์
“แต่ไหนแต่ไรคุณชายรองเหยียนก็เป็นบุคคลที่มีสถานะสูงส่ง แม้กระทั่งบรรดาเชื้อพระวงศ์ยังให้เกียรติเขา เคยเห็นเขาต้อนรับขับสู้ผู้อื่นดีขนาดนี้ซะที่ไหน”
“ที่พูดมาก็ถูก…ตอนเช้าได้ยินว่าเจินเป่าเก๋อจะมาที่นี่ ข้ายังไม่เชื่อเลย ข้ายังคิดว่าฉู่หนิงคงกราบวิงวอนเชิญให้เขามา ที่ไหนได้กลายเป็นว่าคุณชายรองเหยียนเป็นฝ่ายรีบมาหาเสียเอง!”
“เฮ้อ พวกเจ้าคิดหรือไม่ว่าดูเหมือนคุณชายรองเหยียนจะให้ความสำคัญกับฉู่หลิวเยว่มาก จนถึงขั้นที่…ทำอะไรก็ระมัดระวัง บางครั้งฉู่หลิวเยว่พูดแค่คำสองคำ เขาก็ตอบรับอย่างจริงจังมาก ถุ๊ย…คงไม่ใช่เพราะคุณชายรองเหยียนตกหลุมรักนางหรอกกระมัง”
“ชู่ว! ระวังปากพาซวย! พวกเจ้ามาช้าไม่รู้อะไรซะแล้ว เมื่อครู่นี้คุณชายรองเหยียนพูดเองกับปากวว่าทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งจากนายใหญ่ของพวกเขา!”
“แปลก ท่านนั้นมีภรรยาแล้วมิใช่หรือ”
“ใครจะไปรู้ว่าฉู่หลิวเยว่ใช้วิธีการใด ถึงอย่างไรก็มีเจินเป่าเก๋อคอยสนับสนุน องค์ชายรัชทายาทและตระกูลฉู่คงหยุดหาเรื่องนางไปสักพัก ต่อไปคงมีอะไรน่าดูสนุกๆ มากกว่านี้แน่!”
…
“เจ้าพูดจริงหรือ พวกโอวเซี่ยงเทียนก็ไปด้วยหรือ!”
หลังจากได้ยินเรื่องที่ลู่จื้อเทาเล่า ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึง
“ไม่มีเรื่องใดจริงไปกว่านี้อีกแล้ว ตอนแรกข้าคิดว่าพอฉู่หลิวเยว่มีเรื่องบาดหมางกับรัชทายาทและตระกูลฉู่ ต่อให้ปิดเลี้ยงทั้งโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงก็ต้องไม่มีผู้ใดไปร่วมงานแน่นอน ใครจะไปรู้ ในเวลาแค่ไม่นานก็มีคนเข้าไปไม่ขาดสาย โดยเฉพาะคนที่ไปต่างมีฐานะกันทั้งนั้น! ข้าก็เลยรีบกลับมารายงาน”
ลู่จื้อเทานึกย้อนไปยังผู้ที่มีชื่อเสียงแต่ละคนก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมา
ต่อให้เป็นงานเลี้ยงของบรรดาองค์ชายและองค์หญิง ก็เกรงว่าจะไม่มีใครที่มาด้วยตนเองมากมายขนาดนี้
ทุกคนในตระกูลลู่ต่างพากันเงียบกริบ
ลู่เฟยเยี่ยนนั่งฟังอยู่ข้างๆ อย่างไม่แยแสสักเท่าไหร่
“แล้วยังไงเล่า ต่อมห้ตระกูลโอวมีอำนาจมากแค่ไหร แต่ก็ยังไกลจากพวกเรามากโข นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้ว ผู้ที่มีฐานะมากที่สุดก็ยังเป็นพวกเราสี่ตระกูลใหญ่ไม่ใช่หรือ นอกจากซือถิงและซือหยางที่ไปแล้ว ตระกูลอื่นอีกสามตระกูลก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ พวกนั้นไปเสียเวลาเปล่าๆ”
ลู่หมิงผู้เป็นประมุขตระกูลลู่มีสีหน้านิ่งขรึม
“ช้างโง่เขลานัก ลำพังพวกเขาผู้เดียวนั้นเทียบสี่ตระกูลไม่ติดหรอก แต่ถ้ารวมตัวกันเมื่อไหร่ก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้ หากเป็นแค่เพราะฉู่หนิงได้เลื่อนยศเป็นหัวหน้าองครักษ์ก็คงไม่พอที่จะทำให้พวกเขามาด้วยตัวเองกันหรอก เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างแอบแฝงแน่นอน!”
ลู่เฟยเยี่ยนโดนตำหนิและรู้สึกเสียใจทันที สีหน้าของลู่หมิงกลับยังตึงเครียด นางจึงไม่กล้าเถียงและได้แต่พึมพำว่า
“ใครจะไปหรือไม่ไป ข้าไม่สน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ไป ฉู่หลิวเยว่ขี้อิจฉาริษยา นางทำให้หมินหมิ่นต้องเสียโฉม ไม่แน่นางอาจจะมาทำให้ข้าเสียโฉมบ้างก็ได้”
ลู่จื้อเทาเมื่อได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้
“พี่ใหญ่ ข้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ หมินหมิ่นหน้าตาสะสวย กระนั้นฉู่หลิวเยว่ก็สวยกว่านางตั้งเยอะ จะเอาที่ไหนไปอิจฉาได้…ข้าว่าเป็นเพราะหมินหมิ่นคงไปทำอะไรให้นางเองมากกว่า ถึงได้กรรมตามสนองตัวเองแบบนี้…”
“น้องสี่ เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าชอบนังแพศยานั่นไปแล้วใช่หรือไม่” ลู่เฟยเยี่ยนเบิกตาโตแล้วก่นด่า
ลู่จื้อเทาแอบหัวเราะเยาะ
ลู่เฟยเยี่ยนมักจะทะนงตนว่าสามารถสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้จึงทำตัวอวดเบ่งในตระกูลอยู่หลายครั้ง เขาหมั่นไส้ท่าทางหยิ่งผยองของนางมาตั้งนางแล้ว
“หรือว่าที่ข้าพูดมันไม่จริง อีกอย่างตอนนี้ฉู่หลิวเยว่เป็นอัจฉริยะที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชม แล้วยังมีพ่อเป็นถึงผู้บัญชาการองค์รักษ์อีก คนที่อยากสู่ขอนางคงจะมีไม่น้อย ตอนนี้ฉู่เซียนหมิ่นเสียทั้งชื่อเสียงและทั้งเสียโฉมไปแล้ว ต่อไปรัชทายาทก็คงไม่สนใจยดีนางอีก พี่ใหญ่ ข้าขอเตือนท่านให้เลิกยุ่งกับนางจะดีกว่า”
“เจ้า…”
“พอได้แล้ว หุบปากให้หมด”
ลู่หมิงตวาดลั่น
“วันนี้พวกเจ้าอยู่แต่ในบ้านไม่ต้องออกไปไหน ข้าจะไปตำหนักองค์ชายรัชทายาท”
ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงวันนี้ที่พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อรัชทายาท และยิ่งต้องใช้เวลานี้แสดงความจงรักภักดีต่อองค์ชายรัชทายาท
ไม่ว่าเจินเป่าเก๋อจะมีอำนาจเพียงใดก็ไม่อาจเข้าถึงราชสำนักได้ ผู้ที่จะได้นั่งตำแหน่งนั้นในอนาคตของแคว้นเย่าเฉินต่างหากถึงจะมีอำนาจตัดสินทุกอย่าง